พอพูดถึงคำว่า “ยกเมฆ” เราก็จะเข้าใจความหมายได้เลยว่า คนๆนั้น ต้องเป็นคนขี้โม้ แน่ พูดเรื่องไม่จริง หรือ พูดมั่วๆ ยกเมฆมานี่หว่า...อะไรทำนองนั้น
แต่คำถามที่ตามมาก็คือ ทำไมต้อง “ยกเมฆ” ล่ะ เมฆลอยสูงอยู่แล้ว จะไปยก ได้อย่างไร ?
คำถามและข้อสงสัยต่างๆเหล่านี้ คนโบราณมีคำตอบครับ...
...ยกเมฆ เป็นภาษาที่ใช้กันในกลุ่มหมอดู (ไม่น่าเชื่อใช่ไหมล่ะครับ) และวิชา หมอดูนั้น แบ่งออกเป็นหลายประเภท ได้แก่ หมอดูทาง “เลข ๗ ตัว”, หมอดูทาง “จับ ยาม”, หมอดูทาง “เมฆฉาย” และหมอดูด้วยใช้วิชา “โหราศาสตร์”
หมอดูทางเมฆฉายนี่แหละครับ ที่เป็นต้นบัญญัติของคำว่า “ยกเมฆ” ในเวลา ต่อมา กล่าวคือ หมอดูผู้ที่เป็นทางเมฆฉายนั้น ต้องอาศัยก้อนเมฆ บนท้องฟ้าลอยผ่าน หน้ามาเสียก่อน แล้วพิเคราะห์ดูว่า เมฆที่ลอยผ่านไปนั้น มีรูปนิมิตรเป็นเช่นไร ? แล้วก็พยากรณ์ไปตามรูปนิมิตรที่เห็นตามเมฆฉายนั้น
ตัวอย่างเช่น เห็นเมฆเป็นรูปคนศีรษะขาด ก็พยากรณ์ว่า เคราะห์จะร้ายหนัก เป็นต้น
แต่หากวันใดที่ท้องฟ้าโปร่งใส ไม่มีเมฆแล้ว จะใช้วิชานี้ไม่ได้เป็นอันขาด
คำว่า “เมฆฉาย” นั้น แปลว่า “เงาเมฆ” ดั่งนั้นสืบมา วิชานี้ได้กลายเป็นที่ อ้างอิง ของผู้ที่ไม่มีความรู้ อาศัยใช้เป็นเครื่องมือหากิน แม้ไม่มีเมฆฉายปรากฏ ให้เห็น ก็อุปโลกน์ว่า มี แล้วพยากรณ์เดาสุ่มไป ในกรณีเช่นนี้ กลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ ในวิชาเช่นนี้จริงๆ จะประณามว่า “ยกเมฆ”
ต่อมาคำ “ยกเมฆ” ได้กลายเป็นคำที่ใช้แก่ข่าวต่างๆที่ไร้ความจริงว่า เป็น “ข่าว ยกเมฆ” คือข่าวที่ไม่มีมูลฐาน ข่าวเท็จ ในวงการหนังสือพิมพ์ ถ้าฉบับหนึ่งฉบับใดนำ ข่าวเท็จมาลง ก่อให้เกิดการโกลาหลขึ้น ก็ประณามกันว่า ข่าวยกเมฆ อันหมายความ ถึงข่าวที่ปราศจากมูลแห่งความจริง เหมือนคนที่ปราศจากความรู้ของหมอดูเมฆฉาย มายกเมฆขึ้นนั่นเอง…(จากหนังสือ “ปาริชาต ปีที่ ๒ เล่ม ๔ ปักษ์หลัง กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๙๓ หน้า ๑๙)
จะเห็นได้ว่า คำโบราณที่เกิดขึ้น มักมีที่มาที่ไปและมีความหมายอยู่ในตัวคำนั้น เอง มิใช่เป็นคำที่จะอุปโลกน์ขึ้นมาเท่ๆแต่เพียงเท่านั้นนะครับ
ชาคริต เพชรอินทร์ - เรียบเรียง
Facebook : ข้าวคำน้ำขัน
ที่มาของคำว่า "ยกเมฆ"
แต่คำถามที่ตามมาก็คือ ทำไมต้อง “ยกเมฆ” ล่ะ เมฆลอยสูงอยู่แล้ว จะไปยก ได้อย่างไร ?
คำถามและข้อสงสัยต่างๆเหล่านี้ คนโบราณมีคำตอบครับ...
...ยกเมฆ เป็นภาษาที่ใช้กันในกลุ่มหมอดู (ไม่น่าเชื่อใช่ไหมล่ะครับ) และวิชา หมอดูนั้น แบ่งออกเป็นหลายประเภท ได้แก่ หมอดูทาง “เลข ๗ ตัว”, หมอดูทาง “จับ ยาม”, หมอดูทาง “เมฆฉาย” และหมอดูด้วยใช้วิชา “โหราศาสตร์”
หมอดูทางเมฆฉายนี่แหละครับ ที่เป็นต้นบัญญัติของคำว่า “ยกเมฆ” ในเวลา ต่อมา กล่าวคือ หมอดูผู้ที่เป็นทางเมฆฉายนั้น ต้องอาศัยก้อนเมฆ บนท้องฟ้าลอยผ่าน หน้ามาเสียก่อน แล้วพิเคราะห์ดูว่า เมฆที่ลอยผ่านไปนั้น มีรูปนิมิตรเป็นเช่นไร ? แล้วก็พยากรณ์ไปตามรูปนิมิตรที่เห็นตามเมฆฉายนั้น
ตัวอย่างเช่น เห็นเมฆเป็นรูปคนศีรษะขาด ก็พยากรณ์ว่า เคราะห์จะร้ายหนัก เป็นต้น
แต่หากวันใดที่ท้องฟ้าโปร่งใส ไม่มีเมฆแล้ว จะใช้วิชานี้ไม่ได้เป็นอันขาด
คำว่า “เมฆฉาย” นั้น แปลว่า “เงาเมฆ” ดั่งนั้นสืบมา วิชานี้ได้กลายเป็นที่ อ้างอิง ของผู้ที่ไม่มีความรู้ อาศัยใช้เป็นเครื่องมือหากิน แม้ไม่มีเมฆฉายปรากฏ ให้เห็น ก็อุปโลกน์ว่า มี แล้วพยากรณ์เดาสุ่มไป ในกรณีเช่นนี้ กลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ ในวิชาเช่นนี้จริงๆ จะประณามว่า “ยกเมฆ”
ต่อมาคำ “ยกเมฆ” ได้กลายเป็นคำที่ใช้แก่ข่าวต่างๆที่ไร้ความจริงว่า เป็น “ข่าว ยกเมฆ” คือข่าวที่ไม่มีมูลฐาน ข่าวเท็จ ในวงการหนังสือพิมพ์ ถ้าฉบับหนึ่งฉบับใดนำ ข่าวเท็จมาลง ก่อให้เกิดการโกลาหลขึ้น ก็ประณามกันว่า ข่าวยกเมฆ อันหมายความ ถึงข่าวที่ปราศจากมูลแห่งความจริง เหมือนคนที่ปราศจากความรู้ของหมอดูเมฆฉาย มายกเมฆขึ้นนั่นเอง…(จากหนังสือ “ปาริชาต ปีที่ ๒ เล่ม ๔ ปักษ์หลัง กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๙๓ หน้า ๑๙)
จะเห็นได้ว่า คำโบราณที่เกิดขึ้น มักมีที่มาที่ไปและมีความหมายอยู่ในตัวคำนั้น เอง มิใช่เป็นคำที่จะอุปโลกน์ขึ้นมาเท่ๆแต่เพียงเท่านั้นนะครับ
ชาคริต เพชรอินทร์ - เรียบเรียง
Facebook : ข้าวคำน้ำขัน