คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
กลยุทธ์ธงฟ้าประชารัฐยิงปืนนัดเดียวได้นก3ตัว ผู้ผลิตได้ขาย-ประชาชนได้ของ-รัฐบาลจ่ายเงิน หลังจากเปิดตัวโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าครองชีพกับประชาชนผู้มีรายได้น้อยทั่วประเทศ 11.4 ล้านคนไปเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2560


ตามเงื่อนไขโครงการนั้น ประชาชนที่ลงทะเบียนจะได้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (บัตรคนจน) ที่สามารถนำไปรูดซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคได้เดือนละ 200 บาท สำหรับผู้มีรายได้เกินเดือนละ 30,000 บาท กับเดือนละ 300 บาท สำหรับผู้มีรายได้ไม่เกินเดือนละ 30,000 บาท กับได้ส่วนลดซื้อก๊าซหุงต้ม 45 บาทต่อ 3 เดือน, ค่าโดยสารรถเดือนละ 500 บาท, ค่าโดยสารรถไฟเดือนละ 500 บาทด้วย
โดยกระทรวงพาณิชย์จะเป็นผู้รวบรวมรายชื่อร้านค้าปลีกที่สมัครเข้าร่วมโครงการ ส่งไปยังกรมบัญชีกลาง เพื่อติดตั้งเครื่องรูดบัตร (EDC) กับเชื่อมโยงกับธนาคารกรุงไทย โดยใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตจากทรู คอร์ปอเรชั่น ซึ่งจนถึงขณะนี้มีร้านค้าสมัครเข้าร่วมโครงการแล้ว 17,000 แห่ง ซึ่งสามารถติดเครื่อง EDC แล้ว 5,700 แห่ง แต่มีเป้าหมายว่าจะให้ได้ครบ 20,000 แห่ง พร้อมทั้งได้จัดรถให้บริการเคลื่อนที่หรือโมบายยูนิตเข้าไปเสริมในพื้นที่ที่ยังไม่มีร้านค้าติดตั้งเครื่อง EDC ด้วย
ส่วนผู้ผลิตสินค้าหรือซัพพลายเออร์ที่จะเข้าร่วมโครงการต้องสมัครกับกรมการค้าภายในเช่นเดียวกัน
“โชห่วย” ฉวยโอกาส
หากมองผิวเผินโครงการนี้ไม่ต่างจากโครงการในรัฐบาลที่ผ่าน ๆ มา เช่น โครงการเช็คช่วยชาติ ที่รัฐจ่ายงบประมาณให้ความช่วยเหลือประชาชนในการลดภาระค่าครองชีพ โดยจำกัดวงเงินต่อคน เพื่อไม่ให้ไปกระทบต่อกลไกตลาดในการดำเนินธุรกิจปกติ ทั้งในส่วนของผู้ผลิตสินค้า ร้านค้าส่ง กับร้านค้าปลีก
แต่เสียงสะท้อนใน “มุมลบ” ปรากฏมากขึ้น ทั้งจากปัญหาความไม่สมบูรณ์ของโครงการ การติดตั้งเครื่อง EDC ยังไม่ทั่วถึง ร้านค้าปลีกหลายพื้นที่ไม่กล้าสมัครเข้าร่วม เพราะกลัวโดนไล่บี้ภาษีเงินได้ย้อนหลัง กับต้องเสียค่าบริการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต 100 บาทต่อเดือน
เมื่อจำนวนร้านธงฟ้าประชารัฐไม่ทั่วถึง จึงเกิดปัญหาตามมา คือ ร้านธงฟ้าประชารัฐในบางพื้นที่ ฉวยโอกาส “ปรับราคา” สินค้าทางอ้อม เช่น น้ำปลา ขนาด 500 มล. ราคาขวดละ 17 บาท ขายขวดละ 25 บาท น้ำตาลทรายขาว กก.ละ 23.50 บาท ขาย กก.ละ 30 บาท น้ำยาล้างจาน จากขวดละ 10 บาท ขาย 20 บาท กับบางร้านที่ยังไม่ได้รับการติดตั้งเครื่อง EDC มีการยึดบัตรคนจนจากชาวบ้านไว้ก่อน เพื่อแลกกับการซื้อสินค้าด้วย
ซัพพลายเออร์รายเล็กถอดใจ
ขณะที่เสียงสะท้อนจากผู้ผลิตสินค้าซัพพลายเออร์รายย่อย มองว่า ร้านโชห่วยเป็นช่องทางจำหน่ายหลักของซัพพลายเออร์รายย่อย แต่ซัพพลายเออร์รายย่อยกลับไม่ค่อยสมัครเข้าร่วม โครงการ เพราะเกิดปัญหาลักลั่นในระบบ กล่าวคือ ซัพพลายเออร์ต้องส่งสินค้าขายให้กับร้านโชห่วยโดยตรงกับรับเงินค่าสินค้า แต่หากอยากขายให้ร้านค้าที่ให้บริการบัตรคนจน จะต้องสมัครเข้าร่วมโครงการ กับกรมการค้าภายใน ซึ่งผันมาเป็นตัวกลางในระบบ ทำให้เกิดปัญหาว่าสินค้าชนิดเดียวกันต้องขาย 2 ระบบยุ่งยากซับซ้อน จึงมีเพียงซัพพลายเออร์รายบิ๊ก หรือบางคนเรียก “กลุ่มเจ้าสัว” ซึ่งมีเพียงไม่กี่กลุ่มเท่านั้นที่เข้าร่วมโครงการ ส่งผลให้เกิดการตั้งคำถามว่า “ความบิดเบี้ยว” ของการดำเนินโครงการลักษณะนี้ กลายเป็นการเปิดช่องให้กับซัพพลายเออร์รายบิ๊กหาประโยชน์หรือไม่ ?
คนจนอุ้มเจ้าสัว
การแชร์ข้อมูลผ่านโซเชียลว่า “คนอนาถาของแผ่นดิน 14 ล้านคน ช่วยกันอุ้มเจ้าสัวบิ๊ก ๆ ได้อย่างไร ?” โดยคิดคำนวณหากคนจน 14 ล้านคน ซื้อของจากโครงการ 300 บาทต่อคนต่อเดือนจะมีเงินเข้ากระเป๋าเจ้าสัว 4,200 ล้านบาท ถ้ารูดบัตร 12 เดือนเงินเข้ากระเป๋าเจ้าสัว 50,400 ล้านบาท ซึ่งไม่ต่างจากกระบวนการโยกเงินงบประมาณออกกระเป๋ารัฐ เข้าสู่กระเป๋าเอกชนพวกนี้
อีกด้านอาจแย้งว่าซัพพลายเออร์รายบิ๊กไม่จำเป็นต้องขายผ่านช่องทางนี้ก็ได้ เพราะสามารถขายผ่านโมเดิร์นเทรดปกติอยู่แล้ว แต่อย่าลืมว่าการขายผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรดปกติ ซัพพลายเออร์ต้องจ่ายค่าบริการค่าธรรมเนียมในการวางขายสินค้า (ค่าฟี) ให้กับโมเดิร์นเทรด แต่โครงการนี้เปรียบเสมือนสร้างโชห่วยแบบใหม่ขึ้นมาแข่งกับโมเดิร์นเทรด ซึ่งเข้าถึงชุมชน กับไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียม แถมยังได้ภาพลักษณ์ที่ดีจากการขายสินค้าช่วยรัฐอีก
ถือเป็นสุดยอดกลยุทธ์ “ยิงปืนนัดเดียวได้นก 3 ตัว” คือ ผู้ผลิตได้ขาย- ประชาชนได้ของ-รัฐบาลจ่ายเงินงบประมาณ กับเอาคืนค้าปลีกสมัยใหม่ (โมเดิร์นเทรด) ส่วนซัพพลายเออร์ขนาดกลางกับเล็กที่ครึ่งหนึ่งขายในโชห่วย ก็ต้องรับสภาพไปจนกว่าโครงการจะสิ้นสุด
“พาณิชย์” โต้ไม่อุ้มเจ้าสัว
นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร อธิบดีกรมการค้าภายใน ชี้แจงว่า ประชาชนผู้ถือบัตร สามารถเลือกซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นจากร้านธงฟ้าประชารัฐ ได้ทุกชนิดทุกยี่ห้อของผู้ผลิตทุกราย ยังเป็นรายบิ๊กไปถึง OTOP SMEs กับ ผู้ผลิตในชุมชน สหกรณ์วิสาหกิจชุมชนเข้าร่วมแล้ว 24 ราย 40 สินค้า 318 รายการ จำหน่ายราคาถูกกว่าราคาตลาด 10-20% เพื่อเป็นทางเลือกให้ประชาชนในการลดค่าครองชีพ กับไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้แก่รายบิ๊กแต่อย่างใด
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
กลยุทธ์ธงฟ้าประชารัฐยิงปืนนัดเดียวได้นก3ตัว ผู้ผลิตได้ขาย-ประชาชนได้ของ-รัฐบาลจ่ายเงิน หลังจากเปิดตัวโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าครองชีพกับประชาชนผู้มีรายได้น้อยทั่วประเทศ 11.4 ล้านคนไปเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2560


ตามเงื่อนไขโครงการนั้น ประชาชนที่ลงทะเบียนจะได้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (บัตรคนจน) ที่สามารถนำไปรูดซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคได้เดือนละ 200 บาท สำหรับผู้มีรายได้เกินเดือนละ 30,000 บาท กับเดือนละ 300 บาท สำหรับผู้มีรายได้ไม่เกินเดือนละ 30,000 บาท กับได้ส่วนลดซื้อก๊าซหุงต้ม 45 บาทต่อ 3 เดือน, ค่าโดยสารรถเดือนละ 500 บาท, ค่าโดยสารรถไฟเดือนละ 500 บาทด้วย
โดยกระทรวงพาณิชย์จะเป็นผู้รวบรวมรายชื่อร้านค้าปลีกที่สมัครเข้าร่วมโครงการ ส่งไปยังกรมบัญชีกลาง เพื่อติดตั้งเครื่องรูดบัตร (EDC) กับเชื่อมโยงกับธนาคารกรุงไทย โดยใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตจากทรู คอร์ปอเรชั่น ซึ่งจนถึงขณะนี้มีร้านค้าสมัครเข้าร่วมโครงการแล้ว 17,000 แห่ง ซึ่งสามารถติดเครื่อง EDC แล้ว 5,700 แห่ง แต่มีเป้าหมายว่าจะให้ได้ครบ 20,000 แห่ง พร้อมทั้งได้จัดรถให้บริการเคลื่อนที่หรือโมบายยูนิตเข้าไปเสริมในพื้นที่ที่ยังไม่มีร้านค้าติดตั้งเครื่อง EDC ด้วย
ส่วนผู้ผลิตสินค้าหรือซัพพลายเออร์ที่จะเข้าร่วมโครงการต้องสมัครกับกรมการค้าภายในเช่นเดียวกัน
“โชห่วย” ฉวยโอกาส
หากมองผิวเผินโครงการนี้ไม่ต่างจากโครงการในรัฐบาลที่ผ่าน ๆ มา เช่น โครงการเช็คช่วยชาติ ที่รัฐจ่ายงบประมาณให้ความช่วยเหลือประชาชนในการลดภาระค่าครองชีพ โดยจำกัดวงเงินต่อคน เพื่อไม่ให้ไปกระทบต่อกลไกตลาดในการดำเนินธุรกิจปกติ ทั้งในส่วนของผู้ผลิตสินค้า ร้านค้าส่ง กับร้านค้าปลีก
แต่เสียงสะท้อนใน “มุมลบ” ปรากฏมากขึ้น ทั้งจากปัญหาความไม่สมบูรณ์ของโครงการ การติดตั้งเครื่อง EDC ยังไม่ทั่วถึง ร้านค้าปลีกหลายพื้นที่ไม่กล้าสมัครเข้าร่วม เพราะกลัวโดนไล่บี้ภาษีเงินได้ย้อนหลัง กับต้องเสียค่าบริการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต 100 บาทต่อเดือน
เมื่อจำนวนร้านธงฟ้าประชารัฐไม่ทั่วถึง จึงเกิดปัญหาตามมา คือ ร้านธงฟ้าประชารัฐในบางพื้นที่ ฉวยโอกาส “ปรับราคา” สินค้าทางอ้อม เช่น น้ำปลา ขนาด 500 มล. ราคาขวดละ 17 บาท ขายขวดละ 25 บาท น้ำตาลทรายขาว กก.ละ 23.50 บาท ขาย กก.ละ 30 บาท น้ำยาล้างจาน จากขวดละ 10 บาท ขาย 20 บาท กับบางร้านที่ยังไม่ได้รับการติดตั้งเครื่อง EDC มีการยึดบัตรคนจนจากชาวบ้านไว้ก่อน เพื่อแลกกับการซื้อสินค้าด้วย
ซัพพลายเออร์รายเล็กถอดใจ
ขณะที่เสียงสะท้อนจากผู้ผลิตสินค้าซัพพลายเออร์รายย่อย มองว่า ร้านโชห่วยเป็นช่องทางจำหน่ายหลักของซัพพลายเออร์รายย่อย แต่ซัพพลายเออร์รายย่อยกลับไม่ค่อยสมัครเข้าร่วม โครงการ เพราะเกิดปัญหาลักลั่นในระบบ กล่าวคือ ซัพพลายเออร์ต้องส่งสินค้าขายให้กับร้านโชห่วยโดยตรงกับรับเงินค่าสินค้า แต่หากอยากขายให้ร้านค้าที่ให้บริการบัตรคนจน จะต้องสมัครเข้าร่วมโครงการ กับกรมการค้าภายใน ซึ่งผันมาเป็นตัวกลางในระบบ ทำให้เกิดปัญหาว่าสินค้าชนิดเดียวกันต้องขาย 2 ระบบยุ่งยากซับซ้อน จึงมีเพียงซัพพลายเออร์รายบิ๊ก หรือบางคนเรียก “กลุ่มเจ้าสัว” ซึ่งมีเพียงไม่กี่กลุ่มเท่านั้นที่เข้าร่วมโครงการ ส่งผลให้เกิดการตั้งคำถามว่า “ความบิดเบี้ยว” ของการดำเนินโครงการลักษณะนี้ กลายเป็นการเปิดช่องให้กับซัพพลายเออร์รายบิ๊กหาประโยชน์หรือไม่ ?
คนจนอุ้มเจ้าสัว
การแชร์ข้อมูลผ่านโซเชียลว่า “คนอนาถาของแผ่นดิน 14 ล้านคน ช่วยกันอุ้มเจ้าสัวบิ๊ก ๆ ได้อย่างไร ?” โดยคิดคำนวณหากคนจน 14 ล้านคน ซื้อของจากโครงการ 300 บาทต่อคนต่อเดือนจะมีเงินเข้ากระเป๋าเจ้าสัว 4,200 ล้านบาท ถ้ารูดบัตร 12 เดือนเงินเข้ากระเป๋าเจ้าสัว 50,400 ล้านบาท ซึ่งไม่ต่างจากกระบวนการโยกเงินงบประมาณออกกระเป๋ารัฐ เข้าสู่กระเป๋าเอกชนพวกนี้
อีกด้านอาจแย้งว่าซัพพลายเออร์รายบิ๊กไม่จำเป็นต้องขายผ่านช่องทางนี้ก็ได้ เพราะสามารถขายผ่านโมเดิร์นเทรดปกติอยู่แล้ว แต่อย่าลืมว่าการขายผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรดปกติ ซัพพลายเออร์ต้องจ่ายค่าบริการค่าธรรมเนียมในการวางขายสินค้า (ค่าฟี) ให้กับโมเดิร์นเทรด แต่โครงการนี้เปรียบเสมือนสร้างโชห่วยแบบใหม่ขึ้นมาแข่งกับโมเดิร์นเทรด ซึ่งเข้าถึงชุมชน กับไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียม แถมยังได้ภาพลักษณ์ที่ดีจากการขายสินค้าช่วยรัฐอีก
ถือเป็นสุดยอดกลยุทธ์ “ยิงปืนนัดเดียวได้นก 3 ตัว” คือ ผู้ผลิตได้ขาย- ประชาชนได้ของ-รัฐบาลจ่ายเงินงบประมาณ กับเอาคืนค้าปลีกสมัยใหม่ (โมเดิร์นเทรด) ส่วนซัพพลายเออร์ขนาดกลางกับเล็กที่ครึ่งหนึ่งขายในโชห่วย ก็ต้องรับสภาพไปจนกว่าโครงการจะสิ้นสุด
“พาณิชย์” โต้ไม่อุ้มเจ้าสัว
นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร อธิบดีกรมการค้าภายใน ชี้แจงว่า ประชาชนผู้ถือบัตร สามารถเลือกซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นจากร้านธงฟ้าประชารัฐ ได้ทุกชนิดทุกยี่ห้อของผู้ผลิตทุกราย ยังเป็นรายบิ๊กไปถึง OTOP SMEs กับ ผู้ผลิตในชุมชน สหกรณ์วิสาหกิจชุมชนเข้าร่วมแล้ว 24 ราย 40 สินค้า 318 รายการ จำหน่ายราคาถูกกว่าราคาตลาด 10-20% เพื่อเป็นทางเลือกให้ประชาชนในการลดค่าครองชีพ กับไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้แก่รายบิ๊กแต่อย่างใด
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แสดงความคิดเห็น
(^_^) บัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้ประชาชนไปซื้อที่ร้านค้ามีสินค้าโอทอปหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ไหม หรือมีแต่สินค้าของเจ้าสัว
"ศรีสุวรรณ"จี้รัฐบาลทบทวน"บัตรคนจน"อ้างเอื้อประโยชน์เจ้าสัว
นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลมีโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไปรูดซื้อสินค้าตามร้านที่กำหนด ซึ่งรัฐบาลต้องใช้งบประมาณนทั้งสิ้น 41,940 ล้านบาทต่อปี ถือว่า ไม่ต่างอะไรกับนโยบายประชานิยมของรัฐบาลในอดีต ซึ่งไม่ได้ช่วยเพิ่มตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ(จีดีพี) แต่เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มธุรกิจเจ้าสัว นายทุนใหญ่เจ้าของสินค้าอุปโภค-บริโภคขนาดใหญ่ ที่ส่งผ่านสินค้าไปยังตัวแทนผู้จำหน่ายในรูปแบบร้านธงฟ้าประชารัฐ
ขณะที่สินค้าจากชาวบ้าน สินค้าจากธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) จากกลุ่มผู้ผลิตในท้องถิ่น ที่ไม่มีไลน์ธุรกิจที่สามารถดีลซื้อขายกับร้านค้าที่กรมการค้าภายใน หรือกรมบัญชีกลาง กำหนดได้ ก็จะไม่สามารถขายสินค้าของตนเองได้
ดังนั้นเงินหลวงที่รัฐบาลอ้างว่าช่วยเหลือคนจนจะไหลเข้าบริษัทใหญ่หรือกลุ่มเจ้าสัว
ที่ยืนอยู่ข้างหลังรัฐบาลเท่านั้น การดำเนินโครงการนี้จึงเท่ากับใช้คนจนเป็นข้ออ้าง เพื่อ
ประโยชน์ต่อธุรกิจนายทุนหรือเจ้าสัวโดยตรง
นายศรีสุวรรณ กล่าวต่อว่า ส่วนร้านธงฟ้าประชารัฐไม่ได้มีสาขาหรือจุดบริการ กระจาย
ทั่วไปทุกตำบลทุกหมู่บ้าน เหมือนร้านโชว์ห่วย ทำให้ชาวบ้านต้องเสียเงินและเสียเวลาในการเดินทางไปจับจ่ายซื้อสินค้า และการกำหนดให้คนจนต้องทำบัตรสวัสดิการ
แห่งรัฐขึ้นมาใหม่ โดยไม่ใช้ร่วมกับบัตรประชาชน เป็นการทำงานที่ไม่คุ้มค่า ไม่ประหยัดการใช้จ่ายของภาครัฐ เพราะรัฐต้องเสียเงินไปกับการจัดซื้อจัดหาบัตรสวัสดิการที่มีราคามากกว่า 35 บาทต่อใบ เพิ่มขึ้นอีกไม่ต่ำกว่า 11 ล้านใบ
ทั้งหมดชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลไม่มีความพร้อมในการดำเนินโครงการ แต่โฆษณาชวน
เชื่อเร่งรีบให้ใช้บัตร แต่เมื่อเกิดเหตุข้อผิดพลาดกลับโยนไปให้ร้านค้าและคน จึงสงสัยว่า
รัฐบาลเร่งรีบผลักดันโครงการดังกล่าวออกมาเพื่อปูฐานเสียง ให้ประชาชนนิยม เพื่อนำไปสู่
การจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ขึ้นมา เพื่อรองรับนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ในการเลือกตั้งมากกว่าการจะแก้ไขปัญหาให้คนจนหรือไม่
จึงขอให้รัฐบาลทบทวนและหยุดเอื้อประโยชน์ธุรกิจให้เจ้าสัวผ่านบัตรคนจนโดยเร็ว หากมีหลักฐานชัดเจนเพียงพอเมื่อใด สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จะไปร้องเรียนกล่าวโทษผู้ใช้อำนาจต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบต่อไป
นายกฯ กำชับเร่งติดตั้งเครื่องรูดบัตรคนจนให้เสร็จโดยเร็ว
ด้านพลโท สรรเสริญ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องปัญหาการใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ทางนายกรัฐมนตรี ได้ติดตามเรื่องนี้มาโดยตลอด โดยเน้นให้เกิดความเป็นธรรมต่อผู้ผลิตและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้มีรายได้น้อย พร้อมทั้งกำชับให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลังเร่งติดตั้งเครื่องรูดบัตรอีดีซีให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และแจ้งรายละเอียดวิธีการใช้งานและเงื่อนไขต่างๆ ให้เจ้าของร้านค้าและผู้ถือบัตรทราบอย่างทั่วถึง เพื่อป้องกันปัญหาความเข้าใจคลาดเคลื่อน
นอกจากนี้ นายกฯ ยังเป็นห่วงเรื่องวิธีปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องทั้งที่ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ซึ่งอาจ
เข้าข่ายการทุจริตประพฤติมิชอบ เช่น ผู้ถือบัตรนำบัตรไปแลกเป็นเงินสดจากร้านธงฟ้าประชารัฐโดยไม่รับสินค้า หรือร้านค้าบางแห่งที่ยังไม่ได้ติดตั้งเครื่องรูดบัตร EDC แต่ให้ผู้ถือบัตรรับสินค้าออกไปก่อนและยึดบัตรไว้เป็นต้น
จึงได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงไปแก้ปัญหาโดยเร็ว หากพบการกระทำผิดในส่วนของร้านค้าอาจถูกถอดออกจากทะเบียนของกระทรวงพาณิชย์และยึดเครื่องรูดบัตรคืน ส่วนผู้ถือบัตรอาจถูกระงับวงเงินในบัตรทันที
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้