แชร์ประสบการณ์หางานกฎหมาย 2017 (สายLaw firm+บ.มหาชน)

สวัสดีค่ะ อันนี้เป็นกระทู้แรกของเรา ที่ตั้งใจอยากแชร์ประสบการณ์ในการหางานและสัมภาษณ์งานของเราในปีนี้ เราคิดว่าอาจจะมีประโยชน์สำหรับคนอื่นๆในอนาคตค่ะ

เราไม่ได้ยืนยันตัวตนเลยตั้งได้แค่กระทู้คำถามค่ะ

เราเจอคำถาม
- คิดว่าตัวเองเป็นคนแถมั้ย
- อะไรถึงทำให้มั่นใจว่าภาษาอังกฤษตัวเองดี
- คนอื่นจบ ม.ดัง เกียรตินิยม ยังได้แค่นี้ แล้วทำไมถึงคิดว่าตัวเองจะเรียกในเรตนี่ได้
- คำถามเยอะแยะมากมาย พร้อมข้อสอบหฤโหด 55555 เราจะมาคุยกันค่ะ
หมายเหตุ เรื่องนี้เป็นประสบการณ์โดยตรงของเจ้าของกระทู้ ซึ่งเป็นการแชร์ความรู้สึกของ จขกท.เพียวฝ่ายเดียว หากผู้สัมภาษณ์หรือบริษัทมาอ่านเจอ จขกท. ขออนุญาตที่จะเขียนพาดพิงถึงมา ณ ที่นี่ เพื่อประโยชน์สาธารณะ มิได้ใช้ในทางพาณิชย์แต่อย่างใด

ขอเล่าความเป็นมาและBackground เรานิดนึง เพื่อประกอบกระทู้
- เพศหญิง
- อายุ 20 กลางๆ
- จบนิติศาสตร์ ลูกพ่อขุน
- มัธยมจบโรงเรียนรัฐธรรมดา
- ประสบการณ์ทำงาน 4 ปี (สายงานกฎหมาย)
- ภาษาอังกฤษพอใช้ได้ (พูด,ฟัง ค่อนข้างดี แต่เขียนไม่ค่อยเก่ง)
- ไม่เคยเรียนเมืองนอก
- เรียนภาษาอังกฤษที่ไทยเมื่อ 5 ปีที่แล้ว
- ไม่จบเนติบัณฑิต (ลงรอบที่แล้วแต่ตก 5555)
- ยังไม่เรียนโท
- มีใบอนุญาตว่าความ
สาเหตุที่หางานในรอบนี้เนื่องจากออกจากงานประจำและทำฟรีแลนด์มาสักระยะ คิดว่าตัวเองใช้ชีวิตแบบไม่มีระเบียบ ตามใจตัวเอง และเหตุผลของสุขภาพ(จิต)ที่จิตแพทย์แนะนำ เรามีภาวะซึมเศร้าที่เรากำลังต่อสู้กับมันอยู่

รอบนี้เราตั้งใจว่า จะหางานแต่อาจจะไม่ใช่งานกฎหมายอย่างเดียว รวมถึงงานอื่นเช่นเลขาด้วย เพราะเราคิดว่าบางทีอาจจะไม่เครียดเท่างานกฎหมายก็ได้  เราร่างเรซูเม่ภาษาอังกฤษ และสอบ TOEIC หลังจากนั้นก็เริ่มยื่นสมัครงาน เราหางานผ่าน JobsDB และ Facebook หางานกฎหมายค่ะ

เราจำได้ว่าเราสอบ TOEIC วันพุธ รับผลวันพฤหัส ร่างเรซูเม่เสร็จวันเสาร์ และยื่นสมัครงานวันเสาร์เลยผ่านเว็บไซค์ แล้วรอ.....

วันจันทร์เช้า เฝ้ารอด้วยความตื่นเต้นว่าจะใครติดต่อมาบ้างมั้ย ถามแฟน แฟนบอกให้เวลาบริษัทอ่านเราซูดมาบ้างจะรีบไปไหน 5555

สายเข้าสายแรก (recruitment บ.ญี่ปุ่น)
ประมาณ 9 โมง มีสายเข้า จากบริษัท Recruiment ว่าเราได้ยื่นสมัครงานไว้ เค้าอ่านเรซูเม่แล้วสนใจ เลยขอสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ ซึ่งตอนแรกสัมภาษณ์เป็นภาษาไทย เรียนอะไรมา จบอะไร ประสบการณ์การทำงานมีอะไรบ้าง ทำไมถึงออกจากงานเดิม (คำถามนี้ต้องเตรียมคำตอบดีๆเลย โดนทุกที่ถามจริงๆ) หลังจบสัมภาษณ์ภาษาไทย ก็ให้สัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งถามทั่วไปให้แนะนำตัวเป็นภาษาอังกฤษ (เราไม่ได้เตรียมตัว ก็ด้นสดกันไป 555) จบแล้วเค้าอธิบายรายละเอียดของบริษัทให้ฟัง ว่าเป็นบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้า สัญชาติญี่ปุ่น ออฟฟิศตั้งอยู่ที่ไหน โบนัสเท่าไหร่ (เฉลี่ย 5 เดือน เยอะอยู่นะ ) และทาง recruitment ก็ขอ vdo call ผ่านไลน์ เพื่อยืนยันตัวตน และแจ้งเราว่าจะส่ง เรซูเม่ให้ลูกค้าและจะติดต่อเรากลับมา หากลูกค้าสนใจ

(สายแรกผ่านไปตื่นเต้นมาก ไม่สัมภาษณ์งานมานานแล้วนับจากงานเก่า เลยรู้สึกประหม่าไปบ้าง แต่ก็ดีใจที่มีคนโทรมาบ้าง 555555)

สายที่สอง (Recruitment บ.มหาชน แห่งหนึ่ง)
สายนี้โทรมาขณะที่เราคุยกับสายแรก แล้วเราไม่ได้รับสาย(ก็คิดสายแรกไง) เค้าเลยส่งอีเมล์มาให้เราคิดต่อกลับ พอโทรกลับไป เค้าอธิบายให้ฟังสั้นๆว่าลูกค้าเค้าใคร เป็นบ.มหาชน เกี่ยวกับยานยนต์ มีหลายสาขาในหลายประเทศ ถามประวัติว่าเรามีประสบการณ์ด้านนี้มั้ย และเค้าจะส่งประวัติใหลูกค้า ถ้าลูกค้าสนใจ เค้าจะติดต่อกลับ (ซึ่งภายหลังเค้าติดต่อกลับมาและเราได้ไปสัมภาษณ์ ขอขอบคุณ Recruiment มา ณ ที่นี้)

หลังจากนั้นก็มีหลายสายติดต่อเข้ามานัดสัมภาษณ์ ขอข้ามไปที่สัมภาษณ์ที่แรกเลยละกัน

1. สัมภาษณ์ บ.แรก กิจการเกี่ยวกับสื่อ ตำแหน่งนักกฎหมาย

เนื่องจากไม่สัมภาษณ์งานมานาน เราจัดเต็มค่ะ แต่งหน้า ผม เรียบร้อย เสื้อผ้าสะอาดเรียบร้อยดูเป็นทางการเหมาะสมกับตำแหน่งนักกฎหมาย 55555

บ.เกี่ยวกับสื่อ เป็นstartup company ออฟฟิสน่าทำงานมาก สวัสดิการดีน่าสนใจ จริงๆดีกว่าที่อื่น

เราสัมภาษณ์กับ Hr กับ senior manager ซึ่งพอเราสัมภาษณ์เรารู้สึกได้ว่าที่นี่ไม่ใช่ (อย่างแรง) ทัศนคติต่องานกฎหมายที่บริษัทมีกับทัศนคติเรา ไปกันไม่ได้ เราไม่โอเคกับความคิดที่ว่างานกฎหมายง่ายๆก็แค่งานเอกสาร เราเหมือนโดนดูถูกในวิชาชีพ ในช่วงคำถามที่ถามว่าทำไมบริษัทต้องจ้างคุณ เราตอบเลยค่ะว่าเราคิดว่าเราคงไม่เหมาะกับที่นี่ พอสัมภาษณ์เสร็จ บริษัทก็ส่งอีเมล์มาอย่างรวดเร็วว่าเราไม่ใช่ best match 5555

2. บริษัทมหาชน เกี่ยวกับธุรกิจความงาม ตำแหน่ง Legal officer

จริงๆบริษัทนี้เราคิดไว้แต่แรกก่อนไปสัมภาษณ์ว่าเราคงไม่เหมาะ และไม่ใช่ธุรกิจที่เราอยากเรียนรู้ แต่ทั้งนี้เราก็ไปสัมภาษณ์ค่ะ ซึ่งหลังสัมภาษณ์ ความคิดเราเปลี่ยนไปเยอะเลย

บ.นี้ออฟฟิศตั้งอยู่ที่บนโรงแรม โดยรอบแรก สัมภาษณ์กับ hr ซึ่งถามทั่วไปๆเกี่ยวกับทัศนคติต่างๆต่อการทำงาน ไม่เครียดหรือกดดันอะไรเลยค่ะ และทุกอย่างเป็นภาษาไทย

ต่อมาสัมภาษณ์กับพี่ senior legal manager ซึ่งถ้าได้ทำงานที่นี่ คนนี้จะเป็นเจ้านายเรา ซึ่งรู้สึกถูกชะตา 55555

บ.: แนะนำตัวหน่อย ว่าทำไรมาบ้าง
เรา: ภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษดีคะ
บ.: ไทยก็พอ
เรา: แนะนำตัว ชื่อ จบอะไร ทำอะไรมาบ้าง (ยาว.........)
บ.: ดูจากประวัติ ไม่เคยทำงานสาย corporate โดยตรงเลยนิ ทำไมถึงอยากเปลี่ยนละ
เรา.:อยากเรียนรู้สายงานใหม่ๆค่ะ และสนใจที่จะศึกษาต่อเกี่ยวกับสายงานนี้ค่ะ อีกทั้งอยากเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับบริษัทมหาชนด้วยค่ะ
บ.: ทำlitigation มาตั้งนานทำไมไม่ทำต่อ สายนี้ยังไปได้อีกไกลนะ อดทนหน่อยสิ
เรา: (หัวเราะ) พี่ทนายคนอื่นก็บอกแบบนี้เหมือนกันค่ะ ว่าให้อดทน แต่คิดว่าเรายังเด็ก เลยยังอยากลองเรียนรู้งานอย่างอื่นบ้างค่ะ
บ.: แต่ก็ดีนะ มีประสบการณ์เป็นทนายความ แล้วมาเป็นที่ปรึกษา มันก็เปลี่ยนได้ แต่ถ้าทำแต่ที่ปรึกษาแล้วมาเปลี่ยนเป็นทนายมันก็ยากแล้ว (ฟังเสร็จ โหยยยยย ประทับใจ 555555)

มีคำถามอื่นอีกเยอะในระหว่างสัมภาษณ์ ที่ยกมาที่ประทับใจที่พี่เค้าเข้าใจในสายงานกฎหมาย ซึ่งตรงข้ามกับที่แรกมาก แต่ก็โดนติงมาค่ะ ว่สเรียกเงินเดือนสูงไป ถ้าเทียบว่าต้องมาสอนงานอีก ซึ่งเราก็เข้าใจค่ะ

บ.นี้ยังอยู่ระหว่างช่วงพิจารณา ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าจะได้หรือไม่คะ

3. บ.3 ลอว์เฟิร์ม ตำแหน่ง associate

กลับมาสู่สายงานเดิม ที่ถนัด (รึป่าว 555555) บ.นี้หนาวมากกกกกก (เกี่ยวกันมั้ย 5555) ไปถึงประชาสัมพันธ์เอาข้อสอบมาให้ เปิดดูปุ๊บ ร้องเห้ หนักมาก คือแบบเราไม่ได้เก่งขนาดนั้น

ข้อสอบเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด
1.ร่างโนติส เป็นภาษาอังกฤษ โดยมีข้อเท็จจริงมาให้
2.แปลอังกฤษเป็นไทย ความยากไม่ได้อยู่ที่ให้แปลแต่อยู่ที่ content ที่ให้แปล เป็น term ของสัญญาที่เป็นกม.เฉพาะ คืออ่านให้เข้าใจว่ายากแล้ว แต่บางคำคือไม่รู้ว่าภาษาไทยใช้คำว่าอะไรไง 555555555 ยากเกิ้นนนนน

ทั้งนี้ทั้งสองอย่าง ต้องเสร็จภายใน 1 ชม. คือหนูต้องเทพแค่ไหนค่ะ ทำให้เสร็จอาจจะพอได้ แต่ทำให้ดีในเวลาที่บีบขนาดนี้ อาจจะไม่รอด พยายามเต็มที่สุดๆแหละ ตอนแปลนี้คิดคำไทยไม่ออกเลยทับศัพท์ไปเลยล่ะกัน 555555 ต้องแก้สถานการณ์เฉพาะหน้าไปก่อน ทำเกือบเสร็จห็มีคนเข้ามาเก็บข้อสอบ ตอนนั้นยังไงก็คิดว่าไม่น่าจะได้งานที่นี่เพราะทำข้อสอบได้ไม่ดี (ยอมรับเลยว่า การเขียนแบบนั้น ไม่สามารถส่งงานออกไปให้ลูกความได้แน่นอน มันแย่เกินไป)

2-3 นาทีผ่านไป พี่partner 2 คนเข้ามาสัมภาษณ์ (รู้ว่าเป็น partner เพราะ google มาก่อนสัมภาษณ์ สำคัญมากนะเออ) พี่เค้าก็ให้แนะนำตัวเป็นภาษาอังกฤษ (อีเราก็ร่ายไปเรื่อยๆ ตามใจตัวเอง เพราะไม่เคยร่างสคริปต์ประวัติตัวเองเลย 555)

เราจำคำถามได้ไม่หมดนะ สำหรับสัมภาษณ์ เราจำได้บางส่วนค่ะ เลยแชร์เท่าที่แชร์ได้

คำถาม
พี่partner: ถ้าไปยื่นฟ้องที่ศาลต้องเตรียมเอกสารเะไรบ้าง (เอกสารที่ยื่นฟ้องต่อศาล)
เรา (มึนๆไปนิดนึง ประสบการณ์มีแต่ใช่ว่าจะจำได้ 5555) มีคำฟ้อง (ก็แน่นอนล่ะ 55555) คำขอท้ายฟ้อง หมาย คำขอปิดหมาย เอกสารท้ายฟ้อง บัญชีระบุพยาน และต้องไม่ลืมคัด ทร. ค่ะ (ยิ้มมมมมม)
พี่ partner: แล้วศาลจะรู้ได้ไงว่าเราเป็นใครในคดี
เรา: (ชิพหายแหละ ลืมใบแต่งทนาย) ขอโทษค่ะ ต้องมีใบแต่งทนายความด้วยค่ะ
พี่ partner: มองหน้าเราเหมือนจะยิ้มๆ 55555

คำถาม
พี่partner: ถ้าเปลี่ยนชื่อบริษัทจะต้องทำอะไรบ้าง เรียกประชุมอะไรบ้าง
เรา: ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นค่ะ และต้องมีมติพิเศษในการแก้ไขไม่ต่ำกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด
พี่partner: ทำไมต้องต้องมีมติพิเศษ
เรา: เพราะการแก้ไขเปลี่ยนแปลงชื่อบริษัทนั้น จะต้องมีการแก้ไขหนังสือบริคณห์สนธิ ซึ่งกฎหมายกำหนดไว้ว่าถ้ามีการแก้ไขนั้น จะต้องเป็นมติพิเศษค่ะ (เริ่มมีความมั่นใจในคำถาม แอบมั่นนิดนึง)
พี่partner: แล้วประชุมแค่ผู้ถือหุ้นหรอ
เรา: ค่ะ
พี่partner: แล้วเรียกประชุมผู้ถือหุ้นยัง ไม่ประชุมกรรมการ
เรา: อ๋อค่ะ ใช่ค่ะ ต้องประชุมกรรมการเพื่อมีมติเรียกประชุมผู้ถือหุ้นด้วยค่ะ (เห้เอ๊ย ตอบไม่ครบอีกแล้ว เราผิดหวังในตัวเองมากค่ะ)

คำถาม
พี่partner: ถ้ากรรมการบริษัท มี 2 คน แล้วคนหนึ่งที่ดูแลเรื่องการเงิน เอาเงินไปหมดเลย เราจะทำยังไง แนะนำลูกความยังไง ข้อหาอะไร
เรา: (จุดนั้นเริ่มเหนื่อย สมองเบลอมาก) เงินสดหรือว่าบัญชีค่ะ
พี่partner: เงินสดละกัน เอาแบบมันเอาไปเลย แล้วติดต่อไม่ได้
เรา: คิดว่าเป็นข้อหายักยอกทรัพย์ค่ะ
พี่partner: แล้วไงต่อ เราจะแนะนำลูกความทำยังไง
เรา: มีสองทางเลือกค่ะ ร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนกับยื่นฟ้องต่อศาลเอง
พี่partner: แล้วเราจะแนะนำทางไหน มันต่างกันยังไงสองทางเนี่ย
เรา: (เริ่มเบลอแบบควบคุมไม่ได้แหละ 555) ถ้าร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน พนักงานสอบสวนก็จะส่งหมายเรียกสองครั้งก่อนออกหมายจับ ซึ่งอาจจะใช้เวลาระยะหนึ่ง และระยะเวลาเราก็ไม่สามารถควบคุมให้พนักงานสอบสวนทำตามที่เราต้องการได้ อีกทั้งพนักงานสอบสวนมีหน้าที่ที่เป็นคนกลางที่ต้องพิสูจน์ทั้งความผิดและ ความบริสุทธิ์ของทั้งสองฝ่ายค่ะ

แบบที่สองให้ทนายยื่นฟ้องศาลเองโดยตรง ถ้ายื่นฟ้องเองก็ต้องมีการไต่สวนมูลฟ้องก่อนที่ศาลจะรับประทับฟ้องค่ะ
พี่partner: แล้วเราจะเลือกแบบไหน
เรา: (เริ่มเหนื่อยแบบถามไรเยอะแยะ เรากลัวตอบผิดหรือไม่ครบอีก) เอ่อ เลือกฟ้องศาลเองค่ะ
พี่partner: ทำไมล่ะ (ยังๆๆไม่จบอี๊กกกก)
เรา: เพราะว่าถ้าให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีก็ไม่รู้คดีคืบหน้าเร็วแค่ไหน เราไม่สามารถควบคุมพนักวานสอบสวนได้ แต่ถ้าเราฟ้องคดีเอง เราสามารถควบคุมเรื่องtiming ได้บ้าง และคดีจะแน่นไม่แน่นก็อยู่ที่ทนายเองค่ะ
พี่partner: แล้วถ้าเค้ากลับมาเอาเงินมาคืนหลังจากฟ้องแล้วจะทำยังไง
เรา: (ยังไม่จบอีกหรอ) ถ้าจะประนีประนอมยอมความก็ขึ้นอยู่กับความประสงค์ของลูกความค่ะ
พี่partner:แล้วถ้าศาลประทับรับฟ้องยอมความได้มั้ย
เรา: ได้ค่ะ คดีความผิดต่อส่วนตัว
พี่partner: แล้วถ้าศาลมีคำพิพากษาแล้ว ถอนฟ้องได้มั้ย
เรา: (เห้แหละ เริ่มไม่มั่นใจอีกแล้ว) ไม่ได้ค่ะ
พี่partner: แล้วถ้าอุทธรณ์ล่ะถอนได้มั้ย
เรา: ได้ค่ะ แต่ไม่มั่นใจว่าจะต้องอนุญาตก่อนรึป่าวค่ะ (จุดนั้นเราเหนื่อยมาก เราไม่มั่นใจคำตอบ เหมือนเราโดนต้อนตลอดเวลา แต่พอผ่านมันมาได้ก็สนุกดี เราคิดว่าเค้าพยายามจะเทสว่าเราทนแรงกดดันได้มั้ย ดูว่าเราจะหลุดมั้ยมากกว่า)

คำถามกฎหมายก็จะประมาณนี้ค่ะ ที่เหลือเหมือนคุยๆกันว่าทำไรมาบ้าง สัมภาษณ์ที่ไหนมาบ้าง เราก็ตอบไปตรงๆ ว่ามีนัดสัมภาษณ์ที่อื่น มีbig4ด้วย ก็อยากจะลองดู พี่เค้าก็แนะนำว่าแต่ล่ะอย่างมันต่างกันยังไง จริงๆเราคิดว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ดีที่ได้คุยกับหลายๆบริษัท มันทำให้เรามีความคิดหรือมุมมองหลายหลากมากยิ่งขึ้น
ถ้ามีคนอ่านจะมาต่อนะคะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่