-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ผมกำลังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยในชั้นปีที่ 4 เทอมที่ 2 ผมอยู่ในห้องนอนของตัวเองในคืนวันพฤหัสหลังจากที่ผมเสร็จสิ้นจากการเรียนในช่วงค่ำ ผมแอบชอบเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง เธอชื่อ
นิชา ผมเรียกเธอว่า
แก้ม ผมรู้จักเธอตั้งแต่ตอนเรียนปีหนึ่ง แต่ไม่ใช่เพื่อนที่สนิทกันมากเท่าใดนัก ก็พอพูดคุยกันได้เมื่อเจอหน้ากัน แต่ในช่วงเวลาที่ผมขึ้นชั้นปีสี่ เทอมแรก เธอใช้เวทมนต์ที่เธอมีในวันบายเนียร์ประจำสาขาที่เราเรียน เสกผมให้มอบความรู้สึกดีๆแก่เธอ ผมแอบชอบเธอตั้งแต่ตอนนั้น แม้ว่าผมจะไม่ได้คิดอะไรกับเธอเลยในช่วงก่อนหน้านั้น ทว่าในระหว่างทางของปีสองและปีสาม ผมกับเธอนั้นรู้สึกได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง เป็นบางสิ่งที่ผมเองก็บอกไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกัน ผมกลับรับรู้ได้ว่ามีอุปสรรคบางอย่างขวางทางไม่ให้ผมกับเธอไปด้วยกันได้ เธอเรียนจบโดยใช้เวลาสามปีครึ่ง ส่วนผมนั้นยังต้องเรียนอีกหนึ่งเทอมเพื่อให้ครบเวลาเรียนสี่ปี ด้วยเหตุนี้ทั้งผมและเธอ เราต่างพบกันเพียงแค่สามครั้งตลอดเวลาตั้งแต่เปิดเทอมมา หากกล่าวอีกนัยยะหนึ่ง ความรู้สึกหลงใหลในตัวเธอกลับทำให้ผมพบเธอได้เพียงแค่สองครั้งหากไม่นับวันบายเนียร์ เนื่องจากบ้านของเธออยู่จังหวัดอุทัยธานี จึงทำให้เธอเดินทางลงมากรุงเทพฯเพียงแค่ครั้งคราว ในสองครั้งนั้น ผมนัดกินข้าวกับเธอและเพื่อนของเธอ
เรื่องราวที่ผมจะเล่านี้เกิดขึ้นเมื่อเริ่มเปิดเทอมไปแล้วประมาณห้าสัปดาห์ ผมจะฝันถึงเธอในทุกคืนวันพฤหัส สองครั้งแล้วที่ผมสามารถจดจำความฝันของผมได้ทั้งหมด ผมฝันเห็นเธอทั้งสองครั้ง มันเป็นเรื่องราวของความฝันระหว่างผมกับเธอ และอาจเป็นเรื่องราวที่ต่อเนื่องและเชื่อมโยงกัน ผมรับรู้ความจริงบางอย่างที่ผมเองก็แทบไม่เชื่อกับสายตาตนเองผ่านความฝันของผม ก่อนอื่นผมคงต้องอธิบายให้ท่านได้เข้าใจสักเล็กน้อย
โลกแห่งความฝันขั้นที่หนึ่ง
เมื่อผมหลับตานอน และปล่อยวางทุกสิ่งอย่างจากความคิดแล้ว ผมก็เข้าสู่ความฝันขั้นที่หนึ่ง ในความฝันขั้นที่หนึ่งนั้น ตลอดทั้งสองครั้ง ผมพบกับแก้มในช่วงเวลาที่ผมอยู่ในโรงเรียนมัธยม บอกได้แค่ว่ามัธยมปลาย แต่ผมไม่ทราบแน่ชัดว่าโรงเรียนอะไร ทว่าบรรยากาศนั้นคล้ายคลากับโรงเรียนเก่าของผมอย่างยิ่ง ผมไม่รู้ว่าผมกำลังเรียนอยู่ชั้นอะไรในตอนนั้น ทุกครั้งที่เริ่มความฝันนี้ ผมจะตื่นขึ้นมาหลังจากที่ตัวเองฟุบหลับลงบนโต๊ะเรียน ก่อนเวลาพักกลางวันสักประมาณห้านาที ผมจะเห็นแก้มนั่งเรียนอยู่ข้างหน้าผมด้านซ้ายมือ ส่วนผมนั้นอยู่ข้างหลังทางด้านขวาของห้องเสมอ
ในความฝันครั้งแรกนั้น ผมเดินตามเธออยู่ห่าง ๆ ในช่วงพักกลางวัน มีผู้ชายมากมายรุมล้อมเธอ พยายามจะจีบเธอ และดูเหมือนว่าเธอเองก็ชอบที่จะให้ตัวเองเป็นเช่นนั้นด้วย แก้มในความฝันขั้นที่หนึ่งนั้น เธอคล้ายกับจะเป็นดาวของโรงเรียนเลยก็ว่าได้ นิสัยของเธอนั้น เรียกได้ว่าหยิ่งผยอง เธอดูมั่นใจในตนเอง เธอหลงตัวเองพอๆกับผู้ชายที่มาหลงเธอ ด้วยความที่เป็นเช่นนั้น เธอปฏิเสธผู้ชายที่เข้ามาจีบเธอด้วยความไม่ใยดี แถมยังพูดจาว่าร้ายให้กับผู้ชายที่เข้ามาหาเธอด้วย เธอมีเพื่อนของเธออีกสองคน ซึ่งดูเหมือนว่าก็มีนิสัยที่คล้ายคลึงกับตัวเธอ ดูเหมือนผู้ชายในมาตรฐานของเธอคงจะต้องเป็นคนที่ดูดี มีฐานะ ซึ่งตรงกันข้ามกับตัวผม
ในความฝันครั้งแรกที่ผมได้พบเธอ ผมไม่ได้ทักทายเธอ ก่อนที่คาบพักกลางวันซึ่งใช้เวลาทั้งหมดประมาณห้าสิบนาทีนั้นจะหมดลง และผมเดินกลับมายังห้องเรียนเพื่อหลับต่อ เพราะความง่วงที่ไม่มีที่มาที่ไป และมันง่วงพอที่จะทำให้ผมฝันต่อไปได้อีก ก่อนที่ผมจะตื่นขึ้นมาและไม่พบกับใครในห้องเรียนช่วงเวลาตะวันโพล้เพล้ และบรรยากาศยังคงเป็นเช่นนี้จนกระทั่งผมตื่นในชีวิตจริง
โลกแห่งความฝันขั้นที่สอง
หลังจากที่ผมหลับในห้องเรียนแล้ว ผมฝันเห็นแก้มอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้ โลกแห่งความฝันมีเพียงแค่เธอกับผม เธอไม่ได้ใส่ชุดนักเรียนเหมือนอย่างความฝันที่เกิดขึ้นในโรงเรียน ในทางกลับกัน ในครั้งแรกที่ผมฝันเห็นเธอในความฝันขั้นนี้ เธอสวมชุดเดรสสีชมพู สวมใส่หมวกสีครีม คล้ายกับเธอเป็นผู้มาจากตระกูลสูงศักดิ์ ในครั้งที่สองนั้น เธอสวมชุดราตรีสีน้ำเงินเข้ม ทุกอย่างดูสวยสง่างามสำหรับเธอ
สำหรับนิสัยของเธอนั้น เธอเป็นหญิงสาวที่มีนิสัยอ่อนโยนอย่างยิ่ง ดูราวกับเป็นคนละคนกับแก้มในความฝันขั้นที่หนึ่งเลย เธออ่อนหวาน พูดจาไพเราะ และอัธยาศัยดีอย่างยิ่ง ส่วนสถานที่นั้น ในครั้งแรก หากผมจำไม่ผิด มันเป็นสวนธารณะแห่งหนึ่งกลางเมืองพอร์ทแลนด์ เมืองที่ใครหลายๆคนใฝ่ฝัน ส่วนในครั้งที่สองนั้น ยังคงเป็นเมืองพอร์ทแลนด์เช่นเคย ทว่าเป็นย่านชานเมือง ที่ซึ่งล้อมไปด้วยป่าสนขนาดใหญ่
ดูเหมือนว่าความฝันในขั้นที่สองของผมนั้นจะเป็นโลกที่สวยงามเหลือเกินสำหรับผม ในโลกที่มีเพียงแค่ผมและเธอ เราต่างสนทนาและทำอะไรร่วมกันโดยไม่กังวลใจ แต่ปริศนาของความฝันในขั้นนี้ หรือแม้กระทั่งความฝันในขั้นที่หนึ่งนั้น แก้มเลือกที่จะบอกกับผมตั้งแต่ครั้งแรกว่า
ความฝันที่ผมฝันในคืนวันพฤหัสนี้ มันไม่เป็นเพียงแต่ความฝัน หากแต่มันคือโลกคู่ขนาน ซึ่งไม่สนใจในเรื่องมิติเวลาและสถานที่ เพราะเวลาและสถานที่นั้นได้ถูกกำหนดตายตัวอยู่แล้ว
ในความฝันขั้นที่หนึ่ง หรือโลกคู่ขนานแห่งที่หนึ่งนั้น มันคือส่วนหนึ่งจากจิตไร้สำนึกของเธอ ถึงแม้ว่าในโลกของความเป็นจริงนั้น ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นคนที่อัธยาศัยดีและรักเพื่อน แต่จิตไร้สำนึกของเธอนั้นเป็นคนที่เห็นแก่ตัวพอสมควร เธอเป็นคนที่มีความยึดมั่นในตัวเองสูง เธอมองทุกสิ่งเข้าหาตนเอง มากกว่าที่จะมองโลกด้วยความคำถึงผู้คนรอบกายเธอ
ในความฝันขั้นที่สอง หรือโลกคู่ขนานแห่งที่สองนั้น มันคือส่วนหนึ่งจากจิตใต้สำนึกของทั้งผมและเธอ ที่กำลังทำงานร่วมกัน เธอบอกว่า
แก้มในโลกแห่งความเป็นจริงนั้น เธอเปิดพื้นที่ของเธอส่วนหนึ่งให้ผมได้เข้าไป นั่นคือพื้นที่ของจิตใต้สำนึก เพื่อที่จะให้ผมนั้นหาทางแก้ไขนิสัยที่ไม่ดีของเธอในความฝันขั้นที่หนึ่ง หรือจิตไร้สำนึกของเธอ แก้มในความฝันขั้นที่สองบอกกับผมว่า
ผมจะมีโอกาสได้ลองแก้ไขนิสัยที่ไม่ดีของเธอในแต่ละครั้งที่ผมฝันถึงเธอในโรงเรียน และในแต่ละครั้ง ผมต้องรายงานความคืบหน้าให้กับเธอได้ฟังในความฝันของเธอขั้นนี้ เธอจะเป็นผู้คอยปลอบประโลมผมในแต่ละครั้ง เพราะเธอรู้ดีว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ง่ายในการปรับเปลี่ยนนิสัยที่แย่ ๆ ของตัวเธอเอง เพราะจิตไร้สำนึกของเธอนั้นกดทับจิตใต้สำนึกของเธอจนจิตใต้สำนึกของเธอไม่สามารถสื่อสารไปให้ถึงตัวเธอได้เลย ผมอาจจะต้องพบเจอกับวีรกรรมที่แย่ ๆ ของเธอในความฝันขั้นนั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อผมสามารถปรับเปลี่ยนนิสัยของเธอให้ดีขึ้นได้ แน่นอนว่าในโลกของความเป็นจริงนั้นความปรารถนาของผมในการคบกับเธอจะโอกาสเป็นจริงหากผมสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ เธอกล่าวกับผมไว้แบบนี้
ในช่วงสุดท้ายที่เราได้เจอกันครั้งแรก เธอบอกว่าโลกคู่ขนานทั้งสองนี้ แต่ละคนจะได้รับโอกาสเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นในช่วงเวลาหนึ่งชีวิต และไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความฝันหรือโลกคู่ขนานในทำนองนี้ อีกทั้งความฝัน/โลกคู่ขนานทั้งสองนี้จะมีจะมีระยะเวลาจำกัด นั่นคือระยะเวลาสิบสัปดาห์ในโลกของความเป็นจริง ก่อนที่ทั้งผมและเธอจะจบการศึกษา และต่างแยกย้ายกันไปใช้ชีวิตโดยที่อาจจะไม่ได้พบกันอีก ดังนั้น ผมจึงมีเวลาเหลืออีกเพียงแค่เก้าครั้งเท่านั้นในการทำสิ่งที่ผมตั้งใจให้สำเร็จ
ก่อนพระอาทิตย์จะตกดิน เธอย้ำมันอีกครั้งในการพบกันครั้งที่สองว่า
ผมเหลือเวลาให้แก้ไขได้อีกแค่...แปดครั้งเท่านั้น
เรื่องราวที่เกิดขึ้นในความฝันทั้งสองครั้งนั้นทำให้ผมค่อนข้างแปลกประหลาดใจอย่างมาก สำหรับความฝันในครั้งแรกนั้น ผมตื่นนอนด้วยความสับสน ผมแทบจะแยกแยะไม่ถูกระหว่างเรื่องจริงหรือความฝัน โชคดีที่ว่าในวันศุกร์นั้นผมไม่มีคาบเรียน นั่นจึงทำให้ผมออกไปเดินสูดอากาศข้างนอกในเวลาเที่ยงซึ่งเป็นเวลาหลังจากที่ผมตื่น จนกระทั่งความฝันที่เกิดขึ้นในครั้งสอง มันทำให้ผมงุนงงหนักกว่าเดิม ผมตาค้าง พยายามลุกไปห้องน้ำเพื่อล้างหน้าตัวเอง แต่ความฝันที่เกิดขึ้นนั้นมันจริงเสียยิ่งกว่าโลกของความจริงเสียอีก ดังนั้น ก่อนที่ผมจะพบกับแก้มในความฝันครั้งที่สาม ผมทักข้อความไปหาเธอ
“แก้ม” ผมเรียกชื่อเธอ
“อือ ว่าไง”
“ช่วงนี้แก้มฝันอะไรแปลก ๆ หรือป่าว” ผมรวบรวมความกล้า พิมพ์ลงไป
“555 แกมีอะไรหรือ”
“อ๋อ เปล่า แค่อยากถามดูน่ะ55”
“ก็ไม่นะ ก็คงฝันปกติทั่วๆไปน่ะแหละ”
“อือ เข้าใจแล้ว แล้วช่วงนี้อยู่บ้านหรือมากรุงเทพฯ”
“อยู่บ้าน 555”
ผมไม่ได้ตอบข้อความเธอต่อ อาจเป็นเพราะความกลัวหรือเขินอาย ผมรู้ตัวดีว่าผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเธอเลย โดยเฉพาะเรื่องที่ว่าเธอรู้สึกอย่างไรกับผม
ก่อนที่จะนอนในคืนวันพฤหัสบดีที่สาม ผมนั่งคิดทบทวน กล่าวกับตัวเองในใจว่า หากผมพบกับเธอในโรงเรียน ผมควรจะทำอย่างไรดี ผมควรจะรวบรวมความกล้าเข้าไปทักทายหรือไม่ ในเมื่อเธอเป็นคนที่ไม่สนใจชายหน้าไหนในโรงเรียน ผมควรจะต้องเปลี่ยนนิสัยของเธอเช่นไร ผมไม่รู้ ถึงแม้ว่าพยายามจะคิดหาวิธีทาง แต่ผมกลับนึกอะไรไม่ออก
เอาก็เอา ถ้าหากแก้มในความฝันที่ผมอยู่กับเธอตามลำพังในพอร์ทแลนด์บอกกับผมเช่นนั้น วันนี้ผมก็จะขอพิสูจน์ว่าผมไม่ได้บ้าอย่างเดียวดาย
กว่าผมจะเข้านอน เวลาก็ล่วงเลยไปตีสองแล้ว และเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่ทราบ แต่บรรยากาศของโรงเรียนซึ่งไม่มีชื่อเสียงเรียงนามปรากฏขึ้นอีกครั้ง ผมตื่นขึ้นอีกครั้งด้วยเสียงเพลงซึ่งห้องไปในหูของผม ผมรู้ทันที่ว่ามันคือเพลง”Kaze” ของวง ”Anzen Chitai” เพลงที่ผมชื่นชอบมาเนิ่นนาน มีใครสักคนยัดหูฟังเอียร์บัดใส่หูของผม เมื่อหันหน้ามองหาคนที่อยู่ข้างๆด้วยความสะลืมสะลือ ผมพบ
สายป่าน เพื่อนสมัยมัธยมของผมนั่งอยู่ข้างๆพร้อมกับโทรศัพท์ที่เธอต่อมันเข้ากับสายหูฟัง
“ตื่นได้แล้ว จะนอนไปถึงไหนหรอ” เสียงของสายป่านซึ่งโดยปกติเธอจะนั่งอยู่ตรงกลางของห้องในเวลาที่ผมเรียนด้วยกันกับเธอ วันนี้เธอกลับนั่งอยู่ข้างๆผม ผมเพ่งสายตาไปที่หน้าของเธออีกครั้ง ใช่แน่นอน เธอคือป่านเท่านั้น ไม่มีใครอื่นที่มีนัยน์ตาตาที่ง่วงซึมได้เท่าเธออีกแล้ว ผมหยักลอนของเธอปิดแก้มและใบหู เหล็กดัดฟันสีน้ำเงินพร้อมกับกลิ่นอ่อนๆของน้ำหอมดอยซ์แอนด์กาบาน่า ไลท์บลูที่เธอฉีด
“จะเลิกคาบเลขเสริมแล้วนะ” เธอกล่าวย้ำอีกครั้ง ผมได้แต่พยักหน้าอย่างมึนงง ตลอดความฝันทั้งสองครั้งที่ผ่านมาผมเห็นสายป่านอยู่ในห้องเรียน แต่จะเป็นที่นั่งตรงกลางห้อง ที่นั่งตรงที่สายป่านนั่งโดยปกติจะเป็นเบิร์ด เพื่อนสนิทของผมอีกคนหนึ่งซึ่งนั่งข้างผม แต่ในวันนี้หลายสิ่งดูผิดปกติ เบิร์ดไม่อยู่ข้างผมในครั้งนี้ แต่เอาเถอะ ผมมองนาฬิกาที่ติดอยู่ด้านบนกระดาน อีกหนึ่งนาทีจะถึงเวลาพักกลางวันอีกเช่นเคย ในขณะเดียวกัน ผมเหลือบไปเห็นแก้ม เธอยังคงนั่งอยู่ที่เดิมไม่เปลี่ยน ในวันนี้ผมจะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อเธอ แต่จะเป็นอะไรนั้นผมยังไม่รู้เลย เพราะในตลอดสองครั้งที่ผ่านมาผมไม่ได้คุย หรือแม้กระทั่งสบตากับเธอในโรงเรียน
ทันทีที่ออดของโรงเรียนดัง ผมลุกขึ้นเพื่อที่จะไปโรงอาหาร สายป่านยังคงแสดงท่าทีกังวลเมื่อผมมีท่าทีลนลาน
“นี่ ไม่กินข้าวกลางวันหรือ?” เธอถาม สายตาของเธอมองผมด้วยทีท่าเค้นหาคำตอบ ผมจ้องเธออีกครั้ง ผมยังคงประหลาดใจไม่คลายกับสายตาของเธอที่มองผมมาแบบนั้น แต่ผมไม่มีเวลามากพอ ผมมีเวลาแค่เพียง50นาทีก่อนที่เสียงออดครั้งต่อไปจะดัง
(มีต่อครับ)
💐🌟🌕 ถุงมือนักเขียน เรื่องที่ 8 "ยังไม่มีชื่อเรื่อง" โดย ถุงมือ "ระหว่างกลาง" ครับ 🌕🌟💐
ผมกำลังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยในชั้นปีที่ 4 เทอมที่ 2 ผมอยู่ในห้องนอนของตัวเองในคืนวันพฤหัสหลังจากที่ผมเสร็จสิ้นจากการเรียนในช่วงค่ำ ผมแอบชอบเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง เธอชื่อ นิชา ผมเรียกเธอว่า แก้ม ผมรู้จักเธอตั้งแต่ตอนเรียนปีหนึ่ง แต่ไม่ใช่เพื่อนที่สนิทกันมากเท่าใดนัก ก็พอพูดคุยกันได้เมื่อเจอหน้ากัน แต่ในช่วงเวลาที่ผมขึ้นชั้นปีสี่ เทอมแรก เธอใช้เวทมนต์ที่เธอมีในวันบายเนียร์ประจำสาขาที่เราเรียน เสกผมให้มอบความรู้สึกดีๆแก่เธอ ผมแอบชอบเธอตั้งแต่ตอนนั้น แม้ว่าผมจะไม่ได้คิดอะไรกับเธอเลยในช่วงก่อนหน้านั้น ทว่าในระหว่างทางของปีสองและปีสาม ผมกับเธอนั้นรู้สึกได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง เป็นบางสิ่งที่ผมเองก็บอกไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกัน ผมกลับรับรู้ได้ว่ามีอุปสรรคบางอย่างขวางทางไม่ให้ผมกับเธอไปด้วยกันได้ เธอเรียนจบโดยใช้เวลาสามปีครึ่ง ส่วนผมนั้นยังต้องเรียนอีกหนึ่งเทอมเพื่อให้ครบเวลาเรียนสี่ปี ด้วยเหตุนี้ทั้งผมและเธอ เราต่างพบกันเพียงแค่สามครั้งตลอดเวลาตั้งแต่เปิดเทอมมา หากกล่าวอีกนัยยะหนึ่ง ความรู้สึกหลงใหลในตัวเธอกลับทำให้ผมพบเธอได้เพียงแค่สองครั้งหากไม่นับวันบายเนียร์ เนื่องจากบ้านของเธออยู่จังหวัดอุทัยธานี จึงทำให้เธอเดินทางลงมากรุงเทพฯเพียงแค่ครั้งคราว ในสองครั้งนั้น ผมนัดกินข้าวกับเธอและเพื่อนของเธอ
เรื่องราวที่ผมจะเล่านี้เกิดขึ้นเมื่อเริ่มเปิดเทอมไปแล้วประมาณห้าสัปดาห์ ผมจะฝันถึงเธอในทุกคืนวันพฤหัส สองครั้งแล้วที่ผมสามารถจดจำความฝันของผมได้ทั้งหมด ผมฝันเห็นเธอทั้งสองครั้ง มันเป็นเรื่องราวของความฝันระหว่างผมกับเธอ และอาจเป็นเรื่องราวที่ต่อเนื่องและเชื่อมโยงกัน ผมรับรู้ความจริงบางอย่างที่ผมเองก็แทบไม่เชื่อกับสายตาตนเองผ่านความฝันของผม ก่อนอื่นผมคงต้องอธิบายให้ท่านได้เข้าใจสักเล็กน้อย
โลกแห่งความฝันขั้นที่หนึ่ง
เมื่อผมหลับตานอน และปล่อยวางทุกสิ่งอย่างจากความคิดแล้ว ผมก็เข้าสู่ความฝันขั้นที่หนึ่ง ในความฝันขั้นที่หนึ่งนั้น ตลอดทั้งสองครั้ง ผมพบกับแก้มในช่วงเวลาที่ผมอยู่ในโรงเรียนมัธยม บอกได้แค่ว่ามัธยมปลาย แต่ผมไม่ทราบแน่ชัดว่าโรงเรียนอะไร ทว่าบรรยากาศนั้นคล้ายคลากับโรงเรียนเก่าของผมอย่างยิ่ง ผมไม่รู้ว่าผมกำลังเรียนอยู่ชั้นอะไรในตอนนั้น ทุกครั้งที่เริ่มความฝันนี้ ผมจะตื่นขึ้นมาหลังจากที่ตัวเองฟุบหลับลงบนโต๊ะเรียน ก่อนเวลาพักกลางวันสักประมาณห้านาที ผมจะเห็นแก้มนั่งเรียนอยู่ข้างหน้าผมด้านซ้ายมือ ส่วนผมนั้นอยู่ข้างหลังทางด้านขวาของห้องเสมอ
ในความฝันครั้งแรกนั้น ผมเดินตามเธออยู่ห่าง ๆ ในช่วงพักกลางวัน มีผู้ชายมากมายรุมล้อมเธอ พยายามจะจีบเธอ และดูเหมือนว่าเธอเองก็ชอบที่จะให้ตัวเองเป็นเช่นนั้นด้วย แก้มในความฝันขั้นที่หนึ่งนั้น เธอคล้ายกับจะเป็นดาวของโรงเรียนเลยก็ว่าได้ นิสัยของเธอนั้น เรียกได้ว่าหยิ่งผยอง เธอดูมั่นใจในตนเอง เธอหลงตัวเองพอๆกับผู้ชายที่มาหลงเธอ ด้วยความที่เป็นเช่นนั้น เธอปฏิเสธผู้ชายที่เข้ามาจีบเธอด้วยความไม่ใยดี แถมยังพูดจาว่าร้ายให้กับผู้ชายที่เข้ามาหาเธอด้วย เธอมีเพื่อนของเธออีกสองคน ซึ่งดูเหมือนว่าก็มีนิสัยที่คล้ายคลึงกับตัวเธอ ดูเหมือนผู้ชายในมาตรฐานของเธอคงจะต้องเป็นคนที่ดูดี มีฐานะ ซึ่งตรงกันข้ามกับตัวผม
ในความฝันครั้งแรกที่ผมได้พบเธอ ผมไม่ได้ทักทายเธอ ก่อนที่คาบพักกลางวันซึ่งใช้เวลาทั้งหมดประมาณห้าสิบนาทีนั้นจะหมดลง และผมเดินกลับมายังห้องเรียนเพื่อหลับต่อ เพราะความง่วงที่ไม่มีที่มาที่ไป และมันง่วงพอที่จะทำให้ผมฝันต่อไปได้อีก ก่อนที่ผมจะตื่นขึ้นมาและไม่พบกับใครในห้องเรียนช่วงเวลาตะวันโพล้เพล้ และบรรยากาศยังคงเป็นเช่นนี้จนกระทั่งผมตื่นในชีวิตจริง
โลกแห่งความฝันขั้นที่สอง
หลังจากที่ผมหลับในห้องเรียนแล้ว ผมฝันเห็นแก้มอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้ โลกแห่งความฝันมีเพียงแค่เธอกับผม เธอไม่ได้ใส่ชุดนักเรียนเหมือนอย่างความฝันที่เกิดขึ้นในโรงเรียน ในทางกลับกัน ในครั้งแรกที่ผมฝันเห็นเธอในความฝันขั้นนี้ เธอสวมชุดเดรสสีชมพู สวมใส่หมวกสีครีม คล้ายกับเธอเป็นผู้มาจากตระกูลสูงศักดิ์ ในครั้งที่สองนั้น เธอสวมชุดราตรีสีน้ำเงินเข้ม ทุกอย่างดูสวยสง่างามสำหรับเธอ
สำหรับนิสัยของเธอนั้น เธอเป็นหญิงสาวที่มีนิสัยอ่อนโยนอย่างยิ่ง ดูราวกับเป็นคนละคนกับแก้มในความฝันขั้นที่หนึ่งเลย เธออ่อนหวาน พูดจาไพเราะ และอัธยาศัยดีอย่างยิ่ง ส่วนสถานที่นั้น ในครั้งแรก หากผมจำไม่ผิด มันเป็นสวนธารณะแห่งหนึ่งกลางเมืองพอร์ทแลนด์ เมืองที่ใครหลายๆคนใฝ่ฝัน ส่วนในครั้งที่สองนั้น ยังคงเป็นเมืองพอร์ทแลนด์เช่นเคย ทว่าเป็นย่านชานเมือง ที่ซึ่งล้อมไปด้วยป่าสนขนาดใหญ่
ดูเหมือนว่าความฝันในขั้นที่สองของผมนั้นจะเป็นโลกที่สวยงามเหลือเกินสำหรับผม ในโลกที่มีเพียงแค่ผมและเธอ เราต่างสนทนาและทำอะไรร่วมกันโดยไม่กังวลใจ แต่ปริศนาของความฝันในขั้นนี้ หรือแม้กระทั่งความฝันในขั้นที่หนึ่งนั้น แก้มเลือกที่จะบอกกับผมตั้งแต่ครั้งแรกว่า ความฝันที่ผมฝันในคืนวันพฤหัสนี้ มันไม่เป็นเพียงแต่ความฝัน หากแต่มันคือโลกคู่ขนาน ซึ่งไม่สนใจในเรื่องมิติเวลาและสถานที่ เพราะเวลาและสถานที่นั้นได้ถูกกำหนดตายตัวอยู่แล้ว
ในความฝันขั้นที่หนึ่ง หรือโลกคู่ขนานแห่งที่หนึ่งนั้น มันคือส่วนหนึ่งจากจิตไร้สำนึกของเธอ ถึงแม้ว่าในโลกของความเป็นจริงนั้น ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นคนที่อัธยาศัยดีและรักเพื่อน แต่จิตไร้สำนึกของเธอนั้นเป็นคนที่เห็นแก่ตัวพอสมควร เธอเป็นคนที่มีความยึดมั่นในตัวเองสูง เธอมองทุกสิ่งเข้าหาตนเอง มากกว่าที่จะมองโลกด้วยความคำถึงผู้คนรอบกายเธอ
ในความฝันขั้นที่สอง หรือโลกคู่ขนานแห่งที่สองนั้น มันคือส่วนหนึ่งจากจิตใต้สำนึกของทั้งผมและเธอ ที่กำลังทำงานร่วมกัน เธอบอกว่า แก้มในโลกแห่งความเป็นจริงนั้น เธอเปิดพื้นที่ของเธอส่วนหนึ่งให้ผมได้เข้าไป นั่นคือพื้นที่ของจิตใต้สำนึก เพื่อที่จะให้ผมนั้นหาทางแก้ไขนิสัยที่ไม่ดีของเธอในความฝันขั้นที่หนึ่ง หรือจิตไร้สำนึกของเธอ แก้มในความฝันขั้นที่สองบอกกับผมว่า ผมจะมีโอกาสได้ลองแก้ไขนิสัยที่ไม่ดีของเธอในแต่ละครั้งที่ผมฝันถึงเธอในโรงเรียน และในแต่ละครั้ง ผมต้องรายงานความคืบหน้าให้กับเธอได้ฟังในความฝันของเธอขั้นนี้ เธอจะเป็นผู้คอยปลอบประโลมผมในแต่ละครั้ง เพราะเธอรู้ดีว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ง่ายในการปรับเปลี่ยนนิสัยที่แย่ ๆ ของตัวเธอเอง เพราะจิตไร้สำนึกของเธอนั้นกดทับจิตใต้สำนึกของเธอจนจิตใต้สำนึกของเธอไม่สามารถสื่อสารไปให้ถึงตัวเธอได้เลย ผมอาจจะต้องพบเจอกับวีรกรรมที่แย่ ๆ ของเธอในความฝันขั้นนั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อผมสามารถปรับเปลี่ยนนิสัยของเธอให้ดีขึ้นได้ แน่นอนว่าในโลกของความเป็นจริงนั้นความปรารถนาของผมในการคบกับเธอจะโอกาสเป็นจริงหากผมสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ เธอกล่าวกับผมไว้แบบนี้
ในช่วงสุดท้ายที่เราได้เจอกันครั้งแรก เธอบอกว่าโลกคู่ขนานทั้งสองนี้ แต่ละคนจะได้รับโอกาสเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นในช่วงเวลาหนึ่งชีวิต และไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความฝันหรือโลกคู่ขนานในทำนองนี้ อีกทั้งความฝัน/โลกคู่ขนานทั้งสองนี้จะมีจะมีระยะเวลาจำกัด นั่นคือระยะเวลาสิบสัปดาห์ในโลกของความเป็นจริง ก่อนที่ทั้งผมและเธอจะจบการศึกษา และต่างแยกย้ายกันไปใช้ชีวิตโดยที่อาจจะไม่ได้พบกันอีก ดังนั้น ผมจึงมีเวลาเหลืออีกเพียงแค่เก้าครั้งเท่านั้นในการทำสิ่งที่ผมตั้งใจให้สำเร็จ
ก่อนพระอาทิตย์จะตกดิน เธอย้ำมันอีกครั้งในการพบกันครั้งที่สองว่า ผมเหลือเวลาให้แก้ไขได้อีกแค่...แปดครั้งเท่านั้น
เรื่องราวที่เกิดขึ้นในความฝันทั้งสองครั้งนั้นทำให้ผมค่อนข้างแปลกประหลาดใจอย่างมาก สำหรับความฝันในครั้งแรกนั้น ผมตื่นนอนด้วยความสับสน ผมแทบจะแยกแยะไม่ถูกระหว่างเรื่องจริงหรือความฝัน โชคดีที่ว่าในวันศุกร์นั้นผมไม่มีคาบเรียน นั่นจึงทำให้ผมออกไปเดินสูดอากาศข้างนอกในเวลาเที่ยงซึ่งเป็นเวลาหลังจากที่ผมตื่น จนกระทั่งความฝันที่เกิดขึ้นในครั้งสอง มันทำให้ผมงุนงงหนักกว่าเดิม ผมตาค้าง พยายามลุกไปห้องน้ำเพื่อล้างหน้าตัวเอง แต่ความฝันที่เกิดขึ้นนั้นมันจริงเสียยิ่งกว่าโลกของความจริงเสียอีก ดังนั้น ก่อนที่ผมจะพบกับแก้มในความฝันครั้งที่สาม ผมทักข้อความไปหาเธอ
“แก้ม” ผมเรียกชื่อเธอ
“อือ ว่าไง”
“ช่วงนี้แก้มฝันอะไรแปลก ๆ หรือป่าว” ผมรวบรวมความกล้า พิมพ์ลงไป
“555 แกมีอะไรหรือ”
“อ๋อ เปล่า แค่อยากถามดูน่ะ55”
“ก็ไม่นะ ก็คงฝันปกติทั่วๆไปน่ะแหละ”
“อือ เข้าใจแล้ว แล้วช่วงนี้อยู่บ้านหรือมากรุงเทพฯ”
“อยู่บ้าน 555”
ผมไม่ได้ตอบข้อความเธอต่อ อาจเป็นเพราะความกลัวหรือเขินอาย ผมรู้ตัวดีว่าผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเธอเลย โดยเฉพาะเรื่องที่ว่าเธอรู้สึกอย่างไรกับผม
ก่อนที่จะนอนในคืนวันพฤหัสบดีที่สาม ผมนั่งคิดทบทวน กล่าวกับตัวเองในใจว่า หากผมพบกับเธอในโรงเรียน ผมควรจะทำอย่างไรดี ผมควรจะรวบรวมความกล้าเข้าไปทักทายหรือไม่ ในเมื่อเธอเป็นคนที่ไม่สนใจชายหน้าไหนในโรงเรียน ผมควรจะต้องเปลี่ยนนิสัยของเธอเช่นไร ผมไม่รู้ ถึงแม้ว่าพยายามจะคิดหาวิธีทาง แต่ผมกลับนึกอะไรไม่ออก เอาก็เอา ถ้าหากแก้มในความฝันที่ผมอยู่กับเธอตามลำพังในพอร์ทแลนด์บอกกับผมเช่นนั้น วันนี้ผมก็จะขอพิสูจน์ว่าผมไม่ได้บ้าอย่างเดียวดาย
กว่าผมจะเข้านอน เวลาก็ล่วงเลยไปตีสองแล้ว และเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่ทราบ แต่บรรยากาศของโรงเรียนซึ่งไม่มีชื่อเสียงเรียงนามปรากฏขึ้นอีกครั้ง ผมตื่นขึ้นอีกครั้งด้วยเสียงเพลงซึ่งห้องไปในหูของผม ผมรู้ทันที่ว่ามันคือเพลง”Kaze” ของวง ”Anzen Chitai” เพลงที่ผมชื่นชอบมาเนิ่นนาน มีใครสักคนยัดหูฟังเอียร์บัดใส่หูของผม เมื่อหันหน้ามองหาคนที่อยู่ข้างๆด้วยความสะลืมสะลือ ผมพบ สายป่าน เพื่อนสมัยมัธยมของผมนั่งอยู่ข้างๆพร้อมกับโทรศัพท์ที่เธอต่อมันเข้ากับสายหูฟัง
“ตื่นได้แล้ว จะนอนไปถึงไหนหรอ” เสียงของสายป่านซึ่งโดยปกติเธอจะนั่งอยู่ตรงกลางของห้องในเวลาที่ผมเรียนด้วยกันกับเธอ วันนี้เธอกลับนั่งอยู่ข้างๆผม ผมเพ่งสายตาไปที่หน้าของเธออีกครั้ง ใช่แน่นอน เธอคือป่านเท่านั้น ไม่มีใครอื่นที่มีนัยน์ตาตาที่ง่วงซึมได้เท่าเธออีกแล้ว ผมหยักลอนของเธอปิดแก้มและใบหู เหล็กดัดฟันสีน้ำเงินพร้อมกับกลิ่นอ่อนๆของน้ำหอมดอยซ์แอนด์กาบาน่า ไลท์บลูที่เธอฉีด
“จะเลิกคาบเลขเสริมแล้วนะ” เธอกล่าวย้ำอีกครั้ง ผมได้แต่พยักหน้าอย่างมึนงง ตลอดความฝันทั้งสองครั้งที่ผ่านมาผมเห็นสายป่านอยู่ในห้องเรียน แต่จะเป็นที่นั่งตรงกลางห้อง ที่นั่งตรงที่สายป่านนั่งโดยปกติจะเป็นเบิร์ด เพื่อนสนิทของผมอีกคนหนึ่งซึ่งนั่งข้างผม แต่ในวันนี้หลายสิ่งดูผิดปกติ เบิร์ดไม่อยู่ข้างผมในครั้งนี้ แต่เอาเถอะ ผมมองนาฬิกาที่ติดอยู่ด้านบนกระดาน อีกหนึ่งนาทีจะถึงเวลาพักกลางวันอีกเช่นเคย ในขณะเดียวกัน ผมเหลือบไปเห็นแก้ม เธอยังคงนั่งอยู่ที่เดิมไม่เปลี่ยน ในวันนี้ผมจะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อเธอ แต่จะเป็นอะไรนั้นผมยังไม่รู้เลย เพราะในตลอดสองครั้งที่ผ่านมาผมไม่ได้คุย หรือแม้กระทั่งสบตากับเธอในโรงเรียน
ทันทีที่ออดของโรงเรียนดัง ผมลุกขึ้นเพื่อที่จะไปโรงอาหาร สายป่านยังคงแสดงท่าทีกังวลเมื่อผมมีท่าทีลนลาน
“นี่ ไม่กินข้าวกลางวันหรือ?” เธอถาม สายตาของเธอมองผมด้วยทีท่าเค้นหาคำตอบ ผมจ้องเธออีกครั้ง ผมยังคงประหลาดใจไม่คลายกับสายตาของเธอที่มองผมมาแบบนั้น แต่ผมไม่มีเวลามากพอ ผมมีเวลาแค่เพียง50นาทีก่อนที่เสียงออดครั้งต่อไปจะดัง
(มีต่อครับ)