http://www.share2trade.com/index.php?route=content/content&path=9&content_id=1673
...พลันที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ประกาศความชัดเจนวันเลือกตั้งในเดือนมิถุนายน และคาดว่าจะจัดเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน 2561 ดัชนีตลาดหุ้นไทยก็ทยานขึ้นรับข่าวทันที
ดัชนีสามารถยืนอยู่เหนือระดับ 1,700 จุด ได้สำเร็จ...จากที่พยายามขึ้นทดสอบ 1,700 จุด ถึง 2 ครั้ง แต่ไม่สำเร็จ
แน่นอนว่า...นักลงทุนต้องการความชัดเจน
แล้วต่อไปทิศทางตลาดหุ้นไทยจะไปทางไหน....จะปรับฐาน หรือจะไปต่อ
บทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส จำกัด (มหาชน) รายงานว่า จนถึงสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยราว 11% นับจากปลายปี ทำให้ตลาดหุ้นไทยไม่ Laggards อีกต่อไป
และหากพิจารณา P/E พบว่าขึ้นมากที่ ราว 16.84 เท่า ปี 2560 และ 15.52 เท่าปี 2561 (อิง กำไรสุทธิต่อหุ้นหรือ EPS Growth 9% ปี 2561 และ 7% ปี 2560) ซึ่งใกล้เคียงกับตลาดหุ้นโลก (ทั้งประเทศพัฒนาแล้ว และกำลังพัฒนา)
ยกเว้นตลาดเพื่อนบ้านบางแห่งที่มี P/E สูง เช่น อินเดีย และ ฟิลิปปินส์ 20.5 เท่า และ 20.4 เท่า ปี 2560 และ 16.4 เท่า และ 18.25 เท่า ในปี 2561 ตามลำดับ (ภายใต้สมมติฐาน กำไรสุทธิต่อหุ้น หรือ EPS Growth อินเดียจะเติบโตสูงสุด 24% ในปี 2561 จาก 4.7% ในปีนี้ ตลาดฟิลิปปินส์ เติบโต 12% ปี 2561 จาก 6.5% ในปี 2560 และอินโดนีเซีย (P/E เท่าในปี 2560 และ เท่าในปี 2561) เติบโต 13% ปี 2561 จาก 11.2% ปี 2560
บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่าความชัดเจนต่อช่วงเวลาจัดการเลือกตั้งของไทย น่าจะหนุนเงินบาทและฟันด์โฟลว์แรงกว่าที่เราเคยประเมิน ทำให้ปรับเป้าเชิงกลยุทธ์ของดัชนีฯ สิ้นปีนี้ เป็น 1,755 จุด จากเดิม 1,710 จุด เนื่องจากเรามองว่า “election rally” จะหนุนให้ดัชนีฯ ขึ้นไปเล่นที่ค่าพีอีสูงกว่าเดิมอีก 0.25 SD เป็น 16.4 เท่าจากเป้าพีอีเดิมที่ 15.9 เท่า และหุ้นนำดัชนีฯ น่าจะเป็นหุ้นเชื่อมโยงความมั่นใจในประเทศ และเศรษฐกิจที่น่าจะเร่งตัวต่อเนื่อง
ทั้งนี้ จากสถิติที่เรารวบรวมในการเลือกตั้งของไทยครั้งที่ผ่านมาๆ พบว่ากลุ่มค้าปลีก กลุ่มธนาคาร กลุ่มก่อสร้าง และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เป็นหุ้น 4 กลุ่มที่ปรับขึ้นโดดเด่นในช่วง ‘election rally’
ปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ซี แอล เอส เอ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CLSA ประเมินว่า ดัชนีมีตลาดหุ้นไทยโอกาสขึ้นไปอยู่ที่ 2,000 จุดได้ในปี 2561 จากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) และพื้นฐานทางด้านเศรษฐกิจที่จะมีการเติบโต จากการผลักดันโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเป็นโครงการที่นักลงทุนต่างประเทศให้ความสนใจมาก
และจะทำให้เม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่เช่น อาลีบาบา แอร์บัส(Airbus) ซึ่งจะทำให้เกิดการจ้างงานมากขึ้นส่งผลให้กำลังซื้อและการบริโภคเติบโตตามมาเชื่อว่าการเฉลิมฉลองและการจับจ่ายที่อั้นมาจากปีก่อนน่าจะเริ่มกลับมาคึกคักในช่วงต้นปี 2561
สัปดาห์นี้...Smart Invest ถือโอกาสนำเสนอข้อมูลกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) ที่ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี สูงสุด มาให้ติดตาม เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนกองทุนประหยัดภาษี สำหรับ “มนุษย์เงินเดือน”
อย่าลืม!!!! ต้องลงทุน 7 ปี ปฏิทิน หรือ 5 ปี บวก 2 ครับ อาจจะยาวขึ้นหน่อย แต่ก็มีแต้มต่อ “หักลดหย่อนภาษี” นะครับ!!!
กองทุน ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี (%)
กองทุนเปิดกรุงศรีหุ้นระยะยาวแอ็คทีฟ SET50 ปันผล 43.30
กองทุนเปิดกรุงศรีหุ้นระยะยาวอิควิตี้ 36.82
กองทุนเปิด ทิสโก้ Mid/Small Cap หุ้นระยะยาว 33.76
กองทุนเปิด ทิสโก้ Mid/Small Cap หุ้นระยะยาว 33.05
กองทุนเปิดซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล ไลฟ์ หุ้นระยะยาว 31.85
กองทุนเปิดภัทร หุ้นระยะยาวปันผล 29.96
กองทุนเปิดวรรณเอเอ็มซีเล็คทีฟหุ้นระยะยาว 26.87
กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวทาร์เก็ต 26.79
กองทุนเปิด แอล เอช สมาร์ท หุ้นระยะยาว 26.57
กองทุนเปิดวรรณเอเอ็มซีเล็คทีฟโกรทหุ้นระยะยาว 26.53
ที่มา : มอร์นิ่งสตาร์
ลองมาดูซิว่า...“กองทุนเปิดกรุงศรีหุ้นระยะยาวแอ็คทีฟ SET50 ปันผล”ซึ่งให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีสูงถึง 43.30% เค้ามีนโยบายลงทุนอย่างไร???
นโยบายลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหุ้นสามัญของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนโดยเน้นการกระจายการลงทุนในกลุ่มตราสารแห่งทุนของบริษัทจดทะเบียน ที่เป็นส่วนประกอบในการคำนวณดัชนี SET 50
กลยุทธ์บริหารกองทุนเชิงรุก (Active Management Strategy) เพื่อสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่ม และจะไม่ลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) และตราสารหนี้ที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปร (Structured Note)
หลักทรัพย์ 5 อันดับแรกที่ลงทุน
บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน)
บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน)
ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
บริษัท ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 1979 จำกัด (มหาชน)
อุตสาหกรรมที่ลงทุน
ธุรกิจการเงิน
สื่อสาร
พลังงาน
สัปดาห์หน้า...มาติดตาม กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) กองไหนน่าสนใจ ให้ผลตอบแทนมากน้อยแค่ไหน แล้วพบกันครับ
ปริญญ์ พานิชภักดิ์ ประเมินว่า ดัชนีมีตลาดหุ้นไทยโอกาสขึ้นไปอยู่ที่ 2,000 จุดได้ในปี 2561
...พลันที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ประกาศความชัดเจนวันเลือกตั้งในเดือนมิถุนายน และคาดว่าจะจัดเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน 2561 ดัชนีตลาดหุ้นไทยก็ทยานขึ้นรับข่าวทันที
ดัชนีสามารถยืนอยู่เหนือระดับ 1,700 จุด ได้สำเร็จ...จากที่พยายามขึ้นทดสอบ 1,700 จุด ถึง 2 ครั้ง แต่ไม่สำเร็จ
แน่นอนว่า...นักลงทุนต้องการความชัดเจน
แล้วต่อไปทิศทางตลาดหุ้นไทยจะไปทางไหน....จะปรับฐาน หรือจะไปต่อ
บทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส จำกัด (มหาชน) รายงานว่า จนถึงสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยราว 11% นับจากปลายปี ทำให้ตลาดหุ้นไทยไม่ Laggards อีกต่อไป
และหากพิจารณา P/E พบว่าขึ้นมากที่ ราว 16.84 เท่า ปี 2560 และ 15.52 เท่าปี 2561 (อิง กำไรสุทธิต่อหุ้นหรือ EPS Growth 9% ปี 2561 และ 7% ปี 2560) ซึ่งใกล้เคียงกับตลาดหุ้นโลก (ทั้งประเทศพัฒนาแล้ว และกำลังพัฒนา)
ยกเว้นตลาดเพื่อนบ้านบางแห่งที่มี P/E สูง เช่น อินเดีย และ ฟิลิปปินส์ 20.5 เท่า และ 20.4 เท่า ปี 2560 และ 16.4 เท่า และ 18.25 เท่า ในปี 2561 ตามลำดับ (ภายใต้สมมติฐาน กำไรสุทธิต่อหุ้น หรือ EPS Growth อินเดียจะเติบโตสูงสุด 24% ในปี 2561 จาก 4.7% ในปีนี้ ตลาดฟิลิปปินส์ เติบโต 12% ปี 2561 จาก 6.5% ในปี 2560 และอินโดนีเซีย (P/E เท่าในปี 2560 และ เท่าในปี 2561) เติบโต 13% ปี 2561 จาก 11.2% ปี 2560
บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่าความชัดเจนต่อช่วงเวลาจัดการเลือกตั้งของไทย น่าจะหนุนเงินบาทและฟันด์โฟลว์แรงกว่าที่เราเคยประเมิน ทำให้ปรับเป้าเชิงกลยุทธ์ของดัชนีฯ สิ้นปีนี้ เป็น 1,755 จุด จากเดิม 1,710 จุด เนื่องจากเรามองว่า “election rally” จะหนุนให้ดัชนีฯ ขึ้นไปเล่นที่ค่าพีอีสูงกว่าเดิมอีก 0.25 SD เป็น 16.4 เท่าจากเป้าพีอีเดิมที่ 15.9 เท่า และหุ้นนำดัชนีฯ น่าจะเป็นหุ้นเชื่อมโยงความมั่นใจในประเทศ และเศรษฐกิจที่น่าจะเร่งตัวต่อเนื่อง
ทั้งนี้ จากสถิติที่เรารวบรวมในการเลือกตั้งของไทยครั้งที่ผ่านมาๆ พบว่ากลุ่มค้าปลีก กลุ่มธนาคาร กลุ่มก่อสร้าง และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เป็นหุ้น 4 กลุ่มที่ปรับขึ้นโดดเด่นในช่วง ‘election rally’
ปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ซี แอล เอส เอ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CLSA ประเมินว่า ดัชนีมีตลาดหุ้นไทยโอกาสขึ้นไปอยู่ที่ 2,000 จุดได้ในปี 2561 จากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) และพื้นฐานทางด้านเศรษฐกิจที่จะมีการเติบโต จากการผลักดันโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเป็นโครงการที่นักลงทุนต่างประเทศให้ความสนใจมาก
และจะทำให้เม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่เช่น อาลีบาบา แอร์บัส(Airbus) ซึ่งจะทำให้เกิดการจ้างงานมากขึ้นส่งผลให้กำลังซื้อและการบริโภคเติบโตตามมาเชื่อว่าการเฉลิมฉลองและการจับจ่ายที่อั้นมาจากปีก่อนน่าจะเริ่มกลับมาคึกคักในช่วงต้นปี 2561
สัปดาห์นี้...Smart Invest ถือโอกาสนำเสนอข้อมูลกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) ที่ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี สูงสุด มาให้ติดตาม เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนกองทุนประหยัดภาษี สำหรับ “มนุษย์เงินเดือน”
อย่าลืม!!!! ต้องลงทุน 7 ปี ปฏิทิน หรือ 5 ปี บวก 2 ครับ อาจจะยาวขึ้นหน่อย แต่ก็มีแต้มต่อ “หักลดหย่อนภาษี” นะครับ!!!
กองทุน ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี (%)
กองทุนเปิดกรุงศรีหุ้นระยะยาวแอ็คทีฟ SET50 ปันผล 43.30
กองทุนเปิดกรุงศรีหุ้นระยะยาวอิควิตี้ 36.82
กองทุนเปิด ทิสโก้ Mid/Small Cap หุ้นระยะยาว 33.76
กองทุนเปิด ทิสโก้ Mid/Small Cap หุ้นระยะยาว 33.05
กองทุนเปิดซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล ไลฟ์ หุ้นระยะยาว 31.85
กองทุนเปิดภัทร หุ้นระยะยาวปันผล 29.96
กองทุนเปิดวรรณเอเอ็มซีเล็คทีฟหุ้นระยะยาว 26.87
กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวทาร์เก็ต 26.79
กองทุนเปิด แอล เอช สมาร์ท หุ้นระยะยาว 26.57
กองทุนเปิดวรรณเอเอ็มซีเล็คทีฟโกรทหุ้นระยะยาว 26.53
ที่มา : มอร์นิ่งสตาร์
ลองมาดูซิว่า...“กองทุนเปิดกรุงศรีหุ้นระยะยาวแอ็คทีฟ SET50 ปันผล”ซึ่งให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีสูงถึง 43.30% เค้ามีนโยบายลงทุนอย่างไร???
นโยบายลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหุ้นสามัญของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนโดยเน้นการกระจายการลงทุนในกลุ่มตราสารแห่งทุนของบริษัทจดทะเบียน ที่เป็นส่วนประกอบในการคำนวณดัชนี SET 50
กลยุทธ์บริหารกองทุนเชิงรุก (Active Management Strategy) เพื่อสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่ม และจะไม่ลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) และตราสารหนี้ที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปร (Structured Note)
หลักทรัพย์ 5 อันดับแรกที่ลงทุน
บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน)
บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน)
ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
บริษัท ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 1979 จำกัด (มหาชน)
อุตสาหกรรมที่ลงทุน
ธุรกิจการเงิน
สื่อสาร
พลังงาน
สัปดาห์หน้า...มาติดตาม กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) กองไหนน่าสนใจ ให้ผลตอบแทนมากน้อยแค่ไหน แล้วพบกันครับ