เมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมามีโอกาสไปเที่ยว ม่อนเงาะ จังหวัดเชียงใหม่ มาครับ พอดีมีเพื่อนที่ทำงานอยู่ที่นั่นอาสาพาเที่ยวครึ่งวัน และครึ่งวันนั้นเพื่อนผมบอกว่าจะพามาม่อนเงาะ อยู่ในอำเภอแม่แตง ส่วนตัวสารภาพตามตรงว่าไม่เคยได้ยินชื่อม่อนเงาะมาก่อน แต่เพื่อนบอกว่ากำลังพัฒนาเป็นที่เที่ยวแห่งใหม่ เลยสนใจตอบตกลงทันที ถือว่าได้เปิดหูเปิดตา
สถานที่เที่ยวหลักๆของม่อนเงาะก็คือการขึ้นไปชมวิวบนยอดดอยม่อนเงาะ ชุดชมวิวที่สูงที่สุดในอำเภอแม่แตง อยู่ที่ 1,425 เมตร จากระดับนํ้าทะเล ม่อน ภาษาเหนือหมายถึงเนินเขา หรือยอดเขาลูกเล็กๆ ส่วนดอยหมายถึงภูเขา ยอดดอยม่อนเงาะ คือยอดของภูเขาที่ชื่อม่อนเงาะ ที่นี่เลยเป็นทั้งม่อนและดอยในจุดเดียวกัน
ส่วนอีกที่เที่ยวได้แก่ โครงการหลวงม่อนเงาะ หรือชื่อเต็ม ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงม่อนเงาะ ในตำบลเมืองก๋าย ต้องบอกว่าอยู่ใกล้ตัวเมืองเชียงใหม่มาก ใช้เวลาขับรถแค่ 1 ชั่วโมงเอง แต่ปัญหาจะอยู่ที่พอเข้าปากทางขึ้น ทางจะค่อยๆแคบและชันขึ้นเรื่อยๆ ถนนเส้นนี้เลยมีแต่รถกระบะขับขึ้นลง รถบ้านก็สามารถขับขึ้นไปได้ แต่ลำบากหน่อย และถ้าต้องการไปใกล้ยอดดอยที่สุด รถบ้านจะไปไกลสุดได้แค่หมู่บ้านชาวม้ง จากนั้นอาศัยรถของเจ้าหน้าที่หรือใช้บริการรถของชาวบ้านขึ้นไปลานกางเต็นท์จะดีกว่า

เพื่อนผมเคยขับขึ้นลงบ่อย ชำนาญทางเลยขับขึ้นไปได้ถึงจุดชมวิวชั้นล่างและลานกางเต็นท์ แต่ก็ทุลักทุเลบางช่วง ตอนที่ไปจริงๆยังไม่ใช้ช่วงที่เปิดให้ท่องเที่ยวงของที่นี่ เพราะที่นี่จะเปิดให้เที่ยวระหว่างเดือนพฤศจิกายน - เดือนเมษายน ก่อนที่จะปิดเพื่อให้สัตว์ป่าได้อพยพเข้ามาหากิน ชาวบ้านบอกว่าแถวนี้มีกวางผา แต่ส่วนใหญ่จะเห็นแค่รอยเท้า มีน้อยคนที่จะเคยเห็นตัว อีกสาเหตุคือช่วงที่ฝนตก ทางขึ้นมาบนยอดดอยค่อนข้างอันตราย เพราะนอกจากจะเป็นไหล่เขาที่แคบมากๆแล้ว ยังเป็นถนนดิน รกและลื่น ไม่ว่าจะทางรถหรือทางคนเดิน อันตรายพอสมควรสำหรับคนทั่วไปที่ไม่รู้ทางทางโค้งนี่ต้องบีบแตรกันลั่น เนื่องจากรถที่วิ่งขึ้นต้องทำความเร็ว มีแรงส่ง ไม่งั้นไต่เนินชันไม่ได้ เพื่อนผมเลี้ยวผิวอยู่ทางหนึ่ง เป็นไหล่เขาแคบๆไปโผลบ้านคนที่มีบ้านกับที่จอดรถอยู่ริมเขา คือเป็นทางเข้าออกของคนบ้านนี้อย่างเดียว เวลาเข้าบ้านเจ้าของจะถอยหลังเข้า เพื่อที่ตอนออกจะได้เดินหน้าออก เพื่อนผมต้องถอยออกทางโค้งแคยๆเพื่อกลับไปทางหลัก ใช้เวลาพอสมควรกว่าจะกลับไปได้

หลายคนคงสงสัยว่าทำไมถึงชื่อม่อนเงาะ ที่นี่มีเงาะเหรอ จริงๆแล้วที่นี่ไม่ได้มีอะไรเชื่อมโยงเกี่ยวกับผลไม้อย่างเงาะเลย ที่มาจริงๆก็คือเมื่อมองจากไกลๆ บริเวณนี้จะเหมือนมีหินผาที่อยู่เรียงกันสามลูก ผาแรกคือผาลูก ผากลางโดดเด่นที่สุดคือผาแม่ ซึ่งก็คือม่อนเงาะ และผาถัดไปคือผาพ่อ คำว่า ม่อนเงาะ เพี้ยนมาจากคำว่า โม่งโง๊ะ ที่แปลว่า แม่ ของภาษาม้งนั่นเอง
จากลานกางเต็นท์ก็สามารถชมวิวสวยๆทั้งท้องฟ้า เมฆสุดลูกหูลูกตา ความสวยงามของชั้นเขา ทะเลหมอก เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นและตกได้ในดอยเดียวกัน และปลายปีฤดูหนาวมองเห็นดาวได้สบายๆ เราไปถึงกันสายหน่อย แดดเลยค่อนข้างแรง ร้อนบ้าง แต่อากาศก็แจ่มใส ฟ้าเปิด เห็นกลุ่มเมฆกับกลุ่มหมอกเลื้อยไปมาบนยอดเขาหลายลูกสวยจริงๆ ไหนๆก็มาถึงนี้แล้ว ถ้าไม่ไปให้สุดยอดก็คงน่าเสียดาย
จากจุดกางเต็นท์ขึ้นไป 200 เมตร จะถึงยอดดอยม่อนเงาะ ซึ่งแม้ว่าจะฟังดูไม่ไกล แต่ทางเดินก็แคบและชันพอสมควร ทางเดินจะลำบากในช่วงที่มีฝนหรือมีนํ้าค้างลงจัดจนเปียก โดยเฉพาะก่อนถึงยอดดอย 50 เมตร ที่หญ้าขึ้นสูงจนมองไม่เห็นทาง เริ่มชัน มีหินบ้าง ถ้าผ่านมาได้ก็จะเจอตัวหนังสือที่ทำจากไม้เรียงกันเขียนว่า ยอดดอยม่อนเงาะ จากนั้นก็สามารถใช้เวลาถ่ายภาพ พักเหนื่อย สูดอากาศบริสุทธิ์ ก่อนจะเดินลง
พื้นที่ด้านบนจะไม่กว้างมาก เป็นเนินตะปุ่มตะปั่ม มีหน้าผา ต้องใช้ความระวังเวลาเดินเล่นถ่ายรูปไปมา ไม้ที่เจ้าหน้าทำกั้นไว้ อย่าไปพิง และห้ามออกไปนอกบริเวณที่กั้นเด็ดขาด เนื่องจาก ยอดดอยม่อนเงาะ มีหญ้ากับต้นไม้สูงเยอะ ทำให้
บดบังทาง เดินผิดเดินพลาดอันตรายถึงขั้นตกเขาลงไปได้เลย
เดินลงจากยอดดอยมาพักเหนื่อยกันที่ลานกางเต็นท์ ก่อนจะขับรถมาแวะพักเหนื่อยที่หมู่บ้านชาวม้ง เดินเล่น ถ่ายรูป ดูวิถีชีวิตชาวเขาชาวบ้านที่นี่เป็นมิตรกับนักท่องเที่ยวมาก ในอดีตที่นี่เคยมีชื่อเสียงเพราะเป็นชุมชนชาวม้งที่ผมยาวที่สุดในโลก เคยมีคนแก่ที่ผมยาว 4-5 เมตร เพราะชาวม้งเชื่อกันว่าเมื่อตัดผมทิ้งก็เกิดอาการเจ็บป่วยไม่สบาย คนแก่จึงไม่ตัดผมอีกเลยจนกระทั่งเสียชีวิตแต่ยุคสมัยเปลี่ยน ความเชื่อเหล่านี้ก็ค่อยๆเสื่อมคลายไป ชาวม้งในปัจจุบันจึงไว้ผมเหมือนกับชาวเมือง ส่วนใหญ่ทำอาชีพปลูกพืชผัก ผลไม้ ดอกไม้ ทำไร่ ทำสวน เลี้ยงสัตว์ และรับจ้างทั่วไป


สักพักเราก็ออกจากหมู่บ้านขับรถไปทานอาหารเช้ากันที่ โครงการหลวงม่อนเงาะ หนึ่งในโครงการของในหลวงรัชกาลที่ 9 ก่อตั้งเมื่อ ปี พ.ศ. 2528 เพื่อแก้ไขปัญหา ตัดไม้ทำลายป่าทำไร่เลื่อนลอย และการปลูกฝิ่นของชาวเขา แม้ที่นี่จะเป็นเพียงศูนย์ขนาดเล็ก แต่พื้นที่เกษตรกรรมในความรับผิดชอบครอบคลุม 17 หมู่บ้าน รวมพื้นที่ 5 หมื่นไร่ โดยมีเจ้าหน้าที่ของโครงการทำงานร่วมกับชาวบ้านสินค้าเกษตรหลักของที่นี่คือ ฟักทองญี่ปุ่น น่าเสียดายช่วงที่เราไปพักทองยังไม่ออกลูก เราเลยไม่ได้ขึ้นไปดู เพราะฟักทองของที่นี่คือฟังทองที่ส่งให้กับร้านชื่อดังอย่าง Sizzler เลยนะ
นอกจากทำโครงการเกษตรที่นี่ยังมีบริการห้องพักให้กับนักท่องเที่ยว 5 หลัง และมีลานกางเต๊นท์ที่กว้างพอสมควร แถมยังมีร้านอาหารเล็กๆไว้บริการอาหาร เครื่องดื่มกับลูกค้าที่มาพักและนักท่องเที่ยวด้วย เมนูอาหารส่วนใหญ่จะปรุงจากวัตถุดิบสดๆที่ได้จากพืชผักของชาวบ้านในโครงการที่พลาดไม่ได้ก็ ฟักทอง ยำใบเมี่ยงและชาอู่หลง
อิ่มท้องแล้วเราเดินทางไปชิลล์กันต่อที่ ไร่ชาลุงเดช อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของม่อนเงาะ ลุงเดช เป็นเกษตรกรผู้บุกเบิกการทำไร่ชารายแรกของที่นี่ และเป็นไร่ชาอู่หลงไม่กี่ไร่ของภาคเหนือ ทำมา 20 ปีแล้ว แต่เพิ่งเป็นที่รู้จักเพราะการเปิดร้านอาหารกับโฮมเสตย์ให้นักท่องเที่ยวมาพัก ทางเข้าเหมือนบ้านคน เพราะที่นี่ก็คือบ้านของลุงเดชนั่นแหละ
กิจกรรมของที่นี่ก็มีการถ่ายรูปกับไร่ชม การจิบชาร้อนๆชมวิวสวยๆ การทานอาหารขึ้นชื่ออย่าง ยำใบเมี่ยง ที่เราไม่ได้ลองเมนูนี้ที่โครงการหลวงเพราะหมด เลยมาโดนที่นี่แทน เราเลือกเป็น ยำใบเมี่ยงปลากระป๋อง รสชาติที่ทานต้องบอกว่าเผ็ดแต่ก็อร่อยมากๆ คือเผ็ดแบบแสบลิ้นจนต้องร้องหานํ้า ตอนแรกพยายามกินชาแทน แต่ไปกันใหญ่เนื่องจากชาก็ร้อน ถ้าทานกับข้าวสวยคงกำลังดี พอดีเรากินข้าวกันมาแล้วเลย ทานเมนูนี้เปล่าๆ เผ็ดตาตื่นเลยจ้า
ส่วนชารสชาติดีมาก มีให้เลือกหลากหลายทั้งชาอู่หลง ชาดำ และชาเขียว มีแบบใส่แพ็คซื้อกลับบ้านด้วย ใครไปส่วนใหญ่ก็จะได้เจอลุงเดชยืนคุมเคาเตอร์เครื่องดื่มอยู่ ชอบตรงที่แกมีไอเดียดี เห็นว่าที่นี่ชื่อม่อนเงาะ เลยจัดแจงแบ่งพื้นที่ในไร่เพื่อปลูกเงาะไว้ให้นักท่องเที่ยวมาถ่ายรูป แถมยังใจดีแบ่งเงาะกลับไปให้ทานฟรีๆด้วย
นอกจากที่พักของโครงการหลวงและลุงเดช ก็ยังมีที่พักอีกหลายแห่งของชาวบ้านใครเครือโครงการหลวง เกือบทั้งหมดจะเป็นแนวโฮมเสตย์ไม่ค่อยมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากนัก แต่ก็ถือว่ากินอิ่มนอนหลับ และได้ใกล้ชิด ได้สัมผัสวิถีชีวิตของชาวเชาจริงๆ สนใจจองห้องพักติดต่อได้ที่เบอร์ 095-675-3848
กัปตันฮุค
https://www.facebook.com/Eatplayleave
เที่ยว ยอดดอยม่อนเงาะ โครงการหลวงม่อนเงาะ และไร่ชาลุงเดช อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่
เมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมามีโอกาสไปเที่ยว ม่อนเงาะ จังหวัดเชียงใหม่ มาครับ พอดีมีเพื่อนที่ทำงานอยู่ที่นั่นอาสาพาเที่ยวครึ่งวัน และครึ่งวันนั้นเพื่อนผมบอกว่าจะพามาม่อนเงาะ อยู่ในอำเภอแม่แตง ส่วนตัวสารภาพตามตรงว่าไม่เคยได้ยินชื่อม่อนเงาะมาก่อน แต่เพื่อนบอกว่ากำลังพัฒนาเป็นที่เที่ยวแห่งใหม่ เลยสนใจตอบตกลงทันที ถือว่าได้เปิดหูเปิดตา
สถานที่เที่ยวหลักๆของม่อนเงาะก็คือการขึ้นไปชมวิวบนยอดดอยม่อนเงาะ ชุดชมวิวที่สูงที่สุดในอำเภอแม่แตง อยู่ที่ 1,425 เมตร จากระดับนํ้าทะเล ม่อน ภาษาเหนือหมายถึงเนินเขา หรือยอดเขาลูกเล็กๆ ส่วนดอยหมายถึงภูเขา ยอดดอยม่อนเงาะ คือยอดของภูเขาที่ชื่อม่อนเงาะ ที่นี่เลยเป็นทั้งม่อนและดอยในจุดเดียวกัน
ส่วนอีกที่เที่ยวได้แก่ โครงการหลวงม่อนเงาะ หรือชื่อเต็ม ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงม่อนเงาะ ในตำบลเมืองก๋าย ต้องบอกว่าอยู่ใกล้ตัวเมืองเชียงใหม่มาก ใช้เวลาขับรถแค่ 1 ชั่วโมงเอง แต่ปัญหาจะอยู่ที่พอเข้าปากทางขึ้น ทางจะค่อยๆแคบและชันขึ้นเรื่อยๆ ถนนเส้นนี้เลยมีแต่รถกระบะขับขึ้นลง รถบ้านก็สามารถขับขึ้นไปได้ แต่ลำบากหน่อย และถ้าต้องการไปใกล้ยอดดอยที่สุด รถบ้านจะไปไกลสุดได้แค่หมู่บ้านชาวม้ง จากนั้นอาศัยรถของเจ้าหน้าที่หรือใช้บริการรถของชาวบ้านขึ้นไปลานกางเต็นท์จะดีกว่า
เพื่อนผมเคยขับขึ้นลงบ่อย ชำนาญทางเลยขับขึ้นไปได้ถึงจุดชมวิวชั้นล่างและลานกางเต็นท์ แต่ก็ทุลักทุเลบางช่วง ตอนที่ไปจริงๆยังไม่ใช้ช่วงที่เปิดให้ท่องเที่ยวงของที่นี่ เพราะที่นี่จะเปิดให้เที่ยวระหว่างเดือนพฤศจิกายน - เดือนเมษายน ก่อนที่จะปิดเพื่อให้สัตว์ป่าได้อพยพเข้ามาหากิน ชาวบ้านบอกว่าแถวนี้มีกวางผา แต่ส่วนใหญ่จะเห็นแค่รอยเท้า มีน้อยคนที่จะเคยเห็นตัว อีกสาเหตุคือช่วงที่ฝนตก ทางขึ้นมาบนยอดดอยค่อนข้างอันตราย เพราะนอกจากจะเป็นไหล่เขาที่แคบมากๆแล้ว ยังเป็นถนนดิน รกและลื่น ไม่ว่าจะทางรถหรือทางคนเดิน อันตรายพอสมควรสำหรับคนทั่วไปที่ไม่รู้ทางทางโค้งนี่ต้องบีบแตรกันลั่น เนื่องจากรถที่วิ่งขึ้นต้องทำความเร็ว มีแรงส่ง ไม่งั้นไต่เนินชันไม่ได้ เพื่อนผมเลี้ยวผิวอยู่ทางหนึ่ง เป็นไหล่เขาแคบๆไปโผลบ้านคนที่มีบ้านกับที่จอดรถอยู่ริมเขา คือเป็นทางเข้าออกของคนบ้านนี้อย่างเดียว เวลาเข้าบ้านเจ้าของจะถอยหลังเข้า เพื่อที่ตอนออกจะได้เดินหน้าออก เพื่อนผมต้องถอยออกทางโค้งแคยๆเพื่อกลับไปทางหลัก ใช้เวลาพอสมควรกว่าจะกลับไปได้
หลายคนคงสงสัยว่าทำไมถึงชื่อม่อนเงาะ ที่นี่มีเงาะเหรอ จริงๆแล้วที่นี่ไม่ได้มีอะไรเชื่อมโยงเกี่ยวกับผลไม้อย่างเงาะเลย ที่มาจริงๆก็คือเมื่อมองจากไกลๆ บริเวณนี้จะเหมือนมีหินผาที่อยู่เรียงกันสามลูก ผาแรกคือผาลูก ผากลางโดดเด่นที่สุดคือผาแม่ ซึ่งก็คือม่อนเงาะ และผาถัดไปคือผาพ่อ คำว่า ม่อนเงาะ เพี้ยนมาจากคำว่า โม่งโง๊ะ ที่แปลว่า แม่ ของภาษาม้งนั่นเอง
จากลานกางเต็นท์ก็สามารถชมวิวสวยๆทั้งท้องฟ้า เมฆสุดลูกหูลูกตา ความสวยงามของชั้นเขา ทะเลหมอก เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นและตกได้ในดอยเดียวกัน และปลายปีฤดูหนาวมองเห็นดาวได้สบายๆ เราไปถึงกันสายหน่อย แดดเลยค่อนข้างแรง ร้อนบ้าง แต่อากาศก็แจ่มใส ฟ้าเปิด เห็นกลุ่มเมฆกับกลุ่มหมอกเลื้อยไปมาบนยอดเขาหลายลูกสวยจริงๆ ไหนๆก็มาถึงนี้แล้ว ถ้าไม่ไปให้สุดยอดก็คงน่าเสียดาย
จากจุดกางเต็นท์ขึ้นไป 200 เมตร จะถึงยอดดอยม่อนเงาะ ซึ่งแม้ว่าจะฟังดูไม่ไกล แต่ทางเดินก็แคบและชันพอสมควร ทางเดินจะลำบากในช่วงที่มีฝนหรือมีนํ้าค้างลงจัดจนเปียก โดยเฉพาะก่อนถึงยอดดอย 50 เมตร ที่หญ้าขึ้นสูงจนมองไม่เห็นทาง เริ่มชัน มีหินบ้าง ถ้าผ่านมาได้ก็จะเจอตัวหนังสือที่ทำจากไม้เรียงกันเขียนว่า ยอดดอยม่อนเงาะ จากนั้นก็สามารถใช้เวลาถ่ายภาพ พักเหนื่อย สูดอากาศบริสุทธิ์ ก่อนจะเดินลง
พื้นที่ด้านบนจะไม่กว้างมาก เป็นเนินตะปุ่มตะปั่ม มีหน้าผา ต้องใช้ความระวังเวลาเดินเล่นถ่ายรูปไปมา ไม้ที่เจ้าหน้าทำกั้นไว้ อย่าไปพิง และห้ามออกไปนอกบริเวณที่กั้นเด็ดขาด เนื่องจาก ยอดดอยม่อนเงาะ มีหญ้ากับต้นไม้สูงเยอะ ทำให้
บดบังทาง เดินผิดเดินพลาดอันตรายถึงขั้นตกเขาลงไปได้เลย
เดินลงจากยอดดอยมาพักเหนื่อยกันที่ลานกางเต็นท์ ก่อนจะขับรถมาแวะพักเหนื่อยที่หมู่บ้านชาวม้ง เดินเล่น ถ่ายรูป ดูวิถีชีวิตชาวเขาชาวบ้านที่นี่เป็นมิตรกับนักท่องเที่ยวมาก ในอดีตที่นี่เคยมีชื่อเสียงเพราะเป็นชุมชนชาวม้งที่ผมยาวที่สุดในโลก เคยมีคนแก่ที่ผมยาว 4-5 เมตร เพราะชาวม้งเชื่อกันว่าเมื่อตัดผมทิ้งก็เกิดอาการเจ็บป่วยไม่สบาย คนแก่จึงไม่ตัดผมอีกเลยจนกระทั่งเสียชีวิตแต่ยุคสมัยเปลี่ยน ความเชื่อเหล่านี้ก็ค่อยๆเสื่อมคลายไป ชาวม้งในปัจจุบันจึงไว้ผมเหมือนกับชาวเมือง ส่วนใหญ่ทำอาชีพปลูกพืชผัก ผลไม้ ดอกไม้ ทำไร่ ทำสวน เลี้ยงสัตว์ และรับจ้างทั่วไป
สักพักเราก็ออกจากหมู่บ้านขับรถไปทานอาหารเช้ากันที่ โครงการหลวงม่อนเงาะ หนึ่งในโครงการของในหลวงรัชกาลที่ 9 ก่อตั้งเมื่อ ปี พ.ศ. 2528 เพื่อแก้ไขปัญหา ตัดไม้ทำลายป่าทำไร่เลื่อนลอย และการปลูกฝิ่นของชาวเขา แม้ที่นี่จะเป็นเพียงศูนย์ขนาดเล็ก แต่พื้นที่เกษตรกรรมในความรับผิดชอบครอบคลุม 17 หมู่บ้าน รวมพื้นที่ 5 หมื่นไร่ โดยมีเจ้าหน้าที่ของโครงการทำงานร่วมกับชาวบ้านสินค้าเกษตรหลักของที่นี่คือ ฟักทองญี่ปุ่น น่าเสียดายช่วงที่เราไปพักทองยังไม่ออกลูก เราเลยไม่ได้ขึ้นไปดู เพราะฟักทองของที่นี่คือฟังทองที่ส่งให้กับร้านชื่อดังอย่าง Sizzler เลยนะ
นอกจากทำโครงการเกษตรที่นี่ยังมีบริการห้องพักให้กับนักท่องเที่ยว 5 หลัง และมีลานกางเต๊นท์ที่กว้างพอสมควร แถมยังมีร้านอาหารเล็กๆไว้บริการอาหาร เครื่องดื่มกับลูกค้าที่มาพักและนักท่องเที่ยวด้วย เมนูอาหารส่วนใหญ่จะปรุงจากวัตถุดิบสดๆที่ได้จากพืชผักของชาวบ้านในโครงการที่พลาดไม่ได้ก็ ฟักทอง ยำใบเมี่ยงและชาอู่หลง
อิ่มท้องแล้วเราเดินทางไปชิลล์กันต่อที่ ไร่ชาลุงเดช อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของม่อนเงาะ ลุงเดช เป็นเกษตรกรผู้บุกเบิกการทำไร่ชารายแรกของที่นี่ และเป็นไร่ชาอู่หลงไม่กี่ไร่ของภาคเหนือ ทำมา 20 ปีแล้ว แต่เพิ่งเป็นที่รู้จักเพราะการเปิดร้านอาหารกับโฮมเสตย์ให้นักท่องเที่ยวมาพัก ทางเข้าเหมือนบ้านคน เพราะที่นี่ก็คือบ้านของลุงเดชนั่นแหละ
กิจกรรมของที่นี่ก็มีการถ่ายรูปกับไร่ชม การจิบชาร้อนๆชมวิวสวยๆ การทานอาหารขึ้นชื่ออย่าง ยำใบเมี่ยง ที่เราไม่ได้ลองเมนูนี้ที่โครงการหลวงเพราะหมด เลยมาโดนที่นี่แทน เราเลือกเป็น ยำใบเมี่ยงปลากระป๋อง รสชาติที่ทานต้องบอกว่าเผ็ดแต่ก็อร่อยมากๆ คือเผ็ดแบบแสบลิ้นจนต้องร้องหานํ้า ตอนแรกพยายามกินชาแทน แต่ไปกันใหญ่เนื่องจากชาก็ร้อน ถ้าทานกับข้าวสวยคงกำลังดี พอดีเรากินข้าวกันมาแล้วเลย ทานเมนูนี้เปล่าๆ เผ็ดตาตื่นเลยจ้า
ส่วนชารสชาติดีมาก มีให้เลือกหลากหลายทั้งชาอู่หลง ชาดำ และชาเขียว มีแบบใส่แพ็คซื้อกลับบ้านด้วย ใครไปส่วนใหญ่ก็จะได้เจอลุงเดชยืนคุมเคาเตอร์เครื่องดื่มอยู่ ชอบตรงที่แกมีไอเดียดี เห็นว่าที่นี่ชื่อม่อนเงาะ เลยจัดแจงแบ่งพื้นที่ในไร่เพื่อปลูกเงาะไว้ให้นักท่องเที่ยวมาถ่ายรูป แถมยังใจดีแบ่งเงาะกลับไปให้ทานฟรีๆด้วย
นอกจากที่พักของโครงการหลวงและลุงเดช ก็ยังมีที่พักอีกหลายแห่งของชาวบ้านใครเครือโครงการหลวง เกือบทั้งหมดจะเป็นแนวโฮมเสตย์ไม่ค่อยมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากนัก แต่ก็ถือว่ากินอิ่มนอนหลับ และได้ใกล้ชิด ได้สัมผัสวิถีชีวิตของชาวเชาจริงๆ สนใจจองห้องพักติดต่อได้ที่เบอร์ 095-675-3848
กัปตันฮุค https://www.facebook.com/Eatplayleave