:::MARATHON RECORD : บันทึกมาราธอน 2560:::
(1)
ไม่กี่สัปดาห์ก่อนการวิ่งงานบางกอกมาราธอนปีนี้ ผมไป fitness เพื่อเร่งฟิตกล้ามเนื้อส่วน Core body ได้เจอนักวิ่งอีกคนในหมู่บ้านเดียวกัน มาเล่นเวท ผมถามเค้าว่าเค้าได้ลงแข่งมาราธอนงานนี้หรือเปล่า เค้าส่ายหัว ก่อนจะตอบว่า การวิ่งมาราธอนนั้น เป็นระยะทางที่ “ได้ไม่คุ้มเสีย”
...ผมฟังแล้วก็ได้แต่หัวเราะเสียงแหบๆ ในใจนึกใคร่ครวญคำพูดเพื่อนบ้าน
(2)
พี่ชายผมเป็นตัวตั้งตัวตีในการสมัครวิ่งมาราธอนให้ตามเคย เค้าให้เหตุผลว่า ผมควรจะลงแข่งให้จบในชื่อของตัวเอง เพราะการลงมาราธอน เมื่อปีที่แล้ว ผมซื้อ BIB ต่อมาจากคนอื่นอีกที ทำให้ระบบไม่เคยบันทึกชื่อผมอย่างเป็นทางการ พี่ชายคนนี้เป็นคนเคร่งครัดในเรื่องหลักฐานเสมอ
หน้าที่การงานปีนี้ วุ่นวายเหมือนเคย ชีวิตคนมักมากทางประสบการณ์ มันคงซ้อมได้แค่ประมาณนี้แหละ ผมซ้อมวิ่งไกลสุดแค่ระยะ HALF MARATHON เท่านั้นเอง ตามหลักวิทยาศาสตร์การกีฬา แนะนำว่า ต้องมีวิ่งยาว 32 กม. สัก 2-3 ครั้งถึงจะดี แต่อีกใจหนึ่ง แอบหวังว่าปีนี้ เล่นเวทมากขึ้น แถมปั่นจักรยานบ้าง อาจจะมีอะไรดีขึ้นบ้าง
งานเริ่มวิ่งตอนตี 2 ของเช้าวันอาทิตย์ พี่ชายผมบอกว่า ถ้าวิ่ง pace ไม่เกิน 7.07 นาที / กิโลเมตร จะทำให้เวลาต่ำกว่า 5 ชั่วโมง ผมแค่นหัวเราะ
(4) 24 ชั่วโมง ก่อนวิ่ง
ก่อนวันวิ่ง 1 วัน ผมติดธุระทั้งวัน เช้า-บ่ายพาแม่กับน้องสาวไปดูงานพระเมรุ ตระเวนเดินทาง ตกเย็นภรรยาไม่สบายต้องพาไปหาหมอ กว่าจะได้เข้านอนก็ปาเข้าไป 3 ทุ่ม หลับๆ ตื่นๆ ได้สักพัก เที่ยงคืนก็ต้องลุกมาเตรียมตัวแล้ว สรุปได้นอน ไปแค่ 3 ชั่วโมง แบบไม่เต็มอิ่ม สัญญาณเริ่มไม่สู้ดี ความรู้สึกปอดแหก เริ่มทำหน้าที่ของมัน

(5) ปล่อยตัว
ขับรถมาจอดตรงเทเวศร์ ตอนตี 1 :30 แล้ววิ่งไปที่จุดสตาร์ท นอกเหนือจากนักวิ่งคนไทยแล้ว มีชาวต่างชาติเยอะเหมือนกัน
ผมเริ่มวอร์มร่างกาย และวางแผนการวิ่งครั้งนี้ ให้ แตกต่างจากครั้งที่แล้ว คือ จะวิ่ง 5 กม. แล้วหยุดเดินสัก 1-2 นาที เพื่อควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจ และลดอาการล้าสะสมของกล้ามเนื้อ
(6) 1-5 กม.
เส้นทางการวิ่งของกรุงเทพมาราธอนครั้งนี้ ใช้เส้นทางถนนราชดำเนินนอก ขึ้นสะพานพระราม 8 แล้วต่อไปถนน บรมราชชนนี แล้วยาวไปจนกลับตัวที่ 21.1 กม. ก่อนจะวิ่งวกกลับมาเส้นทางเดิม ผมเห็นเส้นทางแล้วหวั่นๆ อยู่บ้าง เพราะนอกจากจุดกลับตัวแล้ว เส้นทางมันบังคับให้วิ่งอยู่บนทางยกระดับตลอด ไม่มีทางลงเลย ไม่มีทางอู้แวะ 7-11 ได้เลย และนักพักริมทาง เหมือนวิ่งตามท้องถนน หรือสวนสาธารณะ
หลังปล่อยตัวเสร็จ รู้สึกได้เลยว่าวันนี้ไม่มีลมเอาเสียเลย อากาศก็ไม่ค่อยเย็นน่าวิ่งเท่าไหร่ แต่ก็ควบคุมจังหวะการหายใจได้ดี
(7) 6-10 กม.
วิ่งไปได้เรื่อยๆ สบายๆ วันนี้ท่าทางจะไปได้สวย จุดให้น้ำ มีทุกๆ ระยะ 2 กม. ซึ่งถือว่าค่อนข้างถี่ แต่ก็นับเป็นเรื่องที่ดี ผมฟังเพลงผ่าน Bluetooth headphone อย่างสบายใจ Pace ยังอยู่ที่ 7 ต้นๆ สบายๆ
(8) 11-15 กม.
เริ่มรู้สึกว่าอากาศร้อนน่าดู ขนาดวิ่งมืดๆ เหงื่อยังท่วมตัว เสื้อยืดที่ผมใส่ แม้ว่าจะเป็นแบบระบายอากาศได้ดี แต่ก็ชุ่มเหงื่อจนน่ารำคาญ วิ่งๆ ไป ไปเจอผู้หญิงคนหนึ่ง ใส่เสื้อกล้ามวิ่ง ผิวเธอแห้ง และผมยาวไม่มีเหงื่อเลย ผมนึกฉงนว่าเป็นเธอเป็นคนหรือแอนดรอยด์
(9) 16-20 กม.
เจอนักวิ่งผิวดำวิ่งสวนกลับมาแล้ว

วิ่งเร็วมากจนคนปั่นจักรยานตามแทบไม่ทัน อีกพักใหญ่ บุญถึง ศรีสังข์ นักวิ่งทีมชาติไทย ถึงวิ่งตามมาห่างประมาณ 3 กิโลเมตร ขนาดนักวิ่งทีมชาติยังโดนทิ้งห่างขนาดนี้
วิ่งๆ ไปเจออ้วกอยู่กองหนึ่งบนทางยกระดับ มันคงเคยเป็นของนักวิ่งคนใดคนหนึ่ง
ผมยังพอควบคุมจังหวะการหายใจของตัวเองได้ดีพอสมควร มีเดินบ้างเป็นระยะตามแผนที่วางไว้ ความเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อ ยังอยู่ในระยะที่พอรับได้
เสื้อผมชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ เลยถอดเสื้อออกมาบิดน้ำให้แห้ง แล้ววิ่งต่อ
(10) 21.1 กม.
ถึงจุดกลับตัว ไกลเอาเรื่องเหมือนกัน มาถึงครึ่งทางแล้ว ผมหยุดเดิน และกิน energy bar ของเหลวเหนียวข้นเหมือนนมข้นหวานรสชาดชวนผะอืดผะอมลงคอ
นึกสงสัยว่าเพลงที่ฟังมาตั้งแต่เริ่มวิ่ง หยุดไปตอนไหนนะ...เจ้ากรรม....Bluetooth headphone คู่ใจหล่นหายไปเสียแล้ว สงสัยจะหลุดไปตอนที่ถอดเสื้อมาบิดน้ำแน่ๆ ถึงตอนนี้ก็ไม่คุ้มที่จะวิ่งกลับไปหาแล้ว ปล่อยเลยตามเลย แล้ววิ่งฟังเสียงลมหายใจตัวเองนี่แหละ
วิ่งสวนทางไปกับกลุ่มที่ยังวิ่งไม่ถึงจุดกลับตัว เห็นใบหน้านักวิ่งบางคน อ้าปากหายใจเหมือนคนยิ้มกว้าง แต่ตาและคิ้วตกเหมือนกำลังร่ำไห้ ดูแล้วเป็นสัดส่วนที่ไล่เลี่ยกันระหว่างความเบิกบานและทุกข์ทรมาณ
(11) 21.1-25 กม.
เสียงลมหายใจนักวิ่งข้างๆ ลงหนักมาก บางคนเริ่มวิ่งขาลากแล้ว ใครบางคนไอดังหนักหน่วงพร้อมพยายามขับเอาของเหลวเหนียวหนึบออกมาจากคอ ผมยังวิ่งต่อไปได้เรื่อยๆ ในความเร็วที่เริ่มช้าลงไปเรื่อยๆ
นักวิ่งชายบางคนหยุดวิ่ง แล้วถอดเสื้อ เปลือยท่อนบน ถ้ามีสาวๆ ทำแบบนี้บ้าง การวิ่งครั้งนี้คงรื่นรมย์ไม่น้อย
ไอ้คิว มันเริ่มมาเคาะประตูทักทาย ตามจุดต่างๆ ของขาแล้ว ผมวิ่งช้าลงไปอีก เพื่อหาทางไกล่เกลี่ยกับมัน

(12) 26 กม.
ตะคริวกินเท้าข้างขวาเสียแล้ว ผมรู้สึกเหมือนเท้าตัวเองโดนสัตว์กินเนื้อเขี้ยวคม กัดจมลงไปทั้งเท้า ต้องไปยืนพิงกับราวกันตกของทางยกระดับ พอขยับขาจะถอดรองเท้าเท่านั้น ตะคริวก็เข้ามาตะครุบขาทั้งขวาและซ้ายอย่างเหี้ยมเกรียา ผมหล่นวูบทรุดลงไปทันที จนมีเจ้าหน้าที่เข้ามาช่วยดัดขาให้ พร้อมนวดเฟ้นอีกพักหนึ่ง
ยังเหลืออีก 16 กิโลเมตร แล้วด้วยสภาพขาอย่างนี้ จะทำอย่างไร ใจนึกปลงสังขารตัวเอง เหมือนร่างกายผมจะมีความอดทนอดกลั้นแค่ 25 กิโลเมตร เกินจากนี้ทีไร มันจะประท้วงอย่างนี้ทุกที
...แผนการวิ่ง 5 กิโลเมตรแล้วพัก ทำหน้าที่เกิน scope of work ของมันไปหมดแล้ว ...แผนการดีแค่ไหนก็ไร้ค่าถ้าอ่อนซ้อม...จากนี้ไปต้องไปแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันทีละก้าว...
(13) 26-30 กม.
ผมวิ่งช้าลงมาก ทุกครั้งที่วางเท้า ต้องทำอย่างแผ่วเบา ผมวิ่งแบบย่อตัวลงกว่าปรกติ เพื่อเปลี่ยนมาใช้กล้ามเนื้อหน้าขาแทน และหาทางเจรจากับอาการตะคริว รู้สึกเหมือนเดินนำสัตว์ป่าตัวหนึ่ง ที่มันพร้อมจะขย้ำเราได้ทุกเมื่อ ลมหายใจกระจัดกระจายแบบไม่เป็นระบบ ควบคุมได้ลำบาก รู้สึกเหนื่อยล้าสิ้นหวัง ใจนึกถึงข่าวนักร้องชื่อดังในอดีตที่ตายคาเวทีก่อนวัยอันควร ด้วยอาการหัวใจล้มเหลว
ไฟถนนสองข้างนำสายตาไปแบบสุดลูกหูลูกตา สะพานพระราม 8 ยังมองไม่เห็น เช่นเดียวกับอนาคตของกู แต่ละเสาไฟฟ้าผ่านไปด้วยความเชื่องช้าและดูราวกับไม่มีวันจบสิ้น....ใจนึกว่า ถ้างานนี้จะวิ่งไม่จบ ก็คงไม่โทษตัวเอง
(14) 31-33 กม.
ฟ้าเริ่มสาง แสงแดดแผดเผาราวกับฤดูร้อน ซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายลงไปอีก พลังงานในร่างกายดูจะระเหยหายตามเหงื่อไปด้วย ผมรู้สึกเหมือนวิ่งลากรถบรรทุกยางแบนคันหนึ่งอยู่ข้างหลัง
ในใจนึกสบถสาบานก่นด่าตัวเองซ้ำๆๆๆ ย้ำๆๆๆ ว่า....กูทำอย่างนี้ทำไม....ทำไม....กูไม่เอาแล้ว กูจะไม่ทำอะไรอย่างนี้อีกแล้ว...บางขณะรู้สึกหน้ามืดวิงเวียน เหมือนจะเป็นลม ต้องหยุดเดินลงนั่งยองๆ ยืดเส้นไปด้วย แต่พอยืนขึ้นมาก็หน้ามืด
อาการตะคริวไม่ได้หายไป แต่ไม่ดุดันเหมือนตอนเริ่มมาเยือน หรือว่ากูเริ่มจะชินแล้ว?
(15) 34-35 กม.
รถตู้ของโรงพยาบาลและรถกระบะหลายคันของเจ้าหน้าที่ แล่นผ่านไป บรรทุกนักวิ่งหมดสภาพหลายคนที่นั่งก้มหน้าก้มตาราวกับทหารหนีทัพ ใจนึกอยากไปนั่งในนั้นบ้าง จะได้หมดทุกข์หมดโศกเสียที แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกว่า กูสูญเสียมากเกินกว่าจะเลิกล้มกลางคันเสียแล้ว
วิ่งบ้างเดินบ้างไปเรื่อยๆ เหมือนนกปีกหักพยายามจะบิน สุดท้ายรถกระบะคันหนึ่งวิ่งมาขนาบข้าง ก่อนจะจอดแล้วไขกระจกลงมาถามว่า “ ไปด้วยกันมั้ยครับ?” ใจนึกคร่ำครวญในความเมตตาของเขา ผมโกหกคำโตไปว่ายังไหว พร้อมกัดฟันทำเป็นวิ่งเร็วขึ้น แต่พอรถกระบะวิ่งไปลับตา ความเร็วของผมก็กลับมาอยู่ในระดับเต่าคลานเหมือนเดิม
(16) 36-37 กม.
เจอพี่คนหนึ่งวิ่งอยู่อย่างเชื่องช้าพอกัน ผมเลยหาเพื่อนคุยเพื่อให้ลืมความเจ็บปวด แกเล่าว่าแกวิ่งจบมาราธอนมา 40 กว่าครั้งแล้ว ล่าสุดพึ่งไปวิ่ง trail ที่ จ.น่านมา 60 กว่ากิโล ตอนนี้พี่เค้าอายุ 67 ปีแล้ว
ผมตกใจในความฟิตและวันวัยของศิษย์พี่ แต่ก็ประหลาดใจไปด้วยกันว่า แล้วพี่มาทำอะไรอยู่กับผมที่นี่ ป่านนี้พี่ควรจะเข้าเส้นชัยไปยืนเบ่งกล้ามให้ลูกหลานชื่นชมแล้ว
ผมว่าอากาศร้อนอ้าว ที่ทำให้เหงื่อออกมากผิดปรกตินั้น น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของคำตอบ
(17) 38 กม.
เจอขี้กองใหญ่ ใหม่และสด อยู่ข้างทางวิ่ง มีฟองน้ำซับเหงื่อชิ้นเล็กโปะไว้ด้านบน สภาวะของเหลวและการกระจายตัวแสดงสถานะฉุกเฉินถึงขีดสุด การที่มันแสดงอารยะขัดขืน ชิงประกาศอิสรภาพก่อนถึงเส้นชัยเช่นนี้คงทำให้เจ้าของทุรนทุรายเจียนคลั่ง
ปราชญ์โบราณกล่าวไว้ว่า ลูกจะออก ขี้จะแตก ฝนจะตก สงครามจะเกิด คนจะตาย มันห้ามกันไม่ได้
ใจหนึ่งนึกเวทนาที่คนเราต้องมานั่งปลดทุกข์กลางที่สาธารณะเช่นนี้ แต่อีกใจหนึ่งก็นึกขำแบบดาร์กๆ ว่า อย่างน้อยก็คงมีคนที่เจอเรื่องทุกขเวทนายิ่งไปกว่ากูแน่ๆ
(18) 39-42 กม.
พยายามรักษาระดับความเร็วให้สม่ำเสมอที่สุด เห็นสะพานพระราม 8 ผมดีใจราวกับผู้อพยพเดินทางขึ้นเรือหนีสงครามมาอเมริกาแล้วเห็นเทพีเสรีภาพ
สุดท้ายวิ่งจบได้ด้วยเวลาสถิติใหม่ วิ่งนานเป็นพิเศษ 😛 ถ้าเป็นรายการระดับนานาชาติ คงโดนรถกวาดต้อนไปแล้ว นึกดีใจที่ไม่ได้ล้มเลิกไปเสียก่อน และกัดฟันวิ่งมาได้จนจบโดยไม่บาดเจ็บจนเกินไปนัก (แต่เป็นประสบการณ์โคตรเจ็บปวด)

(19) จบ
“ได้ไม่คุ้มเสีย” ผมนึกถึงคำพูดของเพื่อนบ้านนักวิ่งที่ได้คุยกัน
ผมคิดว่าคำพูดนี้ จะจริงหรือเท็จนั้น ขึ้นอยู่กับตัวนักวิ่งเองว่าจะนิยามมันอย่างไร ถ้านักวิ่งที่อ่อนซ้อม แล้วไปวิ่งในระยะที่ฝืนเกินกำลัง จนกระทั่งบาดเจ็บ คำนี้ก็จะเป็นเรื่องจริง
แต่หากว่าเราฟิตซ้อมมาดีพอ แล้ววิ่งจบได้ด้วยความสุข โดยไม่บาดเจ็บใดๆ คำนี้จะไม่เป็นความจริง
ผมคิดว่าการวิ่งระยะยาวนั้น เป็นกีฬาที่มีสะท้อนความสามารถเฉพาะตัวของมนุษย์อย่างตรงไปตรงมามากที่สุด เครื่องทุ่นแรงนั้น มีเพียงรองเท้าดีๆ เท่านั้น นอกนั้นก็อยู่ที่ความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และขนาดของหัวใจ
การได้เอาชนะตัวเองในเรื่องยากๆๆ และทำมันจนสำเร็จได้นั้น เป็นพลังงานบวกที่ส่งผลกระทบต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ เป็นพลวัตรให้เราฟันฝ่าเรื่องยากๆ เรื่องอื่นในชีวิตต่อได้อีกเรื่อยๆ
สำหรับผมแล้ว การวิ่งมาราธอนนั้น บังคับให้เราฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ที่อยุ่ข้างหน้า ไปทีละก้าว ก้าวแล้วก้าวเล่า แม้ว่ามันจะเจ็บปวด คล้ายเป็นการฉายภาพย่อของชีวิต ที่รวบมาอยู่เท่ากับระยะเวลาการวิ่ง นี่เป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมยากจะหาสิ่งใดมาทดแทน
19 พฤศจิกายน 2560
:::MARATHON RECORD : บันทึกบางกอกมาราธอน 2560:::
(1)
ไม่กี่สัปดาห์ก่อนการวิ่งงานบางกอกมาราธอนปีนี้ ผมไป fitness เพื่อเร่งฟิตกล้ามเนื้อส่วน Core body ได้เจอนักวิ่งอีกคนในหมู่บ้านเดียวกัน มาเล่นเวท ผมถามเค้าว่าเค้าได้ลงแข่งมาราธอนงานนี้หรือเปล่า เค้าส่ายหัว ก่อนจะตอบว่า การวิ่งมาราธอนนั้น เป็นระยะทางที่ “ได้ไม่คุ้มเสีย”
...ผมฟังแล้วก็ได้แต่หัวเราะเสียงแหบๆ ในใจนึกใคร่ครวญคำพูดเพื่อนบ้าน
(2)
พี่ชายผมเป็นตัวตั้งตัวตีในการสมัครวิ่งมาราธอนให้ตามเคย เค้าให้เหตุผลว่า ผมควรจะลงแข่งให้จบในชื่อของตัวเอง เพราะการลงมาราธอน เมื่อปีที่แล้ว ผมซื้อ BIB ต่อมาจากคนอื่นอีกที ทำให้ระบบไม่เคยบันทึกชื่อผมอย่างเป็นทางการ พี่ชายคนนี้เป็นคนเคร่งครัดในเรื่องหลักฐานเสมอ
หน้าที่การงานปีนี้ วุ่นวายเหมือนเคย ชีวิตคนมักมากทางประสบการณ์ มันคงซ้อมได้แค่ประมาณนี้แหละ ผมซ้อมวิ่งไกลสุดแค่ระยะ HALF MARATHON เท่านั้นเอง ตามหลักวิทยาศาสตร์การกีฬา แนะนำว่า ต้องมีวิ่งยาว 32 กม. สัก 2-3 ครั้งถึงจะดี แต่อีกใจหนึ่ง แอบหวังว่าปีนี้ เล่นเวทมากขึ้น แถมปั่นจักรยานบ้าง อาจจะมีอะไรดีขึ้นบ้าง
งานเริ่มวิ่งตอนตี 2 ของเช้าวันอาทิตย์ พี่ชายผมบอกว่า ถ้าวิ่ง pace ไม่เกิน 7.07 นาที / กิโลเมตร จะทำให้เวลาต่ำกว่า 5 ชั่วโมง ผมแค่นหัวเราะ
(4) 24 ชั่วโมง ก่อนวิ่ง
ก่อนวันวิ่ง 1 วัน ผมติดธุระทั้งวัน เช้า-บ่ายพาแม่กับน้องสาวไปดูงานพระเมรุ ตระเวนเดินทาง ตกเย็นภรรยาไม่สบายต้องพาไปหาหมอ กว่าจะได้เข้านอนก็ปาเข้าไป 3 ทุ่ม หลับๆ ตื่นๆ ได้สักพัก เที่ยงคืนก็ต้องลุกมาเตรียมตัวแล้ว สรุปได้นอน ไปแค่ 3 ชั่วโมง แบบไม่เต็มอิ่ม สัญญาณเริ่มไม่สู้ดี ความรู้สึกปอดแหก เริ่มทำหน้าที่ของมัน
(5) ปล่อยตัว
ขับรถมาจอดตรงเทเวศร์ ตอนตี 1 :30 แล้ววิ่งไปที่จุดสตาร์ท นอกเหนือจากนักวิ่งคนไทยแล้ว มีชาวต่างชาติเยอะเหมือนกัน
ผมเริ่มวอร์มร่างกาย และวางแผนการวิ่งครั้งนี้ ให้ แตกต่างจากครั้งที่แล้ว คือ จะวิ่ง 5 กม. แล้วหยุดเดินสัก 1-2 นาที เพื่อควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจ และลดอาการล้าสะสมของกล้ามเนื้อ
(6) 1-5 กม.
เส้นทางการวิ่งของกรุงเทพมาราธอนครั้งนี้ ใช้เส้นทางถนนราชดำเนินนอก ขึ้นสะพานพระราม 8 แล้วต่อไปถนน บรมราชชนนี แล้วยาวไปจนกลับตัวที่ 21.1 กม. ก่อนจะวิ่งวกกลับมาเส้นทางเดิม ผมเห็นเส้นทางแล้วหวั่นๆ อยู่บ้าง เพราะนอกจากจุดกลับตัวแล้ว เส้นทางมันบังคับให้วิ่งอยู่บนทางยกระดับตลอด ไม่มีทางลงเลย ไม่มีทางอู้แวะ 7-11 ได้เลย และนักพักริมทาง เหมือนวิ่งตามท้องถนน หรือสวนสาธารณะ
หลังปล่อยตัวเสร็จ รู้สึกได้เลยว่าวันนี้ไม่มีลมเอาเสียเลย อากาศก็ไม่ค่อยเย็นน่าวิ่งเท่าไหร่ แต่ก็ควบคุมจังหวะการหายใจได้ดี
(7) 6-10 กม.
วิ่งไปได้เรื่อยๆ สบายๆ วันนี้ท่าทางจะไปได้สวย จุดให้น้ำ มีทุกๆ ระยะ 2 กม. ซึ่งถือว่าค่อนข้างถี่ แต่ก็นับเป็นเรื่องที่ดี ผมฟังเพลงผ่าน Bluetooth headphone อย่างสบายใจ Pace ยังอยู่ที่ 7 ต้นๆ สบายๆ
(8) 11-15 กม.
เริ่มรู้สึกว่าอากาศร้อนน่าดู ขนาดวิ่งมืดๆ เหงื่อยังท่วมตัว เสื้อยืดที่ผมใส่ แม้ว่าจะเป็นแบบระบายอากาศได้ดี แต่ก็ชุ่มเหงื่อจนน่ารำคาญ วิ่งๆ ไป ไปเจอผู้หญิงคนหนึ่ง ใส่เสื้อกล้ามวิ่ง ผิวเธอแห้ง และผมยาวไม่มีเหงื่อเลย ผมนึกฉงนว่าเป็นเธอเป็นคนหรือแอนดรอยด์
(9) 16-20 กม.
เจอนักวิ่งผิวดำวิ่งสวนกลับมาแล้ว
วิ่งๆ ไปเจออ้วกอยู่กองหนึ่งบนทางยกระดับ มันคงเคยเป็นของนักวิ่งคนใดคนหนึ่ง
ผมยังพอควบคุมจังหวะการหายใจของตัวเองได้ดีพอสมควร มีเดินบ้างเป็นระยะตามแผนที่วางไว้ ความเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อ ยังอยู่ในระยะที่พอรับได้
เสื้อผมชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ เลยถอดเสื้อออกมาบิดน้ำให้แห้ง แล้ววิ่งต่อ
(10) 21.1 กม.
ถึงจุดกลับตัว ไกลเอาเรื่องเหมือนกัน มาถึงครึ่งทางแล้ว ผมหยุดเดิน และกิน energy bar ของเหลวเหนียวข้นเหมือนนมข้นหวานรสชาดชวนผะอืดผะอมลงคอ
นึกสงสัยว่าเพลงที่ฟังมาตั้งแต่เริ่มวิ่ง หยุดไปตอนไหนนะ...เจ้ากรรม....Bluetooth headphone คู่ใจหล่นหายไปเสียแล้ว สงสัยจะหลุดไปตอนที่ถอดเสื้อมาบิดน้ำแน่ๆ ถึงตอนนี้ก็ไม่คุ้มที่จะวิ่งกลับไปหาแล้ว ปล่อยเลยตามเลย แล้ววิ่งฟังเสียงลมหายใจตัวเองนี่แหละ
วิ่งสวนทางไปกับกลุ่มที่ยังวิ่งไม่ถึงจุดกลับตัว เห็นใบหน้านักวิ่งบางคน อ้าปากหายใจเหมือนคนยิ้มกว้าง แต่ตาและคิ้วตกเหมือนกำลังร่ำไห้ ดูแล้วเป็นสัดส่วนที่ไล่เลี่ยกันระหว่างความเบิกบานและทุกข์ทรมาณ
(11) 21.1-25 กม.
เสียงลมหายใจนักวิ่งข้างๆ ลงหนักมาก บางคนเริ่มวิ่งขาลากแล้ว ใครบางคนไอดังหนักหน่วงพร้อมพยายามขับเอาของเหลวเหนียวหนึบออกมาจากคอ ผมยังวิ่งต่อไปได้เรื่อยๆ ในความเร็วที่เริ่มช้าลงไปเรื่อยๆ
นักวิ่งชายบางคนหยุดวิ่ง แล้วถอดเสื้อ เปลือยท่อนบน ถ้ามีสาวๆ ทำแบบนี้บ้าง การวิ่งครั้งนี้คงรื่นรมย์ไม่น้อย
ไอ้คิว มันเริ่มมาเคาะประตูทักทาย ตามจุดต่างๆ ของขาแล้ว ผมวิ่งช้าลงไปอีก เพื่อหาทางไกล่เกลี่ยกับมัน
(12) 26 กม.
ตะคริวกินเท้าข้างขวาเสียแล้ว ผมรู้สึกเหมือนเท้าตัวเองโดนสัตว์กินเนื้อเขี้ยวคม กัดจมลงไปทั้งเท้า ต้องไปยืนพิงกับราวกันตกของทางยกระดับ พอขยับขาจะถอดรองเท้าเท่านั้น ตะคริวก็เข้ามาตะครุบขาทั้งขวาและซ้ายอย่างเหี้ยมเกรียา ผมหล่นวูบทรุดลงไปทันที จนมีเจ้าหน้าที่เข้ามาช่วยดัดขาให้ พร้อมนวดเฟ้นอีกพักหนึ่ง
ยังเหลืออีก 16 กิโลเมตร แล้วด้วยสภาพขาอย่างนี้ จะทำอย่างไร ใจนึกปลงสังขารตัวเอง เหมือนร่างกายผมจะมีความอดทนอดกลั้นแค่ 25 กิโลเมตร เกินจากนี้ทีไร มันจะประท้วงอย่างนี้ทุกที
...แผนการวิ่ง 5 กิโลเมตรแล้วพัก ทำหน้าที่เกิน scope of work ของมันไปหมดแล้ว ...แผนการดีแค่ไหนก็ไร้ค่าถ้าอ่อนซ้อม...จากนี้ไปต้องไปแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันทีละก้าว...
(13) 26-30 กม.
ผมวิ่งช้าลงมาก ทุกครั้งที่วางเท้า ต้องทำอย่างแผ่วเบา ผมวิ่งแบบย่อตัวลงกว่าปรกติ เพื่อเปลี่ยนมาใช้กล้ามเนื้อหน้าขาแทน และหาทางเจรจากับอาการตะคริว รู้สึกเหมือนเดินนำสัตว์ป่าตัวหนึ่ง ที่มันพร้อมจะขย้ำเราได้ทุกเมื่อ ลมหายใจกระจัดกระจายแบบไม่เป็นระบบ ควบคุมได้ลำบาก รู้สึกเหนื่อยล้าสิ้นหวัง ใจนึกถึงข่าวนักร้องชื่อดังในอดีตที่ตายคาเวทีก่อนวัยอันควร ด้วยอาการหัวใจล้มเหลว
ไฟถนนสองข้างนำสายตาไปแบบสุดลูกหูลูกตา สะพานพระราม 8 ยังมองไม่เห็น เช่นเดียวกับอนาคตของกู แต่ละเสาไฟฟ้าผ่านไปด้วยความเชื่องช้าและดูราวกับไม่มีวันจบสิ้น....ใจนึกว่า ถ้างานนี้จะวิ่งไม่จบ ก็คงไม่โทษตัวเอง
(14) 31-33 กม.
ฟ้าเริ่มสาง แสงแดดแผดเผาราวกับฤดูร้อน ซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายลงไปอีก พลังงานในร่างกายดูจะระเหยหายตามเหงื่อไปด้วย ผมรู้สึกเหมือนวิ่งลากรถบรรทุกยางแบนคันหนึ่งอยู่ข้างหลัง
ในใจนึกสบถสาบานก่นด่าตัวเองซ้ำๆๆๆ ย้ำๆๆๆ ว่า....กูทำอย่างนี้ทำไม....ทำไม....กูไม่เอาแล้ว กูจะไม่ทำอะไรอย่างนี้อีกแล้ว...บางขณะรู้สึกหน้ามืดวิงเวียน เหมือนจะเป็นลม ต้องหยุดเดินลงนั่งยองๆ ยืดเส้นไปด้วย แต่พอยืนขึ้นมาก็หน้ามืด
อาการตะคริวไม่ได้หายไป แต่ไม่ดุดันเหมือนตอนเริ่มมาเยือน หรือว่ากูเริ่มจะชินแล้ว?
(15) 34-35 กม.
รถตู้ของโรงพยาบาลและรถกระบะหลายคันของเจ้าหน้าที่ แล่นผ่านไป บรรทุกนักวิ่งหมดสภาพหลายคนที่นั่งก้มหน้าก้มตาราวกับทหารหนีทัพ ใจนึกอยากไปนั่งในนั้นบ้าง จะได้หมดทุกข์หมดโศกเสียที แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกว่า กูสูญเสียมากเกินกว่าจะเลิกล้มกลางคันเสียแล้ว
วิ่งบ้างเดินบ้างไปเรื่อยๆ เหมือนนกปีกหักพยายามจะบิน สุดท้ายรถกระบะคันหนึ่งวิ่งมาขนาบข้าง ก่อนจะจอดแล้วไขกระจกลงมาถามว่า “ ไปด้วยกันมั้ยครับ?” ใจนึกคร่ำครวญในความเมตตาของเขา ผมโกหกคำโตไปว่ายังไหว พร้อมกัดฟันทำเป็นวิ่งเร็วขึ้น แต่พอรถกระบะวิ่งไปลับตา ความเร็วของผมก็กลับมาอยู่ในระดับเต่าคลานเหมือนเดิม
(16) 36-37 กม.
เจอพี่คนหนึ่งวิ่งอยู่อย่างเชื่องช้าพอกัน ผมเลยหาเพื่อนคุยเพื่อให้ลืมความเจ็บปวด แกเล่าว่าแกวิ่งจบมาราธอนมา 40 กว่าครั้งแล้ว ล่าสุดพึ่งไปวิ่ง trail ที่ จ.น่านมา 60 กว่ากิโล ตอนนี้พี่เค้าอายุ 67 ปีแล้ว
ผมตกใจในความฟิตและวันวัยของศิษย์พี่ แต่ก็ประหลาดใจไปด้วยกันว่า แล้วพี่มาทำอะไรอยู่กับผมที่นี่ ป่านนี้พี่ควรจะเข้าเส้นชัยไปยืนเบ่งกล้ามให้ลูกหลานชื่นชมแล้ว
ผมว่าอากาศร้อนอ้าว ที่ทำให้เหงื่อออกมากผิดปรกตินั้น น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของคำตอบ
(17) 38 กม.
เจอขี้กองใหญ่ ใหม่และสด อยู่ข้างทางวิ่ง มีฟองน้ำซับเหงื่อชิ้นเล็กโปะไว้ด้านบน สภาวะของเหลวและการกระจายตัวแสดงสถานะฉุกเฉินถึงขีดสุด การที่มันแสดงอารยะขัดขืน ชิงประกาศอิสรภาพก่อนถึงเส้นชัยเช่นนี้คงทำให้เจ้าของทุรนทุรายเจียนคลั่ง
ปราชญ์โบราณกล่าวไว้ว่า ลูกจะออก ขี้จะแตก ฝนจะตก สงครามจะเกิด คนจะตาย มันห้ามกันไม่ได้
ใจหนึ่งนึกเวทนาที่คนเราต้องมานั่งปลดทุกข์กลางที่สาธารณะเช่นนี้ แต่อีกใจหนึ่งก็นึกขำแบบดาร์กๆ ว่า อย่างน้อยก็คงมีคนที่เจอเรื่องทุกขเวทนายิ่งไปกว่ากูแน่ๆ
(18) 39-42 กม.
พยายามรักษาระดับความเร็วให้สม่ำเสมอที่สุด เห็นสะพานพระราม 8 ผมดีใจราวกับผู้อพยพเดินทางขึ้นเรือหนีสงครามมาอเมริกาแล้วเห็นเทพีเสรีภาพ
สุดท้ายวิ่งจบได้ด้วยเวลาสถิติใหม่ วิ่งนานเป็นพิเศษ 😛 ถ้าเป็นรายการระดับนานาชาติ คงโดนรถกวาดต้อนไปแล้ว นึกดีใจที่ไม่ได้ล้มเลิกไปเสียก่อน และกัดฟันวิ่งมาได้จนจบโดยไม่บาดเจ็บจนเกินไปนัก (แต่เป็นประสบการณ์โคตรเจ็บปวด)
“ได้ไม่คุ้มเสีย” ผมนึกถึงคำพูดของเพื่อนบ้านนักวิ่งที่ได้คุยกัน
ผมคิดว่าคำพูดนี้ จะจริงหรือเท็จนั้น ขึ้นอยู่กับตัวนักวิ่งเองว่าจะนิยามมันอย่างไร ถ้านักวิ่งที่อ่อนซ้อม แล้วไปวิ่งในระยะที่ฝืนเกินกำลัง จนกระทั่งบาดเจ็บ คำนี้ก็จะเป็นเรื่องจริง
แต่หากว่าเราฟิตซ้อมมาดีพอ แล้ววิ่งจบได้ด้วยความสุข โดยไม่บาดเจ็บใดๆ คำนี้จะไม่เป็นความจริง
ผมคิดว่าการวิ่งระยะยาวนั้น เป็นกีฬาที่มีสะท้อนความสามารถเฉพาะตัวของมนุษย์อย่างตรงไปตรงมามากที่สุด เครื่องทุ่นแรงนั้น มีเพียงรองเท้าดีๆ เท่านั้น นอกนั้นก็อยู่ที่ความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และขนาดของหัวใจ
การได้เอาชนะตัวเองในเรื่องยากๆๆ และทำมันจนสำเร็จได้นั้น เป็นพลังงานบวกที่ส่งผลกระทบต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ เป็นพลวัตรให้เราฟันฝ่าเรื่องยากๆ เรื่องอื่นในชีวิตต่อได้อีกเรื่อยๆ
สำหรับผมแล้ว การวิ่งมาราธอนนั้น บังคับให้เราฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ที่อยุ่ข้างหน้า ไปทีละก้าว ก้าวแล้วก้าวเล่า แม้ว่ามันจะเจ็บปวด คล้ายเป็นการฉายภาพย่อของชีวิต ที่รวบมาอยู่เท่ากับระยะเวลาการวิ่ง นี่เป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมยากจะหาสิ่งใดมาทดแทน
19 พฤศจิกายน 2560