เราเป็นลูกสาวคนเดียว พ่อแม่แยกทางกัน ตั้งแต่เราอยู่ชั้นอนุบาลเห็นจะได้. เราอยู่กับยายและแม่ซึ่งตั้งแต่จำความได้ เราก็เห็นแม่กับยายทะเลาะกันตลอด ซึ่งตอนนั้นไม่เข้าใจได้แต่ยืนร้องไห้เวลาที่พวกเค้าทะเลาะกัน...
แม่เรารับราชการ ซึ่งต้องออกไปทำงานทุกวัน และเเม่เป็นคนหาเงินส่งเสียค่าใช้จ่ายทุกอย่างภายในบ้านทั้งหมด รวมถึงค่าใช้จ่ายในการเรียนของเราด้วย. ส่วนเริ่องของพ่อแม่ไม่เคยพูดถึงอีกเลย. ทำให้เราเกรงใจที่จะถาม ถึงแม้ในใจจะมีคำถามเต็มไปหมด...??
พอเราโตขึ้น เรารับรู้ได้ถึงความรุนเเรงภายในบ้าน เห็นแม่กับยายทะเลาะกันรุนแรงถึงขั้นลงมือทำร้ายกัน ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่เข้าใจ เสียงดังลั่นหมู่บ้าน เราได้แต่แอบร้องไห้คนเดียว เพราะทั้งเสียใจและรู้สึกอายบ้านใกล้ๆเพราะสายตาที่เค้ามองกันว่าเอาอีกแล้วครอบครัวนี้ ทะเลาะกันได้ทั้งปี....
ถ้าคนมองครอบครัวเราจากภายนอกไม่ได้เข้ามาคลุกคลีหรือสัมผัสอะไรมากมาย. อาจจะมองว่าเป็นครอบครัวเล็กๆน่ารักและอบอุ่น ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่ใช่เลย
เรากลายเป็นเด็กใจแตก ตอนอายุ 17 ปี เพราะถูกแม่และยายไล่ออกจากบ้านเพราะจับได้ว่ามีแฟนและพลาดพลั้งไปมีอะไรกันขณะที่ยังเรียนหนังสือ. ทำให้แม่และยายรู้สึกอับอายมากในตอนนั้น. ที่ลูกสาวคนเดียวและหลานสาวคนเดียวทำตัวนอกกรอบที่ขีดไว้
เราถูกเลี้ยงดูถือว่าค่อนข้างสบายในระดับนึง. ไม่ได้ถือว่าลำบากกายอะไรมากมายนัก แม่ไปรับไปส่งเวลาไปโรงเรียนทุกวัน ไม่เคยได้ไปไหนกับเพื่อนๆ เลิกเรียนต้องรีบกลับบ้าน. เสาร์อาทิตย์เรียนพิเศษปกติเหมือนเด็กนักเรียนทั่วไป แม่จะสอนเสมอว่าห้ามเถียง ห้ามพูดสอดแทรกเวลาผู้ใหญ่คุยกัน ทำให้เรากลายเป็นคนไม่ค่อยพูดไม่ค่อยชอบแสดงความคิดเห็นมาตลอด. เพราะแม่จะบอกตลอดว่า เรื่องของผู้ใหญ่ ไม่ใช่เรื่องของเด็ก เด็กห้ามยุ่ง..??!?!?
จนวันนึงได้เจอกับแฟนคนแรก รู้สึกอบอุ่นในใจแปลกๆ เค้ารับฟังและให้โอกาสเราได้รักได้แสดงความคิดเห็น ได้เป็นตัวของเราเองจริงๆ เหมือนได้เปิดตามองดูโลกภายนอกมากขึ้น จนครอบครัวเราจับได้ และเราถูกคำสั่งให้ตัดขาดจากแฟน โดยถูกยื่นคำขาดให้เลิกทันที ก่อนหน้านี้เราทั้งถูกด่าทอและทำร้ายร่างกายจากครอบครัว. จนเรื่องถึงพัฒนาสังคม เพราะครอบครัวเราเข้าแจ้งความฝ่ายชาย. ข้อหาพรากผู้เยาว์ พัฒนาสังคมเข้ามาสอบถามและเเนะนำให้เราและเราควรได้รับการเยียวยา หากเราต้องการ. แต่เราได้ปฏิเสธไป
แม่ได้ตบตีเราและด่าทอเราต่อหน้าตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ในโรงพัก. เพราะเราให้การเข้าข้างฝ่ายชาย
กระเป๋าเสื้อผ้าพร้อมของใช้ส่วนตัวบางส่วนได้ถูกเอามากองรวมกันไว้หน้าบ้าน และเป็นวันสุดท้ายที่เราก้าวออกจากบ้านมาด้วยวัยเพียง 17 ปี ด้วยเหตุที่เราเลือกผู้ชาย ไม่เลือกครอบครัว เราจึงถูกตัดหางปล่อยวัด. พร้อมกับคำพูดที่ว่า. ให้แฟน ึง นะเป็นคนส่งเสียให้เรียน ส่วน. ู ขอตัดขาดจากความเป็นแม่เป็นลูกกันตั้งแต่วันนี้
เรามาเรียนต่อม.ปลายที่ กศน. แล้วสมัครเข้าเรียนระดับ ปวส. ทั้งเรียนทั้งทำงาน เหนื่อยแต่มีความสุขมากกกกกก. ได้ใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองเลือก. ได้ทำได้คิดในสิ่งที่ตัวเองตั้งใจ ไม่ต้องอยู่ในกรอบ และไม่ต้องทนฟังคำดุด่าสารพัด แต่เราก็รักครอบครัวนะ. และยังคอยแวะไปเยี่ยมเสมอทุกวัน ซึ่งพอเค้าเห็นเราไม่ทิ้งการเรียน. เข้าก็เริ่มยอมรับในตัวเรามากขึ้น และยอมให้เราเข้าบ้าน...
#เดี๋ยวกลับมาต่อนะค่ะ. ^^#
ปัญหาภายในครอบครัว กับคนในครอบครัวเราเองที่คิดว่าแย่สุดๆเป็นไงกันค่ะ แชร์กันหน่อย..T T
แม่เรารับราชการ ซึ่งต้องออกไปทำงานทุกวัน และเเม่เป็นคนหาเงินส่งเสียค่าใช้จ่ายทุกอย่างภายในบ้านทั้งหมด รวมถึงค่าใช้จ่ายในการเรียนของเราด้วย. ส่วนเริ่องของพ่อแม่ไม่เคยพูดถึงอีกเลย. ทำให้เราเกรงใจที่จะถาม ถึงแม้ในใจจะมีคำถามเต็มไปหมด...??
พอเราโตขึ้น เรารับรู้ได้ถึงความรุนเเรงภายในบ้าน เห็นแม่กับยายทะเลาะกันรุนแรงถึงขั้นลงมือทำร้ายกัน ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่เข้าใจ เสียงดังลั่นหมู่บ้าน เราได้แต่แอบร้องไห้คนเดียว เพราะทั้งเสียใจและรู้สึกอายบ้านใกล้ๆเพราะสายตาที่เค้ามองกันว่าเอาอีกแล้วครอบครัวนี้ ทะเลาะกันได้ทั้งปี....
ถ้าคนมองครอบครัวเราจากภายนอกไม่ได้เข้ามาคลุกคลีหรือสัมผัสอะไรมากมาย. อาจจะมองว่าเป็นครอบครัวเล็กๆน่ารักและอบอุ่น ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่ใช่เลย
เรากลายเป็นเด็กใจแตก ตอนอายุ 17 ปี เพราะถูกแม่และยายไล่ออกจากบ้านเพราะจับได้ว่ามีแฟนและพลาดพลั้งไปมีอะไรกันขณะที่ยังเรียนหนังสือ. ทำให้แม่และยายรู้สึกอับอายมากในตอนนั้น. ที่ลูกสาวคนเดียวและหลานสาวคนเดียวทำตัวนอกกรอบที่ขีดไว้
เราถูกเลี้ยงดูถือว่าค่อนข้างสบายในระดับนึง. ไม่ได้ถือว่าลำบากกายอะไรมากมายนัก แม่ไปรับไปส่งเวลาไปโรงเรียนทุกวัน ไม่เคยได้ไปไหนกับเพื่อนๆ เลิกเรียนต้องรีบกลับบ้าน. เสาร์อาทิตย์เรียนพิเศษปกติเหมือนเด็กนักเรียนทั่วไป แม่จะสอนเสมอว่าห้ามเถียง ห้ามพูดสอดแทรกเวลาผู้ใหญ่คุยกัน ทำให้เรากลายเป็นคนไม่ค่อยพูดไม่ค่อยชอบแสดงความคิดเห็นมาตลอด. เพราะแม่จะบอกตลอดว่า เรื่องของผู้ใหญ่ ไม่ใช่เรื่องของเด็ก เด็กห้ามยุ่ง..??!?!?
จนวันนึงได้เจอกับแฟนคนแรก รู้สึกอบอุ่นในใจแปลกๆ เค้ารับฟังและให้โอกาสเราได้รักได้แสดงความคิดเห็น ได้เป็นตัวของเราเองจริงๆ เหมือนได้เปิดตามองดูโลกภายนอกมากขึ้น จนครอบครัวเราจับได้ และเราถูกคำสั่งให้ตัดขาดจากแฟน โดยถูกยื่นคำขาดให้เลิกทันที ก่อนหน้านี้เราทั้งถูกด่าทอและทำร้ายร่างกายจากครอบครัว. จนเรื่องถึงพัฒนาสังคม เพราะครอบครัวเราเข้าแจ้งความฝ่ายชาย. ข้อหาพรากผู้เยาว์ พัฒนาสังคมเข้ามาสอบถามและเเนะนำให้เราและเราควรได้รับการเยียวยา หากเราต้องการ. แต่เราได้ปฏิเสธไป
แม่ได้ตบตีเราและด่าทอเราต่อหน้าตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ในโรงพัก. เพราะเราให้การเข้าข้างฝ่ายชาย
กระเป๋าเสื้อผ้าพร้อมของใช้ส่วนตัวบางส่วนได้ถูกเอามากองรวมกันไว้หน้าบ้าน และเป็นวันสุดท้ายที่เราก้าวออกจากบ้านมาด้วยวัยเพียง 17 ปี ด้วยเหตุที่เราเลือกผู้ชาย ไม่เลือกครอบครัว เราจึงถูกตัดหางปล่อยวัด. พร้อมกับคำพูดที่ว่า. ให้แฟน ึง นะเป็นคนส่งเสียให้เรียน ส่วน. ู ขอตัดขาดจากความเป็นแม่เป็นลูกกันตั้งแต่วันนี้
เรามาเรียนต่อม.ปลายที่ กศน. แล้วสมัครเข้าเรียนระดับ ปวส. ทั้งเรียนทั้งทำงาน เหนื่อยแต่มีความสุขมากกกกกก. ได้ใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองเลือก. ได้ทำได้คิดในสิ่งที่ตัวเองตั้งใจ ไม่ต้องอยู่ในกรอบ และไม่ต้องทนฟังคำดุด่าสารพัด แต่เราก็รักครอบครัวนะ. และยังคอยแวะไปเยี่ยมเสมอทุกวัน ซึ่งพอเค้าเห็นเราไม่ทิ้งการเรียน. เข้าก็เริ่มยอมรับในตัวเรามากขึ้น และยอมให้เราเข้าบ้าน...
#เดี๋ยวกลับมาต่อนะค่ะ. ^^#