หลวงปู่คำคะนิงพบนางแบบลงนรก

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
จากประวัติ “หลวงปู่คำคนิง จุลมณี” วัดถ้ำคูหาสวรรค์ อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี ด้วยว่า มีคราวหนึ่ง หลวงปู่คำคนิงกล่าวว่า ท่านประมาทไปไม่สนใจร่างกายของตนที่เจ็บออดๆแอดๆ มาตลอดพรรษา เมื่อท่านเข้าฌานสมาบัติอยู่ในถ้ำคูหาสวรรค์ ริมฝั่งโขงไปได้สิบกว่าวันแล้ว ไม่ฉันอาหารอะไรเลย ปรากฏว่าสังขารนั้นทนรับไม่ไหว หัวใจหยุดเต้นไปเฉยๆ มีความรู้สึกด้วยสติปัญญาว่า สังขารของเราถึงกาลแตกดับเสียแล้ว แต่ท่านสติยังดี ไม่ตกใจหวั่นกลัวความตายแม้แต่น้อย
จิตวิญญาณของท่าน ! พอวูบวาบออกจากร่างก็ไปรวดเร็วมาก ไม่สนใจไยดีร่างกายเดิมที่หมอบฟุบอยู่บนอาสนะเลย เหมือนคนเราถอดเสื้อผ้าตัวเก่าทิ้งไว้แล้วไปใส่ชุดใหม่ไปเที่ยวนั่นแหละ ! สติของท่านตามจิตวิญญาณไป สตินี้เป็นตัวปัญญาเบื้องสูง เป็นตัวบังคับบัญชาจิต สติของอาตมาตามจิตไป จิตวิญญาณของท่านเดินไปอย่างรวดเร็วมาก ทางที่ไปนั้นเป็นทางสายใหญ่กว้างขวางมาก ความรู้สึกของจิตวิญญาณบอกว่า ทางสายนี้กว้างถึง ๘,๐๐๐ วา เป็นทางไปสู่ “ศาลาพันห้อง”
ศาลาพันห้อง เป็นศาลาใหญ่โตมโหฬาร เป็นศาลากลางแห่งโลกวิญญาณ มีถนนใหญ่กว้างถึง ๘,๐๐๐ วา จำนวน ๘ สาย พุ่งตรงไปยังศาลาพันห้องนี้ ท่านเห็นผู้คนทั้งชายและหญิงลูกเล็กเด็กแดง คนหนุ่มสาว และเฒ่าแก่เดินหลั่งไหลตามกันไปแน่นถนน มองสุดลูกหูลูกตา มองเห็นแต่หัวดำบ้าง หัวหงอกบ้าง ทองบ้าง นับไม่ถ้วน คล้ายตัวไหมนับล้านๆตัว ในกระด้งใหญ่ที่เขาเลี้ยงตัวไหมตามหมู่บ้านในชนบท ดูไปอีกทีคล้ายฝูงมดปลวก ผู้คนมากมายเหลือคณานับ มีทั้งแขกจีนไทยฝรั่ง ทุกเชื้อชาติศาสนา

หลวงปู่เดินเที่ยวชมเมืองนรกต่อไป เห็นสถานที่แห่งหนึ่งสว่างไสวรุ่งโรจน์ดุจแสงฟ้าแลบอยู่ แปลบปลาบยกพื้นเวทีกว้าง สะพานทอดยาวโค้งลงไปในสระน้ำอันกว้างใหญ่ สระน้ำนั้นลุกไหม้เป็นเปลวไฟแดงฉานโชติช่วง น่าสะพรึงกลัว ! ก็รู้ว่าเป็นขุมนรก บนสะพานนั้นมีหญิงสาวรูปร่างอรชรสวยงามจำนวนมาก พากันเดินจากเวทีมีม่านผืนใหญ่มหึมา หญิงสาวเหล่านั้นแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์สวยงาม และหลงใหลยึดถือว่าร่างกายตัวตนนั้นแสนงดงามเดินนวยนาดทอดขา ลงจากเวทีมาตามสะพาน
จ่ายมบาลอธิบายว่า “มนุษย์หญิงเหล่านี้เป็นพวกนางงามนางแบบ กำลังเดินโชว์ร่างกายและเสื้อผ้า” หลวงปู่ยืนงุนงงประหลาดใจยิ่ง เพราะนางงาม นางแบบเสื้อผ้าอาภรณ์สวยงามฉูดฉาดสะดุดตาเหล่านั้น เดินเรียงรายตามกันออกไปยืนอยู่กลางสะพาน แล้วเปลื้องเสื้อผ้าออก เหลือแต่ร่างกายล่อนจ้อน อุจาดนัยน์ตา แต่ละนางเรือนร่างล้วนสวยงาม ด้วยส่วนสัดปานนางฟ้า
จากนั้น ก็มีนกอินทรีย์ตัวใหญ่บินมาจากไหนก็ไม่รู้ ตานกอินทรีย์แดงฉาน พวยพุ่งออกมาเป็นเปลวไฟ มันบินเข้ามาตรงหน้าหญิงสาวแต่ละนางที่ยืนเปลือยกายอยู่ แล้วใช้จะงอยปากอันคมกริบนั้นจิกเข้าที่หน้าผากของหญิงสาวอย่างรวดเร็ว และกระชากทีเดียว !
หนังศีรษะและเส้นผมก็ลอกออกมา ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า กลายเป็นหนังทั้งแผ่น หญิงสาวนางนั้นส่งเสียงหวีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด สุดแสนทุกข์ทรมาน ปวดแสบปวดร้อนเหลือคณา !
ชีวิตจิตวิญญาณไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า จะต้องมารับกรรมสาหัสเช่นนี้ ถ้าพูดได้ก็อยากเตือนรุ่นน้องๆ ว่า “อย่าได้มารับกรรมเหมือนข้าพเจ้าเลย”
เมื่อนกอินทรีย์จิกลอกเอาหนังออกไป ก็เหลือแต่ร่างที่แดงฉานไปด้วยเลือด น่าขยะแขยง ! ชวนขนพองสยองเกล้า จะมองหาความงามเมื่อตะกี้นี้ไม่พบเลย นกอินทรีย์ได้จิกกินเอาตาทั้งสองข้างก่อน แล้วจิกเอาเนื้อแดงๆออกมา เผยให้เห็นอวัยวะภายในคือ ตับไตไส้พุง ชวนให้อยากอาเจียน จากนั้นนกอินทรีย์จิกกินตับไตไส้พุงจนหมดสิ้น ! เหลือแต่ร่างโครงกระดูกยืนสั่นสะท้านอยู่
ฝ่ายหญิงสาวคนอื่นๆ เห็นเช่นนั้นก็มีความหวาดกลัวตายอย่างสุดขีด ! พากันกระโดดหนีลงไปในสระนรกที่เป็นเปลวไฟลุกโชติช่วงแดงฉานนั้น ก็ถูกเปลวไฟนรกลุกเผาไหม้ ส่งเสียงร้องกรีดแหลมระเบ็งเซ็งแซ่ด้วยความเจ็บปวด แล้วก็มีเหล็กคล้ายหอกเผาไฟแดงๆ แทงทะลุร่างหญิงสาวเหล่านั้น ส่งขึ้นมาจากขุมไฟนรก ร่างที่ไหม้เหลือแต่กระดูกขาวโพลนก็กลับกลายร่างเป็นหญิงสาวสวยงามเหมือนเดิม มีเสื้อผ้าอาภรณ์สวมใส่สะดุดตาเหมือนเดิมทุกอย่าง
ต่อจากนั้นก็ถูกนกอินทรีย์โผบินเข้าจิก กระชากเสื้อผ้าออกเหลือแต่กายเปลือยล่อนจ้อน แล้วจิกหนังลอกออกทั้งแผ่น จิกกินเนื้อกินตับไตไส้พุงเหมือนที่กระทำกับหญิงสาวคนแรก ส่วนหญิงสาวคนอื่นๆ มีความหวาดกลัว ส่งเสียงหวีดร้องวุ่นวายระเบ็งเซ็งแซ่นั้น จะวิ่งหนีไปทางไหนก็ไม่ได้ เพราะมีหอกเผาไฟแดงๆ พุ่งแทงขึ้นมาจากขุมนรก มีเพลิงจี้สกัดหน้าสกัดหลังไว้รอบข้างไปหมด
          หลวงปู่สลดสังเวชเป็นที่ยิ่ง ! ไม่ทราบว่าหญิงสาว เหล่านี้มีความผิดสถานใด? ถึงต้องมาถูกลงโทษอย่างโหดเหี้ยมอำมหิตสยดสยองแสนเหี้ยมเกรียมถึงปานนี้ !
           จ่ายมบาลล่วงรู้วาระจิต จึงตอบว่า “หญิงสาวเหล่านี้สมัยเป็นมนุษย์ชอบประพฤติตนทางอนาจาร คือ อวดร่างกายของตน เปลือยร่างต่อสาธารณะ และหลงใหลลุ่มหลงในเสื้อผ้าอาภรณ์เครื่องตกแต่งประดับกายอย่างไม่ลืมหูลืมตา สามารถกระทำชั่วได้ในทุกสิ่งเพื่อแสวงหาเงินมาซื้อเสื้อผ้าอาภรณ์ประดับตัวเองอวดคนอื่น เป็นผู้หญิงประเภทฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ไม่รู้จักศาสนาคำสั่งสอนของศาสดาองค์ใด ไม่เชื่อในคุณความดีใดๆ ไม่ละอายแก่ใจ เชื่อแต่ว่าเกิดมาชาตินี้ชาติเดียว ต้องแสวงหาความสุขให้เต็มที่ กิน ถ่าย เสพกาม และนอนเท่านั้น อย่างอื่นไม่คิด ชาติหน้าไม่มี บาปบุญไม่มี นรกไม่มี พอใจแต่จะทำตามกิเลสของตน ฉะนั้น เมื่อหญิงสาวเหล่านี้ตายแล้ว จึงมาเสวยกรรมในนรกเช่นนี้"
http://thammadeedee.blogspot.com/2011/01/blog-post_928.html
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่