๛ มนต์ทั้งหลายมีการไม่ท่องบ่นเป็นมลทิน ๛

ขอกราบไหว้พระรัตนตรัยด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง

----------------------

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต



๕. มลสูตร
ว่าด้วยมลทิน



                                                 [๑๕] ภิกษุทั้งหลาย มลทิน (ความมัวหมอง) ๘ ประการนี้
                                                 มลทิน ๘ ประการ อะไรบ้าง คือ                          
                                                                ๑. มนตร์มีการไม่ท่องบ่นเป็นมลทิน                          
                                                                ๒. เรือน๑- มีความไม่ขยันหมั่นเพียรเป็นมลทิน                          
                                                                ๓. ผิวพรรณมีความเกียจคร้านเป็นมลทิน                          
                                                                ๔. ผู้รักษามีความประมาทเป็นมลทิน                          
                                                                ๕. สตรีมีความประพฤติชั่ว๒- เป็นมลทิน                          
                                                                ๖. ผู้ให้มีความตระหนี่เป็นมลทิน                          
                                                                ๗. บาปอกุศลธรรมเป็นมลทินทั้งในโลกนี้และโลกหน้า                          
                                                                ๘. มลทินที่ยิ่งกว่ามลทินนั้นคืออวิชชา              
                                                 ภิกษุทั้งหลาย มลทิน ๘ ประการนี้แล                          
                                                                มนตร์มีการไม่ท่องบ่นเป็นมลทิน                          
                                                                เรือนมีความไม่ขยันหมั่นเพียรเป็นมลทิน                          
                                                                ผิวพรรณมีความเกียจคร้านเป็นมลทิน                          
                                                                ผู้รักษามีความประมาทเป็นมลทิน                          
                                                                สตรีมีความประพฤติชั่วเป็นมลทิน
                                                                ผู้ให้มีความตระหนี่เป็นมลทิน
                                                                บาปธรรมเป็นมลทินทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
                                                                มลทินที่ยิ่งกว่ามลทินนั้นคืออวิชชา

                                        

มลสูตรที่ ๕ จบ


เชิงอรรถ :
๑ เรือน หมายถึงบุคคลผู้อยู่ครองเรือน (องฺ.อฏฐก. ฏีกา ๓/๑๕-๑๘/๒๗๙)
๒ ประพฤติชั่ว หมายถึงประพฤตินอกใจ (องฺ.อฏฺฐก. ฏีกา ๓/๑๕-๑๘/๒๗๙)
{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๓ หน้า : ๒๔๑}



เนื้อความพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ เล่มที่ ๒๓ หน้าที่ ๒๔๑-๒๔๒.
http://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=23&siri=88
อ่านเทียบพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ (ฉบับหลวง)
http://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=23&A=3983&Z=3997
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=23&i=105
ศึกษาพระไตรปิฏกฉบับภาษาบาลี อักษรไทย ได้ที่ :-
[105] http://budsir.mahidol.ac.th/cgi-bin/Budsir.cgi/SearchItem?mode=1&valume=23&item=105&Roman=0





อสชฺฌายมลา มนฺตา

แปลตามศัพท์ว่า มนต์ทั้งหลายมีการไม่ท่องบ่นเป็นมลทิน

(๑) “สชฺฌาย” อ่านว่า สัด-ชา-ยะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สชฺฌาย > สฺวาธฺยาย > สาธยาย หรือการท่องจำ

สาธยายหรือการท่องจำ เป็นขั้นตอนแรกๆ ในกระบวนการศึกษาตามวัฒนธรรมของชาวชมพูทวีป คือขั้นการรับรู้และซึมซับข้อมูล
ต่อจากนั้นไปจึงเป็นการวิเคราะห์ แยกแยะข้อมูล สังเคราะห์ ประมวลข้อมูล แล้วสรุปผลลงเป็นหลักวิชาแล้วนำไปใช้ตามประสงค์
และสุดท้ายก็วนกลับไปที่ “สาธยาย” อีก คือการทบทวนเพื่อมิให้ลืมเลือนกฎหรือสูตรของวิทยาการนั้นๆ
รวมทั้งเป็นการสรุปความก้าวหน้าหรือข้อบกพร่องไปด้วยในตัว

ตามธรรมชาติ มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตประเภท “ปัญจโวการภพ” (ปัน-จะ-โว-กา-ระ-พบ) คือมีองค์ประกอบ 5 ส่วน ได้แก่ :
1 ร่างกาย (corporeality)
2 ความรู้สึก (feeling; sensation)
3 ความจำ (perception)
4 ความคิด (mental formations; volitional activities)
5 ความรู้เข้าใจ (consciousness)

วิธีสาธยายหรือท่องจำเป็นการใช้งานตามธรรมชาติของชีวิต และเป็นเพียงขั้นตอนหนึ่งเท่านั้นของกระบวนการศึกษา
ไม่ใช่ทั้งหมดของการศึกษา และไม่ใช่จบลงเพียงแค่ท่องจำ แต่ยังจะต้องส่งต่อไปยังความคิด ความรู้เข้าใจต่อไปอีก

การจะให้เกิดผลคือจำข้อมูลได้ การ “สาธยาย-ท่องจำ” นับว่าเป็นวิธีตามธรรมชาติของมนุษย์สากล
สำหรับมนุษย์ที่รังเกียจวิธีนี้ก็มีสิทธิ์ที่จะคิดค้นวิธีอื่นได้อีก แต่จะไม่ให้มนุษย์ต้องจำอะไรเลยนั้นคือผิดธรรมชาติ

การสาธยายเป็นกระบวนการเก็บข้อมูลความรู้ไว้ในสมอง
เมื่อถึงเวลาต้องการ ก็เปิดออกมาใช้ได้ทันที



(๒) “มนฺต” อ่านว่า มัน-ตะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
“มนฺต” ใช้ในภาษาไทยว่า มนต์, มนตร์ (มน) และเข้าใจกันแต่เพียงว่าหมายถึง “คำเสกเป่าที่ถือว่าศักดิ์สิทธิ์”


“สวดมนต์” ตรงกับคำบาลีว่า “มนฺตสชฺฌาย” (มัน-ตะ-สัด-ชา-ยะ)
มนฺต + สชฺฌาย = มนฺตสชฺฌาย แปลตามศัพท์ว่า “การสาธยายมนต์” หรือแปลตรงตัวว่า “สวดมนต์” นั่นเอง

การสวดมนต์ในพระพุทธศาสนามีมูลเหตุมาจากการสาธยายพระสูตรหรือหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อมิให้ลืมเลือนอย่างหนึ่ง
และเพื่อตรวจสอบข้อความให้ถูกต้องตรงกันอีกอย่างหนึ่ง


: สวดมนต์เพื่อทบทวนความรู้ จะได้เป็นผู้เชี่ยวชาญ
: สวดมนต์เพื่อเจริญสมาธิสติ ธรรมะก็ผลิเบ่งบาน
: สวดมนต์เพื่อขลัง ยังต้องนุงนังไปอีกนาน


ที่มา
‎บาลีวันละคำ‬ โดยนาวาเอกทองย้อย แสงสินชัย
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่