การเดินทางของความรู้สึก ตอนที่ 2 (part 1)

การเดินทางของความรู้สึก
ตอนที่ 2 (part 1)







25 พฤศจิกายน 2006, 11.15 น.    

          “เฮือก!” ธเนศสะดุ้งตื่นขึ้นมา ผมเผ้าของเขายุ่งเหยิง เหงื่ออาบเต็มตัวโดยเฉพาะตรงซอกคอ เสื้อยืดคอกลมสีดำเหม็นอับจากกลิ่นเหงื่อที่เขานอน รวมไปถึงที่นอน เขาหันหน้าไปมาซ้ายขวา พินิจดูสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นกับตัวเขา เขาเอามือจับใบหน้า ตรวจดูว่ามีอะไรแปลกหรือไม่ เขาลองมองออกไปนอกหน้าต่างทางขวามือของตนซึ่งเปิดอยู่ ซึ่งอยู่สูงกว่าพื้นประมาณสิบห้าชั้น แสงแดดจ้าส่องสว่าง ลมโชยเบา ๆ ผ่านม่านสีแดงเลือดหมูที่ปลิวสะไหว
    
          เขาจำไม่ได้เสียแล้วว่าเขาฝันถึงสิ่งใด สิ่งใดกันที่ทำให้เขาต้องชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ เขาตระหนักดีว่าเขาฝันถึงบางสิ่งบางอย่าง แต่เขากลับจดจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในความฝันไม่ได้เลยแม้แต่ฉากเดียว เขาลุกขึ้นไปหยิบสมุดโน้ตพร้อมปากกาลูกลื่นด้ามเก่า แล้วทอดกายนอนลงเตียงอีกรอบ เฝ้าคิดถึงสิ่งที่ยังคงจดจำได้ในฝันเมื่อสักครู่ แต่ตลอดเวลาครึ่งชั่วโมงเขากลับนึกอะไรไม่ได้เลย เขายังคงนอนอยู่บนเตียง อยู่อย่างนั้นจนกระทั่งร่างกายเขาเมื่อยล้าจากการนอนอย่างเดียว เขาลุกขึ้นจากเตียงนอน แปรงฟันและอาบน้ำ เขายังคงรู้สึกหนักหัวเพราะเมื่อคืนเขาดื่มเหล้าครึ่งขวด ผสมโซดาไปอีกครึ่งลัง เขาเฝ้าดูใบหน้าของตนเองที่เหี่ยวโทรมจากความอ่อนเพลีย หนวดเคราของเขายาวพอควร เขาไม่ได้โกนมันกว่าสามอาทิตย์แล้ว ผมที่หยักศกปกปิดใบหน้าของเขา ธเนศตัดสินใจโกนหนวดของตัวเองด้วยมีดโกนที่ทื่อแข็ง และชโลมด้วยโคโลญสีเขียวซึ่งให้กลิ่นฉุนของแอมโมเนีย พร้อมกับใช้กรรไกรเล็มขนจมูกที่ยาวออกมา  
    
          หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจส่วนตัว เขาเปิดดูโทรทัศน์ ช่องฟรีทีวีนำเสนอข่าวช่วงกลางวันอยู่ เขาใช้รีโมทกดเลื่อนไปช่องสารคดี กีฬา และช่องอื่น ๆ ก่อนที่จะตัดสินใจปิด เดินไปตู้เสื้อผ้า แต่งตัวด้วยชุดลำลอง และเดินออกจากห้องลงไปชั้นหนึ่ง
    
          “หนังสือพิมพ์ภาษาต่างประเทศอยู่ตรงนั้นค่ะ” เจ้าหน้าที่ของคอนโดซึ่งทำงานอยู่ตรงล็อบบี้ชั้นล่าง ชี้นิ้วของเธอไปตรงมุมรับฝากของ มีหนังสือพิมพ์ส่งถึงธเนศในทุกวัน เขาเดินไปรับ พร้อมกับเปิดอ่านในทันที เป็นเวลาเกือบหนึ่งปีแล้วหลังจากที่เกิดเหตุฆาตกรรมที่กัมลา สตันในสต็อคโฮล์ม เขากลับมากรุงเทพหลังจากอยู่ที่นั่นอีกสามเดือน หลังจากเฝ้าดูและติดตามความคืบหน้าจากตำรวจ ข่าวการฆาตกรรมนี้โด่งดังไปทั่วโลกและเป็นที่สนใจในระยะเวลาหนึ่ง ทั้งตำรวจและนักสืบ พวกเขารู้สึกว่างเปล่าทั้งพยานและหลักฐาน เพราะไม่ว่าอย่างไร ทางตำรวจก็ไม่สามารถติดตามตัวของคนร้ายได้เลย ทั้งร่องรอยของคนร้าย ซึ่งทางตำรวจแจ้งแก่ธเนศว่าคนร้ายได้หายตัวไปหลังจากนั้นไม่กี่นาที ทั้ง ๆ ที่ภาพจากกล้องวงจรปิดสามารถบันทึกรูปพรรณของคนร้ายได้ แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีกล้องใดที่บันทึกภาพของคนร้ายได้ ใบหน้าของฆาตกรก็ยังไม่ชัดเจนนัก อีกทั้งปืนลูกโม่ขนาด.38ซึ่งใช้ทำการก่อเหตุก็ไม่พบร่องรอยของการทิ้งในที่ต่างๆ กระทั่งรอยนิ้วมือที่ตำรวจพบในร้าน ก็ไม่สามารถติดตามและจับกุมใครได้ เพราะไม่มีใครสามารถหาตัวผู้ต้องสงสัยที่มีรอยนิ้วมือตรงกับที่เกิดเหตุได้เลย
    
          แม้ว่าเขาจะเป็นอาจารย์สอนอยู่ในมหาวิทยาลัยสต็อคโฮล์ม แต่การเป็นข่าวที่โด่งดังแบบนั้นย่อมไม่เป็นสิ่งที่เขาต้องการนัก ผู้คนในเมืองนี้จดจำหน้าของธเนศในฐานะเหยื่อผู้โชคร้ายคนหนึ่ง ในวันหนึ่งวันมักจะมีชาวสวีดิชหนึ่งคนหรือสองคนเข้ามาแสดงความเสียใจกับตัวเขา นั่นกลับเป็นเครื่องที่ตอกย้ำความทรมานของเขาไปอีก เขาปวดร้าวกับการสูญเสีย เหตุฆาตกรรมนั้นเกิดขึ้นเพียงหนึ่งในไม่กี่คดีในรอบสิบปีของสวีเดน และเป็นเธอคนเดียวที่ต้องเป็นฝ่ายรับกรรมนั้นไป เขาอึดอัดและกลัดกลุ่มในการใช้ชีวิตอยู่ในเมืองนั้น เขาไม่อยากจะย่างก้าวไปที่ใดเลย โดยเฉพาะที่กัมลา สตัน เพราะมันจะทำให้เขาคิดถึงรินะ ไอซาวะ แฟนสาวที่เขากำลังขอเธอแต่งงาน และกำลังจะใช้ชีวิตในฐานะคู่ชีวิต ครั้งหนึ่งเขากลับไปร้านอาหารแห่งนั้นอีกครั้ง เขาสูดดมกลิ่นคาวเลือดที่ไหลออกจากร่างของเธอและได้กลิ่นนั้นอีกครั้งเมื่อเขาไปถึง  
    
          เขาเปิดอ่านหน้าหนังสือพิมพ์ทุกหน้า เฝ้ามองดูข่าวคราวที่เกี่ยวกับการสืบหาฆาตกร แต่เขาก็รู้ว่าการกระทำแบบนี้ย่อมไม่เกิดประโยชน์อะไรกับตนเองเลย บางทีเขาแค่ต้องการจะฆ่าเวลาจากการอยู่อย่างเฉยๆมากกว่า หากมีความคืบหน้าใดๆ เขาของได้รับแจ้งจากทางนั้นอยู่แล้ว ช่วงระยะเวลาเกือบหนึ่งปีที่เขาสับสนและสูญเสีย เขาซมซานกลับมากรุงเทพฯเพื่อใช้ชีวิตอย่างคนไร้จุดหมาย เขารับงานสอนชั่วครั้งคราวจากเพื่อนที่เป็นอาจารย์ด้วยกันเอง ก็คงเป็นเพราะความสงสารที่ไม่อยากให้เขาต้องคิดมากจากมุมมองของเพื่อนธเนศ กระนั้นการรับงานสอนก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมา เขาจมปลักกับสิ่งที่เรียกว่า “การสูญเสีย” มากจนเกินพอ เขารู้ตัวว่าภาวะซึมเศร้าของเขาไม่สามารถกลับมาหายขาดได้ จากเหตุการณ์ชีวิตหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นกับตน เขามัวแต่โทษตนเองว่าเกิดมาทำไม เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความหมายชีวิตในตอนนี้คืออะไร เขาไม่สามารถเริ่มต้นใหม่กับใครได้ เพราะเขาเจ็บปวดกับเรื่องราวของความสัมพันธ์มามากพอ
    
          ไม่ว่าเขาจะคิดมากและรู้สึกหดหู่มากเพียงใด การตอกย้ำถึงอารมณ์โศกสลดที่ว่าก็มักทำให้เขาเดินทางไปท่าน้ำวัดอรุณฯ เขามาที่นี่เกือบทุกเดือนหลังจากที่กลับมากรุงเทพฯ ในวันนี้ก็เช่นกัน เขานั่งเรือด่วนจากท่าสาธรมาลงท่าหน้าวัด เดินรอบๆพระปรางค์อย่างไร้จุดหมายเหมือนอย่างที่เคยทำ การกระทำเหล่านี้มักทำให้เขานึกถึงคำทักทายของเขาในยามที่เจอรินะครั้งแรก
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------

(มีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่