เรื่องนี้ อาจเป็นเรื่องสุดท้ายจริงๆแล้ว เพราะจนถึงตอนนี้ก็ไม่มีวี่แววจากนักเขียนอีก 3 ท่าน กรรมการเองตอนนี้ก็ไม่สบายเป็นไข้เมาหัวไปหมด ไม่ฟังเสียงละครับ เชิญทุกท่านพบกับเรื่องที่ 21 ได้เลยครับ
วันนี้เขาจะกลับค่ำ
นี่คือสิ่งหนึ่งที่
เพลินพิลาสยังจดจำได้แม่นยำ หลังจากที่มีเรื่องราวประเดประดังเข้ามาในห้วงแห่งความรู้สึกและความทรงจำมากเหลือเกินสำหรับวันนี้ และที่หนักอึ้งอยู่ภายในอกและกำลังลุกลามเป็นความตื้อตันของสมอง เธอถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า...
จะเอ่ยเรื่องจดหมายฉบับนั้นกับเขาด้วยถ้อยคำใด
..............................................
เสียงหวูดเป็นสัญญาณว่าส่วนหัวขบวนกำลังแล่นเข้าสถานีอย่างช้าๆ รถไฟจากหัวหินพาคนที่ไปเที่ยวทะเลกลับเข้ากรุงเช่นเดียวกับทุกๆ วัน สี่โมงครึ่งราวๆ นี้ ช้าไปก็ไม่เกินยี่สิบนาทียกเว้นเหตุสุดวิสัย มันมาไล่หลังกลิ่นก๋วยเตี๋ยวผัดที่ได้ถูกตักใส่กระดาษห่ออาหารพร้อมแนบไม้ตะเกียบแบบใช้แล้วทิ้งคู่หนึ่ง และมีคนหยิบใส่ถาดเดินเร่ขายทั่วตู้รถไฟ
“เซม-เซม ผัดไทย....เตี๋ยวผัดร้อนๆ ห้าบาทครับ...เซม-เซม ผัดไทย โอนลี่ไฟ้บาท”
ของกินขึ้นชื่อประจำสถานีราชบุรีสำหรับนักเดินทางรถไฟ ในบางวันก็คืออาหารเย็นที่กล้ารบ สามีของเธอเลือกสรร เพียงเพราะไม่ต้องการให้เป็นภาระของภรรยา
“มื้อเย็นเราก็อุดหนุนคนอื่นบ้าง แค่ ‘เซม-เซม ผัดไทย’ นี่ผมก็อิ่ม” เขาเคยพูดกลั้วหัวเราะ
“โถ มีแต่เส้นกะหมูชิ้นเดียว” เพลินพิลาสแย้ง
“เพลินลวกผักเพิ่มให้ผมก็อร่อยแล้ว” เขาพูดพลางผูกเนคไทก่อนจะออกจากบ้านทั้งยังสำทับตามหลัง “ไม่ต้องทำอะไรมากหรอก งานบ้านคุณเยอะแยะ”
แต่ค่ำนี้เธอจะทำอาหารไว้ให้เขา
เพลินพิลาสยืนหันคว้างอยู่กลางห้องครัวอยู่เป็นครู่ แล้วจึงเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อเลือกอาหารสดออกมาปรุงเป็นกับข้าว หลายครั้งที่หยิบจับสิ่งต่างๆ ด้วยความไร้สติ ก่อนจะกระตุกความคิดตัวเองให้คืนกลับมา แต่เพียงชั่วสามสี่วินาทีเหตุการณ์เมื่อบ่ายวันนี้ก็ผุดเข้ามาในมโนภาพอย่างรวดเร็ว
เจ้าหน้าที่ตำรวจแต่งกายเรียบร้อย มีเครื่องหมายระบุยศร้อยตำรวจตรีก้าวลงมาจากรถยนต์นั่งสีครีมหลังจากแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้าน เมื่อเพลินพิลาสเดินออกไปถึงธรณีประตูทางเข้าบ้าน เขาก็เดินมาถึงขอบปูนใต้ชายคาพอดี
“ที่นี่บ้านคุณกล้ารบ อภิมนตรีใช่ไหมครับ ?”
“ค่ะ ดิฉันเป็นภรรยาเขา” เธอตอบเบาๆ สบตานายตำรวจหนุ่มตรงๆ
เธอหยิบลูกมะเขือเทศสีแดงเข้มจากกล่องในช่องแช่ผักด้วยอาการคล้ายคนละเมอ กล้ารบและเธอทำงานร่วมกับเยาวชนเกือบยี่สิบปี ที่เคยมีปัญหาบ้างในกลุ่มเด็กๆ ก็มักเป็นเรื่องพฤติกรรมและวินัยของพวกเขาที่เกินจากสถานภาพนักเรียน แต่ยังไม่เคยมีเหตุที่เกี่ยวโยงกับคดีความชนิดตำรวจต้องมาหาที่บ้านอย่างวันนี้
ถ้าเธอให้เขาไปหาสามีที่โรงเรียน เหตุการณ์จะเป็นเช่นไร กล้ารบจะขอลางานกลับมาพัก หรือว่าจะมีสติกดข่มความรู้สึกสอนเด็กจนกระทั่งโรงเรียนเลิก
แต่เพลินพิลาสไม่ได้ทำเช่นนั้น สิ่งที่เธอทำคือเชื้อเชิญให้เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้นั้นเข้ามานั่งภายในห้องนั่งเล่นส่วนหน้าบ้านพร้อมกับถือถาดแก้วน้ำเย็นพร้อมจานรองออกไปให้เขา เมื่อเธอทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ตัวที่อยู่ตรงกันข้ามกับบุรุษในเครื่องแบบเรียบร้อยแล้ว ฝ่ายชายก็ยื่นซองจดหมายสีเขียวอ่อนมาให้เธอตรงหน้า มันคือซองจดหมายของไปรษณีย์ไทยที่มีเส้นบรรทัดและข้อความระบุชื่อผู้ส่ง ชื่อผู้รับ โดยที่มีลายมือเขียนด้วยหมึกสีน้ำเงินในช่องชื่อผู้รับเพียงที่เดียวว่า
“ฝากถึงคุณครูแป๊ะ—คุณกล้ารบ อภิมนตรี” และตามด้วยที่อยู่ซึ่งถูกต้องทั้งหมด
“คุณรู้จักเจ้าของลายมือนี้บ้างไหมครับ ?”
เธอเพ่งลายมือบนหน้าซองนั้นอย่างตั้งใจ ลายมือค่อนข้างบรรจง ขนาดตัวอักษรไม่โตนักและเป็นตัวอักษรที่แทบไม่มีหัว
กล้ารบมีลูกศิษย์ไม่น้อย ตั้งแต่เข้าไปสอนในโรงเรียนหญิงประจำจังหวัดเมื่อสิบปีก่อน แล้วก็เปลี่ยนมาเป็นโรงเรียนสำหรับนักเรียนชายซึ่งอยู่ไม่ไกลกันและยังคงสอนต่อเนื่องมาย่างเข้าปีที่หก ไม่รวมเด็กๆ ที่ขอเข้ามาเรียนพิเศษในวันหยุดที่บ้านอีกสัปดาห์ละเกือบห้าสิบคน ชีวิตครูโรงเรียนเอกชนที่ทุ่มเทให้ศิษย์ทั้งกาย ใจ และวิญญาณ ต่อเนื่องเกือบยี่สิบปี ทำให้เขาไม่ได้มีแค่ลูกศิษย์ แต่มี “ลูกสาว” และ “ลูกชาย” มากมาย ราวกับทดแทนที่มีทายาทกับเธอเป็นลูกชายเพียงแค่คนเดียวซึ่งเวลานี้กำลังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยทางภาคตะวันออก
เธอตั้งน้ำร้อนบนเตา หันมาหั่นมะเขือเทศ หอมใหญ่ มันฝรั่ง และผักกาดหอมอีกนิดหน่อย นานแล้วสินะ เธอจำไม่ได้แล้วว่าครั้งล่าสุดที่ทำหน้าที่นี้คือเมื่อใด เพราะสำหรับบ้านนี้ ทั้งงานเข้าครัวและจ่ายกับข้าวก็คือ เขา
เพลินพิลาสกัดริมฝีปากอย่างพยายามข่มความรู้สึก สิบห้าปีที่แล้ว ลูกศิษย์หญิงคนหนึ่งซึ่งเรียนวิชาภาษาอังกฤษกับเขาที่โรงเรียนหญิงล้วนในเขตเทศบาลเมือง เดินทางมาที่บ้านของเธอพร้อมเพื่อนอีกหกเจ็ดคน พวกเธอได้รับบัตรเชิญให้มาชิมก๋วยเตี๋ยวราดหน้าสูตร ”ครูแป๊ะ” ในมื้อเที่ยงของสุดสัปดาห์ก่อนสอบกลางภาค
เด็กสาววัยจวนสิบแปดทุกคนรู้สึกตื่นเต้นและสนุกสนานไปกับกิจกรรมพิเศษและสถานที่เฉพาะแห่งนี้อย่างยิ่ง ตลอดสามชั่วโมงเศษของวันนั้นจึงมีแต่เสียงกระเซ้าเย้าแหย่ หยอกล้อ และเสียงหัวเราะของพวกเธอแทรกอยู่แทบทุกอณูของตัวบ้าน แข่งกับเสียงหวูดและเครื่องจักรรถไฟที่ดังมาจากสถานีซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ถึงร้อยเมตร เพราะกล้ารบพาพวกเธอซึ่งถือว่าเป็นนักเรียนวิชาอังกฤษของเขากลุ่มแรกชมมุมนั้นมุมนี้ของบ้านที่เป็นตึกแถวสามชั้นอย่างเป็นกันเอง
ขวัญนภา...เด็กสาวร่างเล็กบางน่าทะนุถนอม ผมยาวรวบเป็นหางม้าเปิดหน้าผาก เผยดวงหน้ารูปไข่ ปากนิดจมูกหน่อย แววตาแฝงรอยเศร้าไม่จาง เธอนั่งล้างภาชนะบางอย่างอยู่คนเดียวที่หลังบ้าน ขณะเพื่อนๆ กำลังทำความสะอาดห้องครัวพร้อมส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว
เพลินพิลาสเดินไปยืนพิงกรอบประตูที่ทะลุสู่หลังบ้าน ส่งยิ้มให้เด็กสาวที่นั่งหันหน้าเข้าหาตัวบ้านและมองเธออยู่ก่อนแล้ว
“เป็นไงขวัญ...ราดหน้าครูแป๊ะเข้าท่ามั้ยลูก ?”
ฝ่ายที่ถูกถามยิ้มตอบและพยักหน้า “อร่อยที่สุดเลยค่ะ”
เพลินพิลาสแลดูลูกศิษย์สามีครู่นึง แล้วก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“หาแฟนให้ได้อย่างนี้นะ..แบบครูแป๊ะเนี่ย” แล้วเธอก็ยิ้มกว้างก่อนจะพูดต่อเร็วๆ
“รู้เปล่า ครูเพลินแทบไม่ต้องทำกับข้าวเลย” เธอหัวเราะชอบใจก่อนทำท่ากระซิบกระซาบ "ล้างจานอย่างเดียว”
ขวัญนภายิ้มกว้าง แต่ในสายตาของเธอ ยิ้มของเด็กสาวคนนี้ก็ยังแฝงรอยเศร้าอยู่นั่นเอง
เมื่อเธอตั้งข้อสังเกตถึงลูกศิษย์ของเขาแต่ละคน กล้ารบก็พูดถึงขวัญนภาให้ฟังว่า เธอเป็นเด็กขาดพ่อ โตมากับตายาย เพิ่งมาอยู่กับแม่ตอนมัธยมต้น และการเงินในบ้านก็ไม่ค่อยดีนักเพราะยังมีน้องๆ อีกหลายคน และถึงแม้เธอจะค่อนข้างเงียบขรึม แต่ขวัญนภากลับมีพรสวรรค์ด้านการแสดงอย่างยิ่ง เด็กสาวเคยถูกเลือกให้สวมบทจูเลียตของพระเอกโรเมโอ ตอนโรงเรียนจัดงานคืนสู่เหย้าที่เขาคือผู้กำกับการแสดง
“ขวัญอ่อนไหวจะตาย ร้องไห้ได้จริงๆ นะเพลิน เด็กคนนี้มีความเป็นศิลปินมาก”
เขายังเล่าขันๆ ว่า เพราะซ้อมละครด้วยกันบ่อยๆ นักเรียนสาวทอมบอยรุ่นพี่ที่มาแสดงเป็นโรเมโอก็กลับมาชอบขวัญเข้าจริงๆ แต่เจ้าตัวไม่สนใจ พยายามมาขอข้อความตัดความสัมพันธ์เป็นภาษาอังกฤษจากเขาสองสามหน
“ก็ขวัญเค้าไม่ชอบทอม จะไปบังคับกันได้ยังไงเล่า” ครูแป๊ะเข้าข้างลูกศิษย์
“มีแฟนแล้วมั้ง” เพลินใจถามสามียิ้มๆ ตามแบบฉบับ
“โธ่ เด็กกะโปโล ขวัญมันเด็กช่างฝัน” เขาตอบอย่างครูที่รู้จักศิษย์ดี
น้ำซุปส่งกลิ่นหอม เมื่อความร้อนทำปฏิกิริยากับทั้งเนื้อสัตว์และผักสด คนทำยืนพิงเก้าอี้โต๊ะอาหาร มองดูหม้อซุปเหมือนคนไร้วิญญาณ มันยากมากสำหรับครูเพลิน-ยากที่จะต้องยอมรับว่า...เจ้าของจดหมายนี้คือ ขวัญนภา
แล้วครูแป๊ะเล่า.....สำหรับเขาจะยิ่งยากเพียงใด
เพลินพิลาสกะพริบตาถี่ๆ บอกตัวเองให้ปิดเตาแก๊ส เธอสัมผัสถึงอาการสะอื้นภายในอกก่อนจะปล่อยให้ความรู้สึกภายในพรั่งพรูออกมาทางดวงตาอีกครั้ง
นึกถึงใบหน้าที่อิดโรยของสามีในระยะหนึ่งเดือนที่ผ่านมายามกลับจากโรงเรียน ในฐานะครูพิเศษที่ได้รับการว่าจ้างให้ติวเข้มนักเรียนมัธยมปลายคนที่อ่อนวิชาคณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษ เธอรู้สึกเห็นใจเขาเหลือเกิน
“วันนี้เหนื่อยมากหรือคะ”
เขาลูบหน้า ยิ้มให้เธออย่างเพลียๆ
“กับเด็กไม่เหนื่อยหรอกเพลิน เหนื่อยกับพวกครูด้วยกันนี่แหละ”
เธอได้รู้เท่าๆ กับเขาว่า ความตั้งใจและทุ่มเทของเขาที่มีความสุขของเด็กนักเรียนเป็นธงนำตลอดระยะเวลาหกปี ระยะหลังถูกเพื่อนครูบางคนที่เป็นญาติกับฝ่ายบริหารประเมินเอาเองอย่างมีอคติ เพราะก้าวแรกที่เขาเดินเข้าไปในโรงเรียนแห่งนั้นก็เนื่องจากคำเชิญของผู้บริหาร
“ผมปิดจ๊อบงานครูเสียทีดีมั้ยเพลิน เราจะได้ทำธุรกิจใหม่ด้วยกัน” เขาเคยถามเธอจริงจัง
“พูดจริงหรือคะ....” เพลินพิลาสละจากงานหันไปมองหน้าเขา “เอาสิ...พ่อจะได้ไม่ต้องเครียดสะสม”
นั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่คุยกัน เพราะถึงคราที่ต้องตัดสินใจเด็ดขาด กล้ารบเองกลับไม่อาจเป็นฝ่ายลาจากบรรดาลูกศิษย์ที่มีความผูกพันกันมาได้ง่ายๆ ทั้งที่ประเด็นปัญหานั้นเริ่มก่อเค้าลางเป็นความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นในกลุ่มครูอาจารย์ ซึ่งที่ผ่านมา เขารับมือด้วยความไม่ใส่ใจ เพราะเห็นว่าคู่กรณีเป็นผู้หญิง และตนเองไม่ได้ทำอะไรผิด ทว่า ยิ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ฝ่ายตรงข้ามโหมกระพือให้สถานการณ์บานปลายมากขึ้น
“ไม่อยากทะเลาะกับผู้หญิงงี่เง่า ขี้อิจฉาน่ะเพลิน” เขาพูดเรียบๆ กับเธอขณะกินอาหารเช้าเมื่อสองสามวันก่อน แล้วก็ต่อด้วยประโยคที่พูดแบบกลั้วหัวเราะ
“เดี๋ยวหล่อนจะใช้ผัวมาดักยิงผม”
เพลินพิลาสปิดไฟในครัว เดินไปที่ห้องทำงานชั้นล่าง เปิดลิ้นชักออก หยิบซองจดหมายฉบับนั้นขึ้นมาเหมือนตุ๊กตาไขลาน จากนั้นก็ค่อยๆ เดินไปที่ประตูทางขึ้นบันได ก้าวเท้าเดินขึ้นบันไดโดยใช้มือเกาะราวไว้ นึกถึงนาทีที่ตัวเองนั่งมองลายมือหน้าซองจดหมายก่อนที่นายตำรวจบอกเธอคล้ายเป็นคำอนุญาต
“เปิดอ่านสิครับ”
เธอปฏิบัติตาม สอดปลายนิ้วหยิบแผ่นกระดาษภายในออกมา ตัวจดหมายใช้กระดาษสีขาวมีเส้นบรรทัดขนาดเท่าสมุดทำรายงาน พับจากริมกระดาษตามยาวทั้งสองด้านเข้าหากัน ขอบด้านขวาทับด้านซ้ายแล้วพับครึ่ง เมื่อคลี่ออกจนสุดแผ่น เธอมองที่บรรทัดสุดท้ายเป็นแห่งแรก นิ่งอยู่ครู่หนึ่งเพื่อนึกหาใบหน้าเจ้าของชื่อ และภาพเด็กสาวที่นั่งยิ้มข้างกะละมังล้างจานวันนั้นก็ค่อยๆ เด่นชัดขึ้นมาเหมือนปรับโฟกัสกล้องถ่ายรูป...
สุดขั้นบันไดขึ้นชั้นลอย เพลินพิลาสแตะสวิตช์ที่ผนังเหนือศีรษะฝั่งซ้ายมือ ด้วยว่าลำแสงสุดท้ายลับขอบฟ้าไปแล้ว เธอเดินไปที่ตู้หนังสือและตำราต่างๆ ของเขาที่ตั้งอยู่ชิดผนังสูงเคียงอก วางจดหมายฉบับนั้นบนหลังตู้อย่างแผ่วเบา เลื่อนบานกระจกให้เปิดออกจากฝั่งซ้ายมือ และค่อยทรุดลงไปนั่งที่พื้น ก่อนจะไล่ค้นหาเอกสารบางอย่างจากชั้นล่างสุด
นี่ไม่ใช่หรือ...ของขวัญจากลูกศิษย์คนหนึ่งที่เขาบอกกับเธอว่า
“ถูกใจผมที่สุดเลย เพราะอะไรรู้ไหม...” เขายกขึ้นโชว์ “มันคืองานแฮนด์เมด”
เธอดึงเอกสารเล่มเล็กๆ ออกมาเล่มหนึ่ง มันคือกระดาษวาดเขียนที่ถูกพับครึ่ง หนาเกือบยี่สิบแผ่น เย็บเข้าเล่มด้วยวิธีเจาะสันด้านข้างให้เป็นรู แล้วใช้ไหมพรมสีสดสอดร้อยแทนฝีเข็ม สีของเนื้อกระดาษยามนี้ออกเหลืองน้ำตาลอย่างหนังสือเก่า แผ่นแรกที่เป็นปกมีภาพวาดลายเส้นรูปลูกโป่งหลากสีกำลังล่องลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า เป็นงานระบายด้วยสีไม้ และมีข้อความด้านล่างเขียนด้วยดินสอสีส้มที่ฝนจนเข้ม
“แด่ คุณครูกล้ารบ อภิมนตรี”
ต่ำลงไปอีกบรรทัดหนึ่ง มีข้อความเขียนด้วยเส้นดินสอสีน้ำเงิน
“จากนักเรียนของครู-- ขวัญนภา เทพสถาพร”
(มีต่อครับ)
💦💧💖 ถุงมือนักเขียน (ครึ่งหลัง) เรื่องที่ 21 "จดหมายถึงครูแป๊ะ" โดย ถุงมือ "ม้าหมุน" ครับ 💖💧💦
เรื่องนี้ อาจเป็นเรื่องสุดท้ายจริงๆแล้ว เพราะจนถึงตอนนี้ก็ไม่มีวี่แววจากนักเขียนอีก 3 ท่าน กรรมการเองตอนนี้ก็ไม่สบายเป็นไข้เมาหัวไปหมด ไม่ฟังเสียงละครับ เชิญทุกท่านพบกับเรื่องที่ 21 ได้เลยครับ
วันนี้เขาจะกลับค่ำ
นี่คือสิ่งหนึ่งที่เพลินพิลาสยังจดจำได้แม่นยำ หลังจากที่มีเรื่องราวประเดประดังเข้ามาในห้วงแห่งความรู้สึกและความทรงจำมากเหลือเกินสำหรับวันนี้ และที่หนักอึ้งอยู่ภายในอกและกำลังลุกลามเป็นความตื้อตันของสมอง เธอถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า...จะเอ่ยเรื่องจดหมายฉบับนั้นกับเขาด้วยถ้อยคำใด
..............................................
เสียงหวูดเป็นสัญญาณว่าส่วนหัวขบวนกำลังแล่นเข้าสถานีอย่างช้าๆ รถไฟจากหัวหินพาคนที่ไปเที่ยวทะเลกลับเข้ากรุงเช่นเดียวกับทุกๆ วัน สี่โมงครึ่งราวๆ นี้ ช้าไปก็ไม่เกินยี่สิบนาทียกเว้นเหตุสุดวิสัย มันมาไล่หลังกลิ่นก๋วยเตี๋ยวผัดที่ได้ถูกตักใส่กระดาษห่ออาหารพร้อมแนบไม้ตะเกียบแบบใช้แล้วทิ้งคู่หนึ่ง และมีคนหยิบใส่ถาดเดินเร่ขายทั่วตู้รถไฟ
“เซม-เซม ผัดไทย....เตี๋ยวผัดร้อนๆ ห้าบาทครับ...เซม-เซม ผัดไทย โอนลี่ไฟ้บาท”
ของกินขึ้นชื่อประจำสถานีราชบุรีสำหรับนักเดินทางรถไฟ ในบางวันก็คืออาหารเย็นที่กล้ารบ สามีของเธอเลือกสรร เพียงเพราะไม่ต้องการให้เป็นภาระของภรรยา
“มื้อเย็นเราก็อุดหนุนคนอื่นบ้าง แค่ ‘เซม-เซม ผัดไทย’ นี่ผมก็อิ่ม” เขาเคยพูดกลั้วหัวเราะ
“โถ มีแต่เส้นกะหมูชิ้นเดียว” เพลินพิลาสแย้ง
“เพลินลวกผักเพิ่มให้ผมก็อร่อยแล้ว” เขาพูดพลางผูกเนคไทก่อนจะออกจากบ้านทั้งยังสำทับตามหลัง “ไม่ต้องทำอะไรมากหรอก งานบ้านคุณเยอะแยะ”
แต่ค่ำนี้เธอจะทำอาหารไว้ให้เขา
เพลินพิลาสยืนหันคว้างอยู่กลางห้องครัวอยู่เป็นครู่ แล้วจึงเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อเลือกอาหารสดออกมาปรุงเป็นกับข้าว หลายครั้งที่หยิบจับสิ่งต่างๆ ด้วยความไร้สติ ก่อนจะกระตุกความคิดตัวเองให้คืนกลับมา แต่เพียงชั่วสามสี่วินาทีเหตุการณ์เมื่อบ่ายวันนี้ก็ผุดเข้ามาในมโนภาพอย่างรวดเร็ว
เจ้าหน้าที่ตำรวจแต่งกายเรียบร้อย มีเครื่องหมายระบุยศร้อยตำรวจตรีก้าวลงมาจากรถยนต์นั่งสีครีมหลังจากแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้าน เมื่อเพลินพิลาสเดินออกไปถึงธรณีประตูทางเข้าบ้าน เขาก็เดินมาถึงขอบปูนใต้ชายคาพอดี
“ที่นี่บ้านคุณกล้ารบ อภิมนตรีใช่ไหมครับ ?”
“ค่ะ ดิฉันเป็นภรรยาเขา” เธอตอบเบาๆ สบตานายตำรวจหนุ่มตรงๆ
เธอหยิบลูกมะเขือเทศสีแดงเข้มจากกล่องในช่องแช่ผักด้วยอาการคล้ายคนละเมอ กล้ารบและเธอทำงานร่วมกับเยาวชนเกือบยี่สิบปี ที่เคยมีปัญหาบ้างในกลุ่มเด็กๆ ก็มักเป็นเรื่องพฤติกรรมและวินัยของพวกเขาที่เกินจากสถานภาพนักเรียน แต่ยังไม่เคยมีเหตุที่เกี่ยวโยงกับคดีความชนิดตำรวจต้องมาหาที่บ้านอย่างวันนี้
ถ้าเธอให้เขาไปหาสามีที่โรงเรียน เหตุการณ์จะเป็นเช่นไร กล้ารบจะขอลางานกลับมาพัก หรือว่าจะมีสติกดข่มความรู้สึกสอนเด็กจนกระทั่งโรงเรียนเลิก
แต่เพลินพิลาสไม่ได้ทำเช่นนั้น สิ่งที่เธอทำคือเชื้อเชิญให้เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้นั้นเข้ามานั่งภายในห้องนั่งเล่นส่วนหน้าบ้านพร้อมกับถือถาดแก้วน้ำเย็นพร้อมจานรองออกไปให้เขา เมื่อเธอทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ตัวที่อยู่ตรงกันข้ามกับบุรุษในเครื่องแบบเรียบร้อยแล้ว ฝ่ายชายก็ยื่นซองจดหมายสีเขียวอ่อนมาให้เธอตรงหน้า มันคือซองจดหมายของไปรษณีย์ไทยที่มีเส้นบรรทัดและข้อความระบุชื่อผู้ส่ง ชื่อผู้รับ โดยที่มีลายมือเขียนด้วยหมึกสีน้ำเงินในช่องชื่อผู้รับเพียงที่เดียวว่า “ฝากถึงคุณครูแป๊ะ—คุณกล้ารบ อภิมนตรี” และตามด้วยที่อยู่ซึ่งถูกต้องทั้งหมด
“คุณรู้จักเจ้าของลายมือนี้บ้างไหมครับ ?”
เธอเพ่งลายมือบนหน้าซองนั้นอย่างตั้งใจ ลายมือค่อนข้างบรรจง ขนาดตัวอักษรไม่โตนักและเป็นตัวอักษรที่แทบไม่มีหัว
กล้ารบมีลูกศิษย์ไม่น้อย ตั้งแต่เข้าไปสอนในโรงเรียนหญิงประจำจังหวัดเมื่อสิบปีก่อน แล้วก็เปลี่ยนมาเป็นโรงเรียนสำหรับนักเรียนชายซึ่งอยู่ไม่ไกลกันและยังคงสอนต่อเนื่องมาย่างเข้าปีที่หก ไม่รวมเด็กๆ ที่ขอเข้ามาเรียนพิเศษในวันหยุดที่บ้านอีกสัปดาห์ละเกือบห้าสิบคน ชีวิตครูโรงเรียนเอกชนที่ทุ่มเทให้ศิษย์ทั้งกาย ใจ และวิญญาณ ต่อเนื่องเกือบยี่สิบปี ทำให้เขาไม่ได้มีแค่ลูกศิษย์ แต่มี “ลูกสาว” และ “ลูกชาย” มากมาย ราวกับทดแทนที่มีทายาทกับเธอเป็นลูกชายเพียงแค่คนเดียวซึ่งเวลานี้กำลังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยทางภาคตะวันออก
เธอตั้งน้ำร้อนบนเตา หันมาหั่นมะเขือเทศ หอมใหญ่ มันฝรั่ง และผักกาดหอมอีกนิดหน่อย นานแล้วสินะ เธอจำไม่ได้แล้วว่าครั้งล่าสุดที่ทำหน้าที่นี้คือเมื่อใด เพราะสำหรับบ้านนี้ ทั้งงานเข้าครัวและจ่ายกับข้าวก็คือ เขา
เพลินพิลาสกัดริมฝีปากอย่างพยายามข่มความรู้สึก สิบห้าปีที่แล้ว ลูกศิษย์หญิงคนหนึ่งซึ่งเรียนวิชาภาษาอังกฤษกับเขาที่โรงเรียนหญิงล้วนในเขตเทศบาลเมือง เดินทางมาที่บ้านของเธอพร้อมเพื่อนอีกหกเจ็ดคน พวกเธอได้รับบัตรเชิญให้มาชิมก๋วยเตี๋ยวราดหน้าสูตร ”ครูแป๊ะ” ในมื้อเที่ยงของสุดสัปดาห์ก่อนสอบกลางภาค
เด็กสาววัยจวนสิบแปดทุกคนรู้สึกตื่นเต้นและสนุกสนานไปกับกิจกรรมพิเศษและสถานที่เฉพาะแห่งนี้อย่างยิ่ง ตลอดสามชั่วโมงเศษของวันนั้นจึงมีแต่เสียงกระเซ้าเย้าแหย่ หยอกล้อ และเสียงหัวเราะของพวกเธอแทรกอยู่แทบทุกอณูของตัวบ้าน แข่งกับเสียงหวูดและเครื่องจักรรถไฟที่ดังมาจากสถานีซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ถึงร้อยเมตร เพราะกล้ารบพาพวกเธอซึ่งถือว่าเป็นนักเรียนวิชาอังกฤษของเขากลุ่มแรกชมมุมนั้นมุมนี้ของบ้านที่เป็นตึกแถวสามชั้นอย่างเป็นกันเอง
ขวัญนภา...เด็กสาวร่างเล็กบางน่าทะนุถนอม ผมยาวรวบเป็นหางม้าเปิดหน้าผาก เผยดวงหน้ารูปไข่ ปากนิดจมูกหน่อย แววตาแฝงรอยเศร้าไม่จาง เธอนั่งล้างภาชนะบางอย่างอยู่คนเดียวที่หลังบ้าน ขณะเพื่อนๆ กำลังทำความสะอาดห้องครัวพร้อมส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว
เพลินพิลาสเดินไปยืนพิงกรอบประตูที่ทะลุสู่หลังบ้าน ส่งยิ้มให้เด็กสาวที่นั่งหันหน้าเข้าหาตัวบ้านและมองเธออยู่ก่อนแล้ว
“เป็นไงขวัญ...ราดหน้าครูแป๊ะเข้าท่ามั้ยลูก ?”
ฝ่ายที่ถูกถามยิ้มตอบและพยักหน้า “อร่อยที่สุดเลยค่ะ”
เพลินพิลาสแลดูลูกศิษย์สามีครู่นึง แล้วก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“หาแฟนให้ได้อย่างนี้นะ..แบบครูแป๊ะเนี่ย” แล้วเธอก็ยิ้มกว้างก่อนจะพูดต่อเร็วๆ
“รู้เปล่า ครูเพลินแทบไม่ต้องทำกับข้าวเลย” เธอหัวเราะชอบใจก่อนทำท่ากระซิบกระซาบ "ล้างจานอย่างเดียว”
ขวัญนภายิ้มกว้าง แต่ในสายตาของเธอ ยิ้มของเด็กสาวคนนี้ก็ยังแฝงรอยเศร้าอยู่นั่นเอง
เมื่อเธอตั้งข้อสังเกตถึงลูกศิษย์ของเขาแต่ละคน กล้ารบก็พูดถึงขวัญนภาให้ฟังว่า เธอเป็นเด็กขาดพ่อ โตมากับตายาย เพิ่งมาอยู่กับแม่ตอนมัธยมต้น และการเงินในบ้านก็ไม่ค่อยดีนักเพราะยังมีน้องๆ อีกหลายคน และถึงแม้เธอจะค่อนข้างเงียบขรึม แต่ขวัญนภากลับมีพรสวรรค์ด้านการแสดงอย่างยิ่ง เด็กสาวเคยถูกเลือกให้สวมบทจูเลียตของพระเอกโรเมโอ ตอนโรงเรียนจัดงานคืนสู่เหย้าที่เขาคือผู้กำกับการแสดง
“ขวัญอ่อนไหวจะตาย ร้องไห้ได้จริงๆ นะเพลิน เด็กคนนี้มีความเป็นศิลปินมาก”
เขายังเล่าขันๆ ว่า เพราะซ้อมละครด้วยกันบ่อยๆ นักเรียนสาวทอมบอยรุ่นพี่ที่มาแสดงเป็นโรเมโอก็กลับมาชอบขวัญเข้าจริงๆ แต่เจ้าตัวไม่สนใจ พยายามมาขอข้อความตัดความสัมพันธ์เป็นภาษาอังกฤษจากเขาสองสามหน
“ก็ขวัญเค้าไม่ชอบทอม จะไปบังคับกันได้ยังไงเล่า” ครูแป๊ะเข้าข้างลูกศิษย์
“มีแฟนแล้วมั้ง” เพลินใจถามสามียิ้มๆ ตามแบบฉบับ
“โธ่ เด็กกะโปโล ขวัญมันเด็กช่างฝัน” เขาตอบอย่างครูที่รู้จักศิษย์ดี
น้ำซุปส่งกลิ่นหอม เมื่อความร้อนทำปฏิกิริยากับทั้งเนื้อสัตว์และผักสด คนทำยืนพิงเก้าอี้โต๊ะอาหาร มองดูหม้อซุปเหมือนคนไร้วิญญาณ มันยากมากสำหรับครูเพลิน-ยากที่จะต้องยอมรับว่า...เจ้าของจดหมายนี้คือ ขวัญนภา
แล้วครูแป๊ะเล่า.....สำหรับเขาจะยิ่งยากเพียงใด
เพลินพิลาสกะพริบตาถี่ๆ บอกตัวเองให้ปิดเตาแก๊ส เธอสัมผัสถึงอาการสะอื้นภายในอกก่อนจะปล่อยให้ความรู้สึกภายในพรั่งพรูออกมาทางดวงตาอีกครั้ง
นึกถึงใบหน้าที่อิดโรยของสามีในระยะหนึ่งเดือนที่ผ่านมายามกลับจากโรงเรียน ในฐานะครูพิเศษที่ได้รับการว่าจ้างให้ติวเข้มนักเรียนมัธยมปลายคนที่อ่อนวิชาคณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษ เธอรู้สึกเห็นใจเขาเหลือเกิน
“วันนี้เหนื่อยมากหรือคะ”
เขาลูบหน้า ยิ้มให้เธออย่างเพลียๆ
“กับเด็กไม่เหนื่อยหรอกเพลิน เหนื่อยกับพวกครูด้วยกันนี่แหละ”
เธอได้รู้เท่าๆ กับเขาว่า ความตั้งใจและทุ่มเทของเขาที่มีความสุขของเด็กนักเรียนเป็นธงนำตลอดระยะเวลาหกปี ระยะหลังถูกเพื่อนครูบางคนที่เป็นญาติกับฝ่ายบริหารประเมินเอาเองอย่างมีอคติ เพราะก้าวแรกที่เขาเดินเข้าไปในโรงเรียนแห่งนั้นก็เนื่องจากคำเชิญของผู้บริหาร
“ผมปิดจ๊อบงานครูเสียทีดีมั้ยเพลิน เราจะได้ทำธุรกิจใหม่ด้วยกัน” เขาเคยถามเธอจริงจัง
“พูดจริงหรือคะ....” เพลินพิลาสละจากงานหันไปมองหน้าเขา “เอาสิ...พ่อจะได้ไม่ต้องเครียดสะสม”
นั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่คุยกัน เพราะถึงคราที่ต้องตัดสินใจเด็ดขาด กล้ารบเองกลับไม่อาจเป็นฝ่ายลาจากบรรดาลูกศิษย์ที่มีความผูกพันกันมาได้ง่ายๆ ทั้งที่ประเด็นปัญหานั้นเริ่มก่อเค้าลางเป็นความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นในกลุ่มครูอาจารย์ ซึ่งที่ผ่านมา เขารับมือด้วยความไม่ใส่ใจ เพราะเห็นว่าคู่กรณีเป็นผู้หญิง และตนเองไม่ได้ทำอะไรผิด ทว่า ยิ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ฝ่ายตรงข้ามโหมกระพือให้สถานการณ์บานปลายมากขึ้น
“ไม่อยากทะเลาะกับผู้หญิงงี่เง่า ขี้อิจฉาน่ะเพลิน” เขาพูดเรียบๆ กับเธอขณะกินอาหารเช้าเมื่อสองสามวันก่อน แล้วก็ต่อด้วยประโยคที่พูดแบบกลั้วหัวเราะ
“เดี๋ยวหล่อนจะใช้ผัวมาดักยิงผม”
เพลินพิลาสปิดไฟในครัว เดินไปที่ห้องทำงานชั้นล่าง เปิดลิ้นชักออก หยิบซองจดหมายฉบับนั้นขึ้นมาเหมือนตุ๊กตาไขลาน จากนั้นก็ค่อยๆ เดินไปที่ประตูทางขึ้นบันได ก้าวเท้าเดินขึ้นบันไดโดยใช้มือเกาะราวไว้ นึกถึงนาทีที่ตัวเองนั่งมองลายมือหน้าซองจดหมายก่อนที่นายตำรวจบอกเธอคล้ายเป็นคำอนุญาต
“เปิดอ่านสิครับ”
เธอปฏิบัติตาม สอดปลายนิ้วหยิบแผ่นกระดาษภายในออกมา ตัวจดหมายใช้กระดาษสีขาวมีเส้นบรรทัดขนาดเท่าสมุดทำรายงาน พับจากริมกระดาษตามยาวทั้งสองด้านเข้าหากัน ขอบด้านขวาทับด้านซ้ายแล้วพับครึ่ง เมื่อคลี่ออกจนสุดแผ่น เธอมองที่บรรทัดสุดท้ายเป็นแห่งแรก นิ่งอยู่ครู่หนึ่งเพื่อนึกหาใบหน้าเจ้าของชื่อ และภาพเด็กสาวที่นั่งยิ้มข้างกะละมังล้างจานวันนั้นก็ค่อยๆ เด่นชัดขึ้นมาเหมือนปรับโฟกัสกล้องถ่ายรูป...
สุดขั้นบันไดขึ้นชั้นลอย เพลินพิลาสแตะสวิตช์ที่ผนังเหนือศีรษะฝั่งซ้ายมือ ด้วยว่าลำแสงสุดท้ายลับขอบฟ้าไปแล้ว เธอเดินไปที่ตู้หนังสือและตำราต่างๆ ของเขาที่ตั้งอยู่ชิดผนังสูงเคียงอก วางจดหมายฉบับนั้นบนหลังตู้อย่างแผ่วเบา เลื่อนบานกระจกให้เปิดออกจากฝั่งซ้ายมือ และค่อยทรุดลงไปนั่งที่พื้น ก่อนจะไล่ค้นหาเอกสารบางอย่างจากชั้นล่างสุด
นี่ไม่ใช่หรือ...ของขวัญจากลูกศิษย์คนหนึ่งที่เขาบอกกับเธอว่า
“ถูกใจผมที่สุดเลย เพราะอะไรรู้ไหม...” เขายกขึ้นโชว์ “มันคืองานแฮนด์เมด”
เธอดึงเอกสารเล่มเล็กๆ ออกมาเล่มหนึ่ง มันคือกระดาษวาดเขียนที่ถูกพับครึ่ง หนาเกือบยี่สิบแผ่น เย็บเข้าเล่มด้วยวิธีเจาะสันด้านข้างให้เป็นรู แล้วใช้ไหมพรมสีสดสอดร้อยแทนฝีเข็ม สีของเนื้อกระดาษยามนี้ออกเหลืองน้ำตาลอย่างหนังสือเก่า แผ่นแรกที่เป็นปกมีภาพวาดลายเส้นรูปลูกโป่งหลากสีกำลังล่องลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า เป็นงานระบายด้วยสีไม้ และมีข้อความด้านล่างเขียนด้วยดินสอสีส้มที่ฝนจนเข้ม
“แด่ คุณครูกล้ารบ อภิมนตรี”
ต่ำลงไปอีกบรรทัดหนึ่ง มีข้อความเขียนด้วยเส้นดินสอสีน้ำเงิน
“จากนักเรียนของครู-- ขวัญนภา เทพสถาพร”
(มีต่อครับ)