'นักผจญเพลิง' อีกหนึ่งอาชีพที่เต็มไปด้วยความกล้าหาญ ความเสียสละ เเละต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด เต็มไปด้วยอันตรายที่พร้อมจะพรากชีวิตพวกเขาในทุกเสี้ยววินาที
ซึ่ง Only the Brave คือหนังที่บอกเล่าเรื่องราวของเหล่าฮีโร่นักผจญเพลิง ที่อิงเค้าโครงจากเรื่องจริงของทีม Granite Mountain Hotshots เหล่านักผจญเพลิงจากเมืองเล็กๆ ที่กลายมาเป็นหน่วยดับเพลิงที่เก่งกาจสุดของประเทศ...เพราะในขณะที่คนใหญ่หนีจากอันตราย พวกเขากลับพุ่งเข้าต่อสู้กับมัน ยอมเสี่ยงทุกอย่างเพื่อปกป้องเมืองจากไฟป่าครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์
เเละนี่ก็คือ 5 ไฮไลท์สำคัญของหนึ่งในหนังที่สะท้อนความร้ายกาจของธรรมชาติ ความกล้าหาญ เเละความเสียสละต่อเหล่าเพื่อนมนุษย์ได้ลึกซึ้งกินใจที่สุดของศตวรรษนี้
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
1. หนังถูกสร้างจากเรื่องจริง
เชื่อเลยว่าเวลาคุณดูหนังสักเรื่อง แล้วรู้ว่าหนังเรื่องนั้นมีการอิงเค้าโครงจากเหตุการณ์จริง หรืออ้างอิงชีวประวัติบุคคลสำคัญ
ความรู้สึกที่อยากค้นหา อยากรู้เรื่องราวเกี่ยวกับหนังเรื่องนั้นจะยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเป็นเท่าตัว โดยหนังเรื่องนี้ถูกสร้างจากเหตุการณ์จริงของหน่วยผจญเพลิงผู้กล้าหาญ Granite Mountain Hotshots โดยหนังมีต้นกำเนิดจากบทความในนิตยสาร GQ เรื่อง “ไร้ทางออก” ถูกพัฒนาโครงการด้วยเหล่าผู้สร้างที่รู้จริงและมือเขียนบทคุณภาพอย่าง เคน โนแลน (Black Hawk Down) และ อีริก ซิงเกอร์ (American Hustle)
เกร็ดเพิ่มเติม
Hotshot หมายถึง นักผจญเพลิงมือพระกาฬของประเทศ เปรียบได้กับหน่วยซีล (Navy SEAL) ของวงการดับเพลิง แต่ทว่าวิธีการของพวกเขาคือการรับมือกับไฟด้วยไฟ โดยผู้กำกับโคซินสกี้ได้อธิบาย “วิธีการของพวกเขาคือ ขุดเส้นทางเป็นแนวยาวแล้วตัดต้นไม้เพื่อพยายามจะสร้างเส้นสะกัดไฟ พวกเขาจุดไฟเผามันเพื่อไม่ให้เหลือเชื้อเพลิงให้ไฟป่าลุกลาม”
ส่วน Granite Mountain Hotshots เป็นหน่วยที่จัดตั้งขึ้นเองโดยกลุ่มคนในพื้นที่ มีการฝึกฝนและประเมินผลงานเป็นเวลาหลายปี จนในที่สุดก็เรียกได้ว่าเป็น Hotshot กลุ่มแรกที่เป็นหน่วยจัดตั้งขึ้นเองในสหรัฐ
2. หนังที่เจาะลึกเรื่องราวของนักผจญเพลิงหาชมได้ยากในยุคปัจจุบัน
หากคุณลองนึกถึงหนังเกี่ยวกับนักผจญเพลิงสักเรื่องหนึ่ง ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นหนังเก่าหรือหนังคลาสสิกขึ้นหิ้ง เพราะอย่างในยุคปัจจุบันหรือมองเฉพาะช่วงศตวรรษที่ 21 ก็มีให้เห็นค่อนข้างจะน้อย ซึ่งที่เด่นๆและใครหลายคนอาจรู้จักหรือเคยได้ยินมาบ้างก็เช่น
Ladder 49 ที่นำแสดงโดย วาคีน ฟินิกซ์ และ จอห์น ทราโวลตา หรือจะเป็น
As the Light Goes Out หนังฮ่องกงที่กำกับโดย กัว จี่เจี้ยน
3. องค์ประกอบทุกๆอย่างเน้นความสมจริง
3.1 นักแสดงที่เล่นเป็นหน่วย Hotshot ทั้ง 20 คน ต้องไปเก็บตัวกับหน่วย Hotshot ตัวจริง
ซึ่งสถานที่เก็บตัวจะอยู่บนภูเขานอกเมืองซานตาเฟ่ นิวเม็กซิโก โดยเป้าหมายก็เพื่อเรียนรู้การทำงาน การใช้ชีวิตในสภาวะแวดล้อมจริง และที่สำคัญเพื่อให้เข้าถึงบทบาทการแสดงอย่างแท้จริง
3.2 ถ่ายทำในสถานที่ซึ่งหน่วย Granite Mountain Hotshots ใช้ในการปฏิบัติหน้าที่จริง อาทิเช่น
-
หมู่บ้านอินเดียนแดง บนภูเขาแซงเกร เดอคริสโต ทางตอนเหนือของ ซานตาเฟ่ ที่นี่ทีมงานถ่ายฉากการฝึกอันยากลำบากซึ่งถูกวางให้เป็นฉากที่เกิดขึ้นในอุทยานแห่งชาติเมืองเพรสค็อตต์
-
บนภูเขาพาจาริโต้ บนหน้าผาที่มีสูงชันถึง 10,400 ฟุต ที่นี่ทีมงานต้องเผชิญหน้ากับหมี แมงมุมและกวาง ขณะที่พวกเขาต้องจุดไฟจริงและไต่หน้าผาเพื่อถ่ายทำอีกหลายซีน รวมถึงฉากที่นักผจญเพลิงต้องปะทะกับเพลิงไหม้เคฟ ครีกสุดความซับซ้อน ฉากการฝึก และฉากการผจญเพลิงบนภูเขาชิริคาฮัว (Chiricahua)
-
ไร่ชาเวซในเทือกเขาเขาออร์ทิส ที่เรียกได้ว่าเป็นแหล่งของกระทิง ควาย วัวป่า นกป่า แกะ และงูหางกระดิ่ง สถานที่แห่งนี้มีประโยชน์อย่างมากในการใช้แทนฉากที่หน่วย Granite Mountain Hotshots ต้องเผชิญหน้ากับไฟป่ายาร์เนลฮิล หุบเขายาร์เนลที่เหมือนกับวงกตไฟมรณะที่ทีมงานใช้เหมืองยิปซัมเซีย พูเอโบลเป็นฉากถ่ายทำ
3.3 เครื่องแต่งกายเน้นความเหมาะสม และถูกต้องมากที่สุด
โดยเครื่องมือและเครื่องแต่งกายของเหล่านักผจญเพลิง Hotshot ประกอบด้วย
- หมวกกันน็อค Crew 7 สีดำ
- เสื้อทีเชิ้ตสีดำประจำหน่วย
- เสื้อเชิ้ตสีเหลือง Crew Boss Nomex และกางเกงลุยไฟสีเขียว
- เป้สะพายหลังน้ำหนัก 45 ปอนด์
- รองเท้าบูทสีดำ ที่สั่งมาจากเมืองสโปเคน รัฐวอชิงตัน
- ถังบรรจุสารหน่วงไฟ
- พลั่วและขวานขุดหน้าดิน
3.4 บทลงลึกไปยังความสัมพันธ์และมิตรภาพที่เกิดขึ้นในทีม Hotshot
ไม่เพียงแต่พูดถึงรูปแบบการปฏิบัติหน้าที่ ที่สุดแสนจะยากลำบากของทีม Hotshot แต่ตัวบทก็ไม่ละเลยถึงมิติของตัวละคร ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนพ้องที่เกิดขึ้นในทีม เพราะว่าการทำงานร่วมกันระหว่างคนหมู่มากให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ต้องอาศัยสิ่งที่เรียกว่า 'ทีมเวิร์ค' ซึ่งหนังก็ได้แสดงเรื่องราวเหล่านี้ให้เห็นแบบประจักษ์แจ้ง
4. นักแสดงนำอย่าง 'จอช โบรลิน' เคยทำงานเป็นนักผจญเพลิงจริงๆมาแล้ว
เชื่อเลยว่าน้อยคนนักที่จะรู้ว่านักแสดงอย่าง จอช โบรลิน ครั้งหนึ่งเขาเคยผ่านประสบการณ์การเป็นนักผจญเพลิงจริงๆมาแล้วเมื่อสมัยวัยรุ่น ซึ่งเขาได้พูดถึงเรื่องนี้ไว้ว่า
“ผมมีความรู้สึกผูกพันกันตัวเรื่องแบบค่อนข้างส่วนตัว เมื่อตอนผมอายุราวๆ 20 ปี ผมเคยทำงานเป็นนักผจญเพลิงอยู่ 3 ปี ร่วมกับหน่วยดับเพลิงอาสารัฐอาริโซน่า มันเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยลืม ผมชอบเรื่องของการยอมแลกตัวเองเพื่อปกป้องอะไรสักอย่าง หรือเพื่อปกป้องใครสักคน แม้ว่าจะต้องเผชิญกับอันตรายก็ตาม”

แน่นอนว่านอกเหนือจากการเป็นแคสติ้งที่ยอดเยี่ยมแล้ว ประสบการณ์ของ จอช โบรลิน ดูจะเป็นประโยชน์ต่อนักแสดงในทีมคนอื่นไม่มากก็น้อย สำหรับการเรียนรู้การแสดงออกที่ถูกต้องและเหมาะสมสำหรับคาแรคเตอร์ของตัวละครทั้ง วิธีการเดิน พูด ปฏิบัติทุกๆอย่าง และยังรวมไปถึงการใช้อุปกรณ์ที่ถูกต้อง วิธีโต้ตอบกันผ่านทางวิทยุ วิธีสื่อสารกันเอง และวิธีการดำเนินงานภายในค่าย
5. กำกับโดย โจเซฟ โคซินสกี้ ที่เคยฝากผลงานหนังไซไฟคุณภาพอย่าง Tron: Legacy และ Oblivion
เป็นที่รู้กันดีว่าการที่หนังเรื่องหนึ่งจะประสบความสำเร็จทั้งเสียงตอบรับในด้านคำวิจารณ์ และด้านรายได้นั้น ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งอยู่ที่ตัวผู้กำกับ ซึ่งหนังเรื่องนี้ก็ได้ผู้กำกับเป็น โจเซฟ โคซินสกี้ ที่เคยฝากผลงานไซไฟคุณภาพอย่าง Tron: Legacy และ Oblivion โดยผู้อำนวยการสร้าง อีริค โฮว์แซม ได้พูดถึงเหตุผลในการดึงตัว โจเซฟ โคซินสกี้ มานั่งแท่นผู้กำกับหนังเรื่องนี้ไว้ว่า
“ถ้าคุณเคยดูหนังของ โจ มาก่อน คุณจะพบว่ามันมีงานภาพที่น่าตื่นตามาก เขาถือว่าเป็นผู้กำกับที่มีสายตาที่เฉียบคมที่สุดคนนึงของโลก แน่นอนเขาคือตัวเลือกที่ใช่และเหมาะสมกับหนังสเกลใหญ่แบบนี้ เขาจะถ่ายทอดว่ามันจะเป็นยังไงถ้าหากคุณตกอยู่ในวงล้อมของไฟได้อย่างสมจริง”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
หนังเข้าฉายในไทยวันที่ 9 พฤศจิกายน 2017
ตัวอย่างซับไทย
สกู้ปเบื้องหลัง
5 ไฮไลท์สำคัญของ Only the Brave หนังเจาะลึกเรื่องราวของเหล่าฮีโร่ผจญเพลิง
'นักผจญเพลิง' อีกหนึ่งอาชีพที่เต็มไปด้วยความกล้าหาญ ความเสียสละ เเละต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด เต็มไปด้วยอันตรายที่พร้อมจะพรากชีวิตพวกเขาในทุกเสี้ยววินาที
ซึ่ง Only the Brave คือหนังที่บอกเล่าเรื่องราวของเหล่าฮีโร่นักผจญเพลิง ที่อิงเค้าโครงจากเรื่องจริงของทีม Granite Mountain Hotshots เหล่านักผจญเพลิงจากเมืองเล็กๆ ที่กลายมาเป็นหน่วยดับเพลิงที่เก่งกาจสุดของประเทศ...เพราะในขณะที่คนใหญ่หนีจากอันตราย พวกเขากลับพุ่งเข้าต่อสู้กับมัน ยอมเสี่ยงทุกอย่างเพื่อปกป้องเมืองจากไฟป่าครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์
เเละนี่ก็คือ 5 ไฮไลท์สำคัญของหนึ่งในหนังที่สะท้อนความร้ายกาจของธรรมชาติ ความกล้าหาญ เเละความเสียสละต่อเหล่าเพื่อนมนุษย์ได้ลึกซึ้งกินใจที่สุดของศตวรรษนี้
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
1. หนังถูกสร้างจากเรื่องจริง
เชื่อเลยว่าเวลาคุณดูหนังสักเรื่อง แล้วรู้ว่าหนังเรื่องนั้นมีการอิงเค้าโครงจากเหตุการณ์จริง หรืออ้างอิงชีวประวัติบุคคลสำคัญ ความรู้สึกที่อยากค้นหา อยากรู้เรื่องราวเกี่ยวกับหนังเรื่องนั้นจะยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเป็นเท่าตัว โดยหนังเรื่องนี้ถูกสร้างจากเหตุการณ์จริงของหน่วยผจญเพลิงผู้กล้าหาญ Granite Mountain Hotshots โดยหนังมีต้นกำเนิดจากบทความในนิตยสาร GQ เรื่อง “ไร้ทางออก” ถูกพัฒนาโครงการด้วยเหล่าผู้สร้างที่รู้จริงและมือเขียนบทคุณภาพอย่าง เคน โนแลน (Black Hawk Down) และ อีริก ซิงเกอร์ (American Hustle)
เกร็ดเพิ่มเติม
Hotshot หมายถึง นักผจญเพลิงมือพระกาฬของประเทศ เปรียบได้กับหน่วยซีล (Navy SEAL) ของวงการดับเพลิง แต่ทว่าวิธีการของพวกเขาคือการรับมือกับไฟด้วยไฟ โดยผู้กำกับโคซินสกี้ได้อธิบาย “วิธีการของพวกเขาคือ ขุดเส้นทางเป็นแนวยาวแล้วตัดต้นไม้เพื่อพยายามจะสร้างเส้นสะกัดไฟ พวกเขาจุดไฟเผามันเพื่อไม่ให้เหลือเชื้อเพลิงให้ไฟป่าลุกลาม”
ส่วน Granite Mountain Hotshots เป็นหน่วยที่จัดตั้งขึ้นเองโดยกลุ่มคนในพื้นที่ มีการฝึกฝนและประเมินผลงานเป็นเวลาหลายปี จนในที่สุดก็เรียกได้ว่าเป็น Hotshot กลุ่มแรกที่เป็นหน่วยจัดตั้งขึ้นเองในสหรัฐ
2. หนังที่เจาะลึกเรื่องราวของนักผจญเพลิงหาชมได้ยากในยุคปัจจุบัน
หากคุณลองนึกถึงหนังเกี่ยวกับนักผจญเพลิงสักเรื่องหนึ่ง ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นหนังเก่าหรือหนังคลาสสิกขึ้นหิ้ง เพราะอย่างในยุคปัจจุบันหรือมองเฉพาะช่วงศตวรรษที่ 21 ก็มีให้เห็นค่อนข้างจะน้อย ซึ่งที่เด่นๆและใครหลายคนอาจรู้จักหรือเคยได้ยินมาบ้างก็เช่น Ladder 49 ที่นำแสดงโดย วาคีน ฟินิกซ์ และ จอห์น ทราโวลตา หรือจะเป็น As the Light Goes Out หนังฮ่องกงที่กำกับโดย กัว จี่เจี้ยน
3. องค์ประกอบทุกๆอย่างเน้นความสมจริง
3.1 นักแสดงที่เล่นเป็นหน่วย Hotshot ทั้ง 20 คน ต้องไปเก็บตัวกับหน่วย Hotshot ตัวจริง
ซึ่งสถานที่เก็บตัวจะอยู่บนภูเขานอกเมืองซานตาเฟ่ นิวเม็กซิโก โดยเป้าหมายก็เพื่อเรียนรู้การทำงาน การใช้ชีวิตในสภาวะแวดล้อมจริง และที่สำคัญเพื่อให้เข้าถึงบทบาทการแสดงอย่างแท้จริง
3.2 ถ่ายทำในสถานที่ซึ่งหน่วย Granite Mountain Hotshots ใช้ในการปฏิบัติหน้าที่จริง อาทิเช่น
- หมู่บ้านอินเดียนแดง บนภูเขาแซงเกร เดอคริสโต ทางตอนเหนือของ ซานตาเฟ่ ที่นี่ทีมงานถ่ายฉากการฝึกอันยากลำบากซึ่งถูกวางให้เป็นฉากที่เกิดขึ้นในอุทยานแห่งชาติเมืองเพรสค็อตต์
- บนภูเขาพาจาริโต้ บนหน้าผาที่มีสูงชันถึง 10,400 ฟุต ที่นี่ทีมงานต้องเผชิญหน้ากับหมี แมงมุมและกวาง ขณะที่พวกเขาต้องจุดไฟจริงและไต่หน้าผาเพื่อถ่ายทำอีกหลายซีน รวมถึงฉากที่นักผจญเพลิงต้องปะทะกับเพลิงไหม้เคฟ ครีกสุดความซับซ้อน ฉากการฝึก และฉากการผจญเพลิงบนภูเขาชิริคาฮัว (Chiricahua)
- ไร่ชาเวซในเทือกเขาเขาออร์ทิส ที่เรียกได้ว่าเป็นแหล่งของกระทิง ควาย วัวป่า นกป่า แกะ และงูหางกระดิ่ง สถานที่แห่งนี้มีประโยชน์อย่างมากในการใช้แทนฉากที่หน่วย Granite Mountain Hotshots ต้องเผชิญหน้ากับไฟป่ายาร์เนลฮิล หุบเขายาร์เนลที่เหมือนกับวงกตไฟมรณะที่ทีมงานใช้เหมืองยิปซัมเซีย พูเอโบลเป็นฉากถ่ายทำ
3.3 เครื่องแต่งกายเน้นความเหมาะสม และถูกต้องมากที่สุด
โดยเครื่องมือและเครื่องแต่งกายของเหล่านักผจญเพลิง Hotshot ประกอบด้วย
- หมวกกันน็อค Crew 7 สีดำ
- เสื้อทีเชิ้ตสีดำประจำหน่วย
- เสื้อเชิ้ตสีเหลือง Crew Boss Nomex และกางเกงลุยไฟสีเขียว
- เป้สะพายหลังน้ำหนัก 45 ปอนด์
- รองเท้าบูทสีดำ ที่สั่งมาจากเมืองสโปเคน รัฐวอชิงตัน
- ถังบรรจุสารหน่วงไฟ
- พลั่วและขวานขุดหน้าดิน
3.4 บทลงลึกไปยังความสัมพันธ์และมิตรภาพที่เกิดขึ้นในทีม Hotshot
ไม่เพียงแต่พูดถึงรูปแบบการปฏิบัติหน้าที่ ที่สุดแสนจะยากลำบากของทีม Hotshot แต่ตัวบทก็ไม่ละเลยถึงมิติของตัวละคร ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนพ้องที่เกิดขึ้นในทีม เพราะว่าการทำงานร่วมกันระหว่างคนหมู่มากให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ต้องอาศัยสิ่งที่เรียกว่า 'ทีมเวิร์ค' ซึ่งหนังก็ได้แสดงเรื่องราวเหล่านี้ให้เห็นแบบประจักษ์แจ้ง
4. นักแสดงนำอย่าง 'จอช โบรลิน' เคยทำงานเป็นนักผจญเพลิงจริงๆมาแล้ว
เชื่อเลยว่าน้อยคนนักที่จะรู้ว่านักแสดงอย่าง จอช โบรลิน ครั้งหนึ่งเขาเคยผ่านประสบการณ์การเป็นนักผจญเพลิงจริงๆมาแล้วเมื่อสมัยวัยรุ่น ซึ่งเขาได้พูดถึงเรื่องนี้ไว้ว่า
“ผมมีความรู้สึกผูกพันกันตัวเรื่องแบบค่อนข้างส่วนตัว เมื่อตอนผมอายุราวๆ 20 ปี ผมเคยทำงานเป็นนักผจญเพลิงอยู่ 3 ปี ร่วมกับหน่วยดับเพลิงอาสารัฐอาริโซน่า มันเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยลืม ผมชอบเรื่องของการยอมแลกตัวเองเพื่อปกป้องอะไรสักอย่าง หรือเพื่อปกป้องใครสักคน แม้ว่าจะต้องเผชิญกับอันตรายก็ตาม”
แน่นอนว่านอกเหนือจากการเป็นแคสติ้งที่ยอดเยี่ยมแล้ว ประสบการณ์ของ จอช โบรลิน ดูจะเป็นประโยชน์ต่อนักแสดงในทีมคนอื่นไม่มากก็น้อย สำหรับการเรียนรู้การแสดงออกที่ถูกต้องและเหมาะสมสำหรับคาแรคเตอร์ของตัวละครทั้ง วิธีการเดิน พูด ปฏิบัติทุกๆอย่าง และยังรวมไปถึงการใช้อุปกรณ์ที่ถูกต้อง วิธีโต้ตอบกันผ่านทางวิทยุ วิธีสื่อสารกันเอง และวิธีการดำเนินงานภายในค่าย
5. กำกับโดย โจเซฟ โคซินสกี้ ที่เคยฝากผลงานหนังไซไฟคุณภาพอย่าง Tron: Legacy และ Oblivion
เป็นที่รู้กันดีว่าการที่หนังเรื่องหนึ่งจะประสบความสำเร็จทั้งเสียงตอบรับในด้านคำวิจารณ์ และด้านรายได้นั้น ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งอยู่ที่ตัวผู้กำกับ ซึ่งหนังเรื่องนี้ก็ได้ผู้กำกับเป็น โจเซฟ โคซินสกี้ ที่เคยฝากผลงานไซไฟคุณภาพอย่าง Tron: Legacy และ Oblivion โดยผู้อำนวยการสร้าง อีริค โฮว์แซม ได้พูดถึงเหตุผลในการดึงตัว โจเซฟ โคซินสกี้ มานั่งแท่นผู้กำกับหนังเรื่องนี้ไว้ว่า
“ถ้าคุณเคยดูหนังของ โจ มาก่อน คุณจะพบว่ามันมีงานภาพที่น่าตื่นตามาก เขาถือว่าเป็นผู้กำกับที่มีสายตาที่เฉียบคมที่สุดคนนึงของโลก แน่นอนเขาคือตัวเลือกที่ใช่และเหมาะสมกับหนังสเกลใหญ่แบบนี้ เขาจะถ่ายทอดว่ามันจะเป็นยังไงถ้าหากคุณตกอยู่ในวงล้อมของไฟได้อย่างสมจริง”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
หนังเข้าฉายในไทยวันที่ 9 พฤศจิกายน 2017
ตัวอย่างซับไทย
สกู้ปเบื้องหลัง