คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
ต่อค่ะ
ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าเราควรทำยังไง เราควรจะจัดการความรู้สึกตรงนี้ยังไง เรารักทุกคน เราช่วยเหลือทุกคน(เท่าที่ทำได้และเห็นสมควร) เราพยายามแก้ปัญหาที่ทุกคนก่อ แต่เหมือนเราเดือดร้อนกับปัญหาอยู่คนเดียว ทุกวันนี้เราเองก็มีภาระการผ่อนบ้านของเรา และมีหนี้กยศ.ที่ต้องผ่อนคืน ซึ่งในส่วนนี้เราคิดว่าเราจัดการได้ และจะไม่มีผลกระทบอะไรกับชีวิตในอนาคตของเรา เพราะเราควบคุมได้ แต่สิ่งที่คนที่บ้านเราก่อ เราควบคุมใครไม่ได้เลย
ที่ดินที่จะขาย เราเสียดายมาก เพราะมันคือสมบัติชิ้นใหญ่ที่สุดที่บ้านเรามี ถ้าขายไปแล้วเงินที่ได้มาหมด อนาคตจะเป็นยังไง เราอดกลัวไม่ได้ ใจจริงเราอยากรักษามันไว้ เราไม่ได้อยากได้เป็นของตัวเอง แต่เราแค่อยากเก็บไว้ให้อยู่ไปถึงชั่วลูกชั่วหลานของบ้านเรา จะเป็นชื่อใครก็ได้แต่ขอให้รักษามันไว้ ซึ่งเงินเก็บของเราที่มีสามารถใช้หนี้ธนาคารได้ เราคิดเล่นๆว่าหรือเราจะรับใช้หนี้ที่พ่อกู้มาดีไหม แล้วถ้าผ่อนหลุดมา แต่พ่อ/น้องเรา
ไม่คิดทำอะไรกับมันเลย แล้วรายได้จะมาจากตรงไหนก็จะเป็นปัญหาอีก
มีเพื่อนเราพูดคำนึงว่า ถ้าเราเอาเงินทั้งชีวิตที่เรามีไปจมอยู่กับที่ดินที่เราไม่ได้สร้างรายได้ ถือว่าไม่เป็นประโยชน์ และ อีกคำที่ว่า หาซื้อที่ดินที่อื่นดีไหม จะได้ไม่ต้องพัวพันกับคนที่บ้านเรา ไปสร้างเอาใหม่ หาเอาใหม่ดีกว่า
เราเคยคิดถึงเรื่องบุญ-กรรมนะคะว่า ถ้าเราทำดี เราต้องได้ดี เราก็ไม่เคยทำร้ายใคร ไม่เกเร ทำไมเราทำอะไร พูดอะไร ทำไมถึงไม่มีใครเชื่อฟัง คือยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่เราเคยเตือนคนในครอบครัวเรา แต่ไม่มีใครฟัง สุดท้ายผลเสียที่ตามมาคือไม่ต่างจากที่เราเตือนเลยซักครั้ง
ไหนจะเรื่องความรับผิดชอบที่ต่างกันระหว่างเรากับน้องอีก เราแก่กว่าน้องนิดเดียว แต่ทุกคนมุ่งตรงมาที่เรา โดยที่ไม่เคยหันมองน้องเราเลยว่าจะสร้างปัญหาขนาดไหน หรือจะไม่มีอาชีพอย่างไร เรามาถึงตรงนี้ เราภูมิใจในตัวเองนะที่เราผ่านอะไรมา ดูแลตัวเองจนมาถึงทุกวันนี้
เราก็ไม่รู้ว่าที่น้องเป็นแบบนี้ เพราะทุกคนตามใจ ไม่มีใครคอยตักเตือนด้วยหรือเปล่า เราไม่ได้อิจฉาน้องเลยที่สบายมาแต่เด็ก เรารู้ว่าเราทำอะไร และกำลังเลือกอะไรให้ตัวเองอยู่ แต่พอมาตอนนี้เราเริ่มสับสนว่า เราเลือกอะไรให้ตัวเอง?
สเตตัสปัจจุบันของแต่ละคน
1. เรา-ทำงานที่กทม.ผ่อนบ้านร่วมกับแฟนแถบชานเมือง ผ่อนกยศ. ส่งเงินรายเดือนให้ที่บ้าน และส่งให้พ่อในการขอกรณีพิเศษ (เช่นค่าไถไร่/ค่าปุ๋ยค่ายา/ค่าพรบ.รถยนต์ etc.)
2.พ่อ-ทำสวนแบบไม่จริงจัง ยังมีข่าวคราวเรื่องการพนันอยู่ มีหนี้สินนอกระบบ และไฟแนนซ์รถยนต์ และหนี้ธนาคาร โกหกเราบ้าง
3.ปู่-ปลูกล้วยข้างบ้านเพื่อหาร้ายได้ เลี้ยงน้องหมา ไม่ค่อยมีใครใส่ใจ
4.ย่า-เชื่อสิ่งลี้ลับ เราจับโกหกได้มากที่สุด ให้ร้ายคนในบ้าน ถามหาเงินเราตลอดเวลาที่เจอกัน เฟลที่สุดคือเราให้เงินย่าไว้ใช้ พอพ่อถามก็บอกว่าซักสตางค์แดงเดียวมัน(ตัวเรา)ก็ไม่ให้ บาทนึงก็ไม่ไห้ ทั้งๆที่ตอนให้ปู่ก็เห็น ย่าก็ว่าปู่ว่า
ปู่เชื่อไม่ได้ จนพ่อต้องโทรมาถามเรา
5.น้องเรา-อยู่บ้านเฉยๆ กลางวันนอน กลางคืนออกเที่ยว เราติดต่อโรงเรียนเดิมเรื่องวุฒิเพื่อให้ไปต่อกศน.ก็ไม่ไป ไม่มีใครว่าอะไรได้ ไม่มีสัมมาอาชีพ
ปัญหาของเราคือ
1.จัดการกับพฤติกรรมของคนที่บ้านอย่างไร (ไม่ค่อยมีใครพูดความจริงกับเรา พอถึงเวลาเผชิญหน้า ทุกคนจะเงียบ จนบางทีเรารู้สึกเหมือนเราเป็นคนอื่น)
2.จัดการเรื่องที่ดินอย่างไร (ขาย/โอน/เราใช้หนี้แทน?)
3.จัดการกับหนี้สินนอกระบบของพ่ออย่างไร มีผลอะไรทางกฎหมายที่จะส่งต่อมายังทายาทหรือไม่
4.จัดการกับน้องผู้ซึ่งไม่เคยเดือดร้อนอะไรเลย อย่างไร // ตัดหางปล่อยวัดเลยดีไหม? ฮ่าๆ
เราจึงอยากปรึกษาทุกท่านที่หลงเข้ามาจนถึงตรงนี้ว่า ถ้าเรื่องนี้เกิดกับคุณ คุณจะจัดการปัญหายังไง // ควรรู้สึกยังไง
ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าเราควรทำยังไง เราควรจะจัดการความรู้สึกตรงนี้ยังไง เรารักทุกคน เราช่วยเหลือทุกคน(เท่าที่ทำได้และเห็นสมควร) เราพยายามแก้ปัญหาที่ทุกคนก่อ แต่เหมือนเราเดือดร้อนกับปัญหาอยู่คนเดียว ทุกวันนี้เราเองก็มีภาระการผ่อนบ้านของเรา และมีหนี้กยศ.ที่ต้องผ่อนคืน ซึ่งในส่วนนี้เราคิดว่าเราจัดการได้ และจะไม่มีผลกระทบอะไรกับชีวิตในอนาคตของเรา เพราะเราควบคุมได้ แต่สิ่งที่คนที่บ้านเราก่อ เราควบคุมใครไม่ได้เลย
ที่ดินที่จะขาย เราเสียดายมาก เพราะมันคือสมบัติชิ้นใหญ่ที่สุดที่บ้านเรามี ถ้าขายไปแล้วเงินที่ได้มาหมด อนาคตจะเป็นยังไง เราอดกลัวไม่ได้ ใจจริงเราอยากรักษามันไว้ เราไม่ได้อยากได้เป็นของตัวเอง แต่เราแค่อยากเก็บไว้ให้อยู่ไปถึงชั่วลูกชั่วหลานของบ้านเรา จะเป็นชื่อใครก็ได้แต่ขอให้รักษามันไว้ ซึ่งเงินเก็บของเราที่มีสามารถใช้หนี้ธนาคารได้ เราคิดเล่นๆว่าหรือเราจะรับใช้หนี้ที่พ่อกู้มาดีไหม แล้วถ้าผ่อนหลุดมา แต่พ่อ/น้องเรา
ไม่คิดทำอะไรกับมันเลย แล้วรายได้จะมาจากตรงไหนก็จะเป็นปัญหาอีก
มีเพื่อนเราพูดคำนึงว่า ถ้าเราเอาเงินทั้งชีวิตที่เรามีไปจมอยู่กับที่ดินที่เราไม่ได้สร้างรายได้ ถือว่าไม่เป็นประโยชน์ และ อีกคำที่ว่า หาซื้อที่ดินที่อื่นดีไหม จะได้ไม่ต้องพัวพันกับคนที่บ้านเรา ไปสร้างเอาใหม่ หาเอาใหม่ดีกว่า
เราเคยคิดถึงเรื่องบุญ-กรรมนะคะว่า ถ้าเราทำดี เราต้องได้ดี เราก็ไม่เคยทำร้ายใคร ไม่เกเร ทำไมเราทำอะไร พูดอะไร ทำไมถึงไม่มีใครเชื่อฟัง คือยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่เราเคยเตือนคนในครอบครัวเรา แต่ไม่มีใครฟัง สุดท้ายผลเสียที่ตามมาคือไม่ต่างจากที่เราเตือนเลยซักครั้ง
ไหนจะเรื่องความรับผิดชอบที่ต่างกันระหว่างเรากับน้องอีก เราแก่กว่าน้องนิดเดียว แต่ทุกคนมุ่งตรงมาที่เรา โดยที่ไม่เคยหันมองน้องเราเลยว่าจะสร้างปัญหาขนาดไหน หรือจะไม่มีอาชีพอย่างไร เรามาถึงตรงนี้ เราภูมิใจในตัวเองนะที่เราผ่านอะไรมา ดูแลตัวเองจนมาถึงทุกวันนี้
เราก็ไม่รู้ว่าที่น้องเป็นแบบนี้ เพราะทุกคนตามใจ ไม่มีใครคอยตักเตือนด้วยหรือเปล่า เราไม่ได้อิจฉาน้องเลยที่สบายมาแต่เด็ก เรารู้ว่าเราทำอะไร และกำลังเลือกอะไรให้ตัวเองอยู่ แต่พอมาตอนนี้เราเริ่มสับสนว่า เราเลือกอะไรให้ตัวเอง?
สเตตัสปัจจุบันของแต่ละคน
1. เรา-ทำงานที่กทม.ผ่อนบ้านร่วมกับแฟนแถบชานเมือง ผ่อนกยศ. ส่งเงินรายเดือนให้ที่บ้าน และส่งให้พ่อในการขอกรณีพิเศษ (เช่นค่าไถไร่/ค่าปุ๋ยค่ายา/ค่าพรบ.รถยนต์ etc.)
2.พ่อ-ทำสวนแบบไม่จริงจัง ยังมีข่าวคราวเรื่องการพนันอยู่ มีหนี้สินนอกระบบ และไฟแนนซ์รถยนต์ และหนี้ธนาคาร โกหกเราบ้าง
3.ปู่-ปลูกล้วยข้างบ้านเพื่อหาร้ายได้ เลี้ยงน้องหมา ไม่ค่อยมีใครใส่ใจ
4.ย่า-เชื่อสิ่งลี้ลับ เราจับโกหกได้มากที่สุด ให้ร้ายคนในบ้าน ถามหาเงินเราตลอดเวลาที่เจอกัน เฟลที่สุดคือเราให้เงินย่าไว้ใช้ พอพ่อถามก็บอกว่าซักสตางค์แดงเดียวมัน(ตัวเรา)ก็ไม่ให้ บาทนึงก็ไม่ไห้ ทั้งๆที่ตอนให้ปู่ก็เห็น ย่าก็ว่าปู่ว่า
ปู่เชื่อไม่ได้ จนพ่อต้องโทรมาถามเรา
5.น้องเรา-อยู่บ้านเฉยๆ กลางวันนอน กลางคืนออกเที่ยว เราติดต่อโรงเรียนเดิมเรื่องวุฒิเพื่อให้ไปต่อกศน.ก็ไม่ไป ไม่มีใครว่าอะไรได้ ไม่มีสัมมาอาชีพ
ปัญหาของเราคือ
1.จัดการกับพฤติกรรมของคนที่บ้านอย่างไร (ไม่ค่อยมีใครพูดความจริงกับเรา พอถึงเวลาเผชิญหน้า ทุกคนจะเงียบ จนบางทีเรารู้สึกเหมือนเราเป็นคนอื่น)
2.จัดการเรื่องที่ดินอย่างไร (ขาย/โอน/เราใช้หนี้แทน?)
3.จัดการกับหนี้สินนอกระบบของพ่ออย่างไร มีผลอะไรทางกฎหมายที่จะส่งต่อมายังทายาทหรือไม่
4.จัดการกับน้องผู้ซึ่งไม่เคยเดือดร้อนอะไรเลย อย่างไร // ตัดหางปล่อยวัดเลยดีไหม? ฮ่าๆ
เราจึงอยากปรึกษาทุกท่านที่หลงเข้ามาจนถึงตรงนี้ว่า ถ้าเรื่องนี้เกิดกับคุณ คุณจะจัดการปัญหายังไง // ควรรู้สึกยังไง
แสดงความคิดเห็น
ฉันควรรู้สึกอย่างไรกับปัญหาที่ฉันไม่ได้ก่อ?
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราขอเปิดเรื่องเลยค่ะ...เริ่ม!!
เราอายุใกล้เลข3 เป็นลูกคนโตค่ะ เป็นมนุษย์เงินเดือนทั่วไปในสายอาชีพธรรมดา มีน้องชายอายุ25ปี 1คน พ่อแม่เราแยกทางกันตั้งแต่เราอายุ12 ณ ตอนนั้นเราและน้องอยู่กับพ่อ ในบ้านจะมีพ่อ เรา น้องชาย และปู่
ส่วนย่าจะค้าขายอยู่อีกจังหวัด นานๆจะกลับบ้านที
หลังจากที่พ่อแม่แยกกันเราต้องทำหน้าที่แทนแม่มาตลอด ที่บ้านมีอาชีพเกษตรกรรม กำลังหลักจะเป็นพ่อ และมีเราเป็นลูกมือ มีปู่ที่มาคอยสั่งการบ้าง
ส่วนน้องชายนั้นก็จะไม่ต้องทำอะไร ด้วยเหตุผลของย่าที่ว่ายังเด็กอยู่ น้องไม่เคยทำงานอะไรเลย ทุกคนจะโอ๋มาก ตอนเด็กๆเราเคยน้อยใจตามประสาเด็ก เข้าใจว่าทุกคนรักเราไม่เท่ากับน้องแต่เราก็พยายามคิดว่าถ้าเราทำอะไรเป็น ไม่ว่าจะเป็นงานในไร่ในสวน งานบ้าน กับข้าว หรือแม้แต่งานรับจ้างต่างๆได้ นั่นจะเป็นประโยชน์กับตัวเราเอง เราก็ทำไป ตามกำลังเด็กน้อยที่มี ฮ่าๆ ผิดกับน้องเราที่ไม่เคยลำบากอะไรเลย วันนึงคงจะเห็นผลที่ตามมา ซึ่งมันก็จริงค่ะ ไว้จะเล่าต่อในลำดับถัดๆไป
ระหว่างช่วงนี้ ย่าก็จะส่งเงินสำหรับค่าเรียน ค่ากิน รวมถึงซื้อของใช้เซ็ตใหม่เข้าบ้าน (เนื่องจากตอนที่แม่ย้ายออกไป แม่ขนออกไปเกือบทุกอย่าง) พ่อก็ทำสวน มีปัญหาบ้างตามประสา ทั้งเรื่องการพนันและเรื่องผู้หญิงจะมีดราม่าหนักๆคือช่วงเราจะขึ้นม.3 ที่พ่อไม่กลับบ้าน ติดผู้หญิงใหม่ เรากับน้องและปู่ก็อยู่ได้ด้วยเงินที่ย่าส่งมา จากนั้นพ่อก็ออกไปทำงานรับจ้างที่อำเภออื่น ไม่ค่อยได้กลับบ้าน เราก็จะอยู่กันลำพัง3คน(ด้วยเงินส่วนใหญ่จากย่า)
เราบริหารเงินเองตั้งแต่เด็ก เรื่องค่าน้ำค่าไฟ ค่ากับข้าว เราจัดการเองหมด แต่จะมีอยู่เรื่องหนึ่งที่เราจัดการไม่เคยสำเร็จเลยคือการบังคับน้องไปโรงเรียนในวันที่มันไม่อยากไป ด้วยวัยที่ห่างกันไม่มาก พูดภาษาพ่อขุนรามมาแต่เด็ก และทุกคนตามใจมันตลอด สิ่งที่ทำได้คือโทรไปฟ้องพ่อให้พ่อดุมัน ก็ได้ผลบ้างไม่ได้บ้าง
เราจะได้สิทธิ์การตัดสินใจเรื่องการเรียนด้วยตัวเอง พ่อจะให้อิสระมากๆ ผลการเรียนเราอยู่ในระดับกลางๆ แต่น้องเราจะไม่ชอบเรียน เราคอยเคี่ยวเข็ญตลอด คอยช่วยตามงานที่ติด0 ติดร. มส. พ่อก็จะบอกว่าช่างมัน มันไม่อยากเรียนก็แล้วแต่มัน เอาเท่าที่มันอยากรู้ ซึ่งเราไม่เห็นด้วยอย่างแรง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ชีวิตการเรียนของน้องเรามาจบลงหลังจากที่เราต้องย้ายออกจากบ้านไปอยู่หอมหาวิทยาลัยอีกจังหวัด เลยทำให้เราไม่สามารถตามงานน้องได้อีก ซึ่งสรุปคือ น้องเรียนไม่จบม.3 ออกมาอยู่บ้านเฉยๆ คูลๆ เป็นเด็กแว๊นซ์ เท่ห์ๆ T-T
ช่วงที่เรากำลังจะจบม.6 ปู่ก็บอกเราว่าไม่ต้องเรียนต่อหรอก ออกมาทำโรงงาน ทำไร่ทำนาแบบคนอื่นเขาก็พอ เปลืองเงินเปลืองทอง แต่เราดึงดันที่จะเรียน เรามีเงินเก็บจากการรับจ้างเก็บพริก ทำโรงงาน ทำร้านกาแฟ เลยคิดว่าคงผ่านเทอมแรกได้ไม่ยาก จนสุดท้ายได้เรียนสมใจ (แต่เป็นวมหาวิยาลัยที่อยู่นอกเมือง) ตอนเรียนก็อยู่หอมหาวิทยาลัย พ่อก็ให้กู้กยศ.ด้วยเหตุผลที่ว่าพ่อส่งไม่ไหว ส่วนเงินที่ย่าส่งให้ก็ไม่แน่นอน เกิดวันไหนย่าเจ็บป่วยขึ้นมาพ่อกลัวการเรียนของเราจะชะงัก ซึ่งมันก็ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่มันก็มี เมื่อพ่อไม่ให้บอกย่าว่าเรากู้กยศ.ผ่าน พอทุกๆเปิดเทอม พ่อก็จะให้เราขอค่าเทอมย่าเป็นจำนวนเงิน 25k-32k ต่อเทอมรวมทั้งขอค่ากินรายเดือนบ้างเป็นระยะๆ พ่อให้เหตุผลว่า กลัวย่าจะเครียดที่ต้องกู้เงินเรียน และเงินค่าเทอมจากย่า พ่อก็จะได้เอาไปลงทุนทำไร่ทำสวน มีเงินมาหมุนในบ้านอีกทาง เราก็ด้วยความไม่รู้ ก็เลยตามเลย จนเรามีหนี้กยศ.กว่า 300kที่ผ่อนจ่ายรายปีด้วยตัวเองมาทุกๆปี **สาเหตุที่เราไม่ทำงานพาร์ตไทม์คือ มหาวิทยาลัยเราอยู่ไกลจากตัวเมือง ถ้าจะเข้าเมืองต้องเหมารถไป ซึ่งคำนวณค่าใช่จ่ายดูแล้วมันไม่คุ้มกับรายได้
พอเราเรียนจบป.ตรี เราก็มาทำงานในกรุงเทพฯ เงินเดือนหมื่นต้นๆ ได้เงินมาก็หมดไปกับค่าหอ ค่าน้ำไฟ (ตามสเต็ปผู้สาวตจว.) เราก็มีส่งเงินให้ที่บ้านบ้าง ไม่ได้มากมายและไม่ได้ส่งเป็นประจำ แต่เรามีเงินเก็บส่วนตัวพอสมควรเราไม่เคยขอเงินใครอีกเลย เมื่อพ่อและย่าก็ไม่ต้องส่งเสียเราแล้ว เราก็เข้าใจว่าทุกอย่างน่าจะดีขึ้น แต่ก็ไม่เลย.. ปล.แต่ก็มีเรื่องดีคือ เราพบรักกับแฟนเราจากวันนั้น จนวันนี้ 555+
ปี2555 พ่อโทรมาหาเรา(ซึ่งเป็นเรื่องแปลก เพราะพ่อจะไม่โทรหาเราถ้าไม่มีเรื่องเดือดร้อน) พ่อขอเงินเรา30k เพื่อเอาไปเดินเรื่องเกี่ยวกับคดีความยาเสพติดของน้องเรา ในความจริงตอนนั้นเรามีเงินจำนวนนั้น แต่เราเลือกที่จะไม่ให้ โดยเราบอกว่าไม่มี และถ้ามี เราก็ไม่ให้ เพราะมันเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลสำหรับเรา การที่เราจะเก็บเงินได้แต่ละบาทเราไม่ได้เก็บหอมรอมริบมาเพื่อสิ่งนี้ น้องน่ารู้อยู่แล้วว่าอะไรดีหรือไม่ดี แต่เลือกแบบนี้เอง
ก็ขอให้แก้ปัญหาเอง พ่อก็โกรธเรา หาว่าเราไม่เข้าใจ คือว่าเราเยอะมาก เราก็เสียใจนะ คนหนึ่งที่ดั้นด้นอยากจะเรียน อยากจะหาเงิน แต่อีกคนไม่ต้องทำอะไร นอนอยู่บ้าน เที่ยวเตร่ สร้างปัญหา กลับเป็นที่น่าช่วยเหลือในมุมมองคนเป็นพ่อแม่ เราอาจจะยังไม่เข้าใจ แต่ที่เราพูดออกมา มันมาจากพื้นฐานจิตใจของลูกอีกคนหนี่งที่เป็นลูกของพ่อ ลูกของแม่ เหมือนกัน แต่ความรับผิดชอบไม่เหมือนกัน
จนปัญหานี้จบ(โดยไร้ความช่วยเหลือจากเรา) ก็มีคราวต่อๆมาอีก แต่เราก็ยังยืนยันเหมือนเดิม จนหลังๆมา พ่อก็ไม่พูดกับเราเรื่องนี้อีก มีแต่โทรมาขอเงินเรื่องทำสวนหลักหมื่น เราบอกไม่มี เขาก็ให้เราขอยืมคนอื่นมา นัดวันเสร็จสรรพเราก็เอาเงินตัวเองให้ไปแต่ก็บอกว่าของคนอื่น พอถึงเวลาก็ไม่คืน เสียคำพูดมาตลอด
จนเราเปลี่ยนงาน มีรายได้ที่ดีขึ้น เราเป็นคนค่อนข้างประหยัด ไม่ติดแบรนด์ เราแบ่งเงินเป็น3ส่วน มีเป้าหมายเงินเก็บในรูปแบบต่างๆชัดเจนซึ่งบรรลุเป้าหมายทุกปี ส่วนที่สองคือส่งที่บ้าน ส่วนที่เหลือถึงจะเป็นค่ากิน
ปี2556 ย่าเริ่มป่วย พ่อเล่าว่าตื่นมาแล้วจำใครไม่ได้เลย พูดจาวกวน จนสุดท้ายย่าก็กลับมาอยู่บ้าน //ถึงตอนนี้ รายได้หลักมาจากการทำไร่ทำสวนของพ่อ+กับเงินเราที่ส่งไป
ช่วงที่ย่าขายของ เงินที่ได้มาย่าจะแบ่งเป็นส่วนดังนี้
1.เก็บเข้าบัญชีร่วมกับปู่
2.ทำบุญตามศรัทธา (ย่าเชื่อเรื่องทรงเจ้า โรคกรรมเก่า ถ้ารักษาหายจะถูกล็อตตารี่หลายสิบล้าน)
ย่าเคยไปหาทรงเจ้า กินยาหม้อ ค่าสมุมไพรหม้อละ15k ค่าครูแยกต่างหาก พ่อและปู่เตือน แต่ไม่ฟัง จนตอนหลังปู่พูดจาลบหลู่จนย่าไม่พูดกับปู่ตั้งแต่ปี 254X
**ซึ่งตอนที่ย่ากลับมาอยู่บ้าน ปู่กับพ่อพบว่าเงินในบัญชี6หลักได้หมดไปแล้ว**
ปี 2557 เราส่งเงินให้ที่บ้านเป็นรายเดือนทุกเดือนมาตั้งแต่ต้นปีนั้นจนปัจจุบัน ซึ่งเงินจะมี2ส่วน คือรายเดือนสำหรับค่ากับข้าว กับเงินที่พ่อจะขอพิเศษ
ซึ่งไม่ได้ขอทุกเดือนแต่มาทีก็จุกตลอด โดยที่เราไม่บอกรายได้และทรัพย์สินอื่นของเราให้คนในบ้านรู้เลย เราบอกตามตรงว่าเรากลัว น้องเราตอนนั้น ก็วนเวียนคุกตะราง ส่วนพ่อก็ยังช่วยเหลือน้องเรื่องคดีความครั้งแล้วครั้งเล่า พร้อมกับเรื่องการพนันของตัวเองเรื่องในสวนก็ทำๆเลิกๆ เคยเฟื่องฟูตอนสมัยจำนำข้าว+ราคาผลไม้ที่ปลูกราคาดี พ่อไม่เคยบอกเรา บอกแค่ว่าพออยู่ได้ แต่ตอนหลังปู่ถึงมาบอกว่าได้เงินมาเป็นแสนๆตลอด
ต้นปี2559 เรากับแฟนตัดสินใจซื้อบ้านร่วมกัน ค่าใช่จ่ายทุกอย่างคนละเท่ากัน (ส่วนของเรามาจากเงินเรา100%) เราบอกพ่อหลังจากเราตัดสินใจแล้ว พ่อเราก็บอกแต่ว่าพ่อไม่มีเงินนะ คงช่วยอะไรไม่ได้เราก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร เราเข้าใจ
กลางปี2559 เรารู้มาว่าพ่อเอาโฉนดที่ดินชื่อปู่ไปกู้ธนาคาร เราก็เปิดใจคุยกับพ่อว่าเป็นหนี้ใน/นอกระบบ เท่าไหร่ มาช่วยหาทางแก้ไขกัน พ่อก็ว่าเราว่า ไม่ต้องมายุ่ง พ่อจัดการได้ ดูแลตัวเองให้ดีไปเถอะ และอื่นๆอีกมากมาย
สรุปคือ พ่อไม่บอกเราแถมยังโวยวายบ้านแตกใส่เรา พ่วงมาด้วยเรื่องที่เราไม่ช่วยเหลือน้องเราเรื่องคดีความอีกต่ากหาก
จากนั้น เราเลยถามปู่ๆก็ไม่รู้ ปู่เลยให้เราพาไปธนาคารในช่วงวันหยุดก่อนปีใหม่ของเรา สิ่งที่ได้รับรู้คือ พ่อเป็นหนี้เกือบ5แสน (ไม่รวมดอกเบี้ย) ปู่เราทรุดลงมานั่งเลย พอดึงสติกลับมาได้ปู่ก็โวยวายว่าจะกู้ขนาดนี้ได้ยังไง ในเมื่อที่ดินยังเป็นชื่อของปู่อยู่ ใจความที่พนักงานชี้แจงคือ ปู่ได้เซ็นต์โอนสภาพสมาชิกให้กับพ่อ โดยใช้โฉนดของปู่ในการค้ำประกัน จึงทำให้ปู่ไม่ต้องมาธนาคารเพื่อมาเซ็นต์กู้เพิ่มอีก เราสงสารปู่จับใจเลยเรายังนึกโทษตัวเองเลยว่าถ้าเราไม่พาปู่ไปวันนั้น ปู่คงไม่ต้องมาเจออะไรแบบนี้ //ที่บ้านมีที่ดิน3แปลงในชื่อปู่ทั้งหมดคือ 1.แปลงบ้านปัจจุบัน 2.แปลงสวนเนื้อที่95%ของทั้งหมด 3.แปลงสวนเนื้อที่5%ของทั้งหมด ซึ่งโฉนดที่ติดธนาคารอยู่คือแปลงที่2
กลางปี2560 น้องเราไลน์มาบอกว่า ที่บ้านจะขายที่ดินที่สวน เราเลยกลับบ้านไปคุย มีเรา พ่อ ปู่ ย่า ณ เวลานั้นคือเตือนอะไรย่าไม่ฟังแล้ว เชื่อคนนอกบ้าน บูชาครูหมอ ลับหลังพ่อก็ว่าพ่อว่าปู่ เราก็เลยพาทุกคนมาคุยกัน
ว่าจะเอายังไง เพราะเวลาเรากลับบ้าน พ่อกับย่าจะหมุนเวียนกันเข้ามาเล่าเรื่องคนอื่นในมุมมองของตัวเอง โดยเหตุหารณ์เดียวกันแต่เนื้อหาจะไม่ซ้ำกัน เราจึงต้องเรียกทุกคนมาประชันหน้ากัน เพื่อดูว่าใครพูดจริง คือปกติเราจะฟังปู่มากที่สุด เพราะพ่อเองก็ผิดคำพูดกับเรา โกหกเรา ส่วนย่าก็ฟังคนนอกบ้าน ให้ร้ายคนในบ้าน แต่ปู่จะไม่เคยเลย ปู่จะเหมือนอยู่คนเดียว เพราะน้องเรามันก็เที่ยวเตร่เฮฮา ส่วนย่าก็ไม่พูดกัน ส่วนตัวพ่อนั้นก็ไป
นอนที่สวนหรือไปนอนที่บ้านแฟนใหม่จะแวะกลับมาบ้านแค่พักๆ ปู่จะพูดกับเราตลอดว่าตั้งแต่ย่ากลับมา ก็แยกหม้อกันกิน กับข้าว ย่าก็ทำแยกสำรับ เงินที่พ่อให้ย่าซื้อกับข้าวรายอาทิตย์นั้นไม่ค่อยจะมีกับข้าวตกถึงปู่ เรากลับบ้านไป(แบบไม่บอกใคร) เราจะเห็นสำรับปู่มีแต่น้ำพริกเก่าๆกับปลาเค็มเก่าๆ เราคิดว่านี่หรือคือการที่เราส่งเงินรายเดือนให้คนทั้งบ้านแต่นี่คือสิ่งที่ปู่ได้รับ??
เราสาธยายคำถามต่างๆหลังจากขายที่ดิน เช่น ขายได้หลังใช้หนี้เหลือเงินเท่าไหร่ จะใช้วันละเท่าไหร่ จะใช้ได้อีกกี่ปี ถ้าเงินหมดแล้วยังไงต่อ ที่ดินเหลือแค่5% ในเวลานั้นพ่อคงไม่มีแรงทำไร่ทำสวนแล้วใช่ไหม แล้วจะยังไงต่อ จะขาย5%ที่เหลือ? ขายบ้านด้วย? ซึ่งไม่มีใครตอบเราได้
สรุปได้ว่า จะไม่ขายที่ดิน และ พ่อจะทำสวนเพื่อผ่อนหนี้ต่อไป ส่วนเรื่องเงินที่ส่งมาให้ ให้พ่อเป็นคนไปซื้อกับข้าวแทนย่า เพราะย่าเวลาได้เงินไปจะซื้อกับข้าวแค่200-300 ที่เหลือจะเอาไปทรงเจ้า บูชาหมอครู...
ปลายปี2560 ปัญหาไปอยู่ที่ว่า เวลาพ่อหรือปู่เป็นคนไปซื้อกับข้าว ย่าจะไม่ทำกับข้าวนั้นเลย จะปล่อยเน่าคาตู้เย็น เราก็มาคุยกับพ่อว่าเราดุย่าไปแล้วเรื่องกับข้าว ให้พ่อซื้อเหมือนเดิม ถ้าไม่ได้เรื่อง เราจะไปติดต่อรถแกงถุงที่ผ่านหน้าบ้านทุกเช้ามาแขวนแกงไว้แล้วเราจะโอนเงินตรงไปที่แม่ค้าเลย
พ่อก็บอก ไม่ซีเรียสที่ย่าเอาเงินที่ให้ไปทำอย่างอื่นบ้าง... ณ จุดนี้ เราก็งงว่าตกลงปัญหาของพ่อคืออะไร (ปัญหาของเราคือ ย่าซื้อกับข้าวมา ทำกินคนเดียว แยกสำรับกับปู่ ซึ่งปู่ก็จะไม่มีอะไรกิน เลยเลยอยากตัดปัญหาให้พ่อเป็นคนจัดการ)
และที่สำคัญที่สุดคือ ปู่เพิ่งพูดกับเราว่าคงต้องขายที่ดินแปลงที่2 เพราะคิดแล้วว่าพ่อเราคงไม่สามารถปลดหนี้ได้ และถ้าปล่อยธนาคารยึดก็จะไม่เหลืออะไรเลย แต่ถ้าชิงขายก่อน เอาเงินไปใช้หนี้แบงค์ ส่วนที่เหลือคือ เข้ากระเป๋า เราเลยบอกว่าถ้าทุกคน(ยกเว้นเรา)คนเห็นตรงกันก็ตามสบายเลย เพราะยังไงก็สมบัติของปู่ที่หามาได้และจะตกเป็นของพ่อ จะใช้สมบัติกันยังไงก็สิทธิ์ของทั้งสองคนเลย แต่เราก็ขอใช้สิทธิ์การใช้สมบัติของตัวเองที่หาได้
เหมือนกัน อย่ามาพูดว่าต้องแบบนั้นต้องแบบนี้นะ เพราะต่อไป เงินคือเงินของเรา ทรัพย์สินที่เราหามา คือของเรา แต่ก็ไม่ได้จะทิ้งขว้างไม่ดูแล ยังคงให้เงินได้ แต่จะให้มาหวังเดือนละหมื่นละแสน คงไม่ใช่