ต่อไปนี้คำว่า "สวัสดิการแห่งรัฐ" คงเป็นคำที่ทุกคนรู้จัก และลืมคำว่า "ประชานิยม"ไปเลย
การช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่สมควรได้รับ โดยไม่สร้างปัญหาไว้เบื้องหลัง เรียกว่าเป็นสวัสดิการแห่งรัฐ มิใช่ประชานิยม อย่างที่ผ่านมา เช่นจำนำข้าว ที่เกิดปัญหาตามมามากมาย..
รัฐบาลนี้คิดอะไรรอบคอบและคิดไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน..น่าชื่นชมมากค่ะ ไม่ทำเพื่อคะแนนเสียงหรือสร้างฐานความนิยมหวังผลประโยชน์ตอบแทน
นักการเมืองที่ไม่เห็นด้วยคือพวกนักการเมืองที่เอาแต่หลอกลวงประชาชนไปเป็นครั้งๆเวลาหาเสียงเท่านั้น.. ไม่ได้คิดจริงจังที่จะช่วยประชาชน แต่วาทกรรมหลอกๆที่ผ่าน ทำบ้านเมืองเสียหายไปเท่าไหร่แล้ว..
ทำดีๆต่อไปค่ะ รัฐบาลลุงตู่ มาถูกทางแล้วค่ะ ประชาชนที่เฝ้ามองชื่นชมและให้กำลังใจมากขึ้นๆทุกเวลาที่ออกนโยบายมา





มาอ่านข่าวกันค่ะ..
^_^_____________________^_^
คลังจ่อเสนอ ครม.เคาะมาตรการของขวัญปีใหม่คืนชีพ "ช็อปช่วยชาติ" กระตุ้นเศรษฐกิจอีกครั้ง เผยรอบนี้ระยะเวลายาวขึ้น หวังมีผลขับเคลื่อนถึงปีหน้า "ไก่อู" แจงรัฐบาลมีหน้าที่ดูแลประชาชนทุกกลุ่มตามความจำเป็น ไม่หวังฐานความนิยม ไม่กระทบการคลัง ปัดไม่ใช่ประชานิยม แต่เรียกว่า "สวัสดิการแห่งรัฐ"
นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังได้เตรียมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชนไว้แล้ว โดยจะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบใน 1-2 สัปดาห์หน้า ซึ่งจะมีการเสนอมากกว่า 1 มาตรการ โดยมาตรการหนึ่งนั้น จะเป็นการลดหย่อนภาษีจากการซื้อสินค้าและบริการ เหมือนที่เคยใช้เมื่อปีที่ผ่านมา แต่จะมีการทบทวนระยะเวลาของมาตรการให้นานขึ้น เพื่อให้มีผลในการขับเคลื่อนทั้งเศรษฐกิจปีนี้และปีหน้า
สำหรับมาตรการเว้นภาษีสินค้าฟุ่มเฟือยเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว เป็นเรื่องที่ทำได้ แต่ต้องมีระยะเวลาที่จำกัด ที่ผ่านมาได้มีการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับท่องเที่ยว แต่ยังไม่ลงตัว โดยจะมีการประชุมกันอีกครั้ง
ด้านนายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า มาตรการยกเว้นภาษีนำเข้าและภาษีสรรพสามิตน้ำหอมและเครื่องสำอาง ได้มีการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวฯ และกระทรวงการคลังได้เห็นชอบมาตรการดังกล่าวแล้ว เหลือแต่เลือกช่วงเวลาใช้มาตรการ เบื้องต้นคาดว่าจะเป็นช่วงเดือน ก.พ.-มี.ค.2560 เพื่อให้มีผลกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจปีหน้า ซึ่งรัฐบาลต้องการให้เศรษฐกิจโตได้เต็มศักยภาพ จึงต้องดำเนินการมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งระยะสั้นและยาว
สำหรับมาตรการลดหย่อยภาษีจากการซื้อสินค้าและบริการ ที่จะนำมาใช้ใหม่อีกครั้ง จะทบทวนให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย และก็ระยะเวลาของมาตรการให้นานมากขึ้น หลังจากที่การดำเนินการในปีที่ผ่านมา พบว่าได้ผลดีในการกระตุ้นการใช้จ่ายและเศรษฐกิจ
"มาตรการที่ออกมาส่วนหนึ่งต้องการทำให้เศรษฐกิจไตรมาสสุดท้ายที่ทรงๆ ตัว จะขยายตัวได้ 3.1% ให้เป็น 3.4% เพื่อให้ทั้งปีขยายตัวได้ 3.3% และยังต้องการให้มาตรการที่ออกมามีผลทำให้เศรษฐกิจปีหน้าขยายตัวจากที่ประมาณการไว้เดิม 3.4% เป็น 4-4.5%" นายสมชัยกล่าว
นายสมชัยกล่าวว่า สำหรับเศรษฐกิจปีหน้า กระทรวงการคลังคาดว่าจะมีการลงทุนจำนวนมากจากโครงการของรัฐ ทั้งโครงการรถไฟ รถไฟฟ้า ถนน ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ขณะที่การบริโภคก็ฟื้นตัวจากมาตรการที่รัฐบาลออกมาต่อเนื่อง เหลือแต่การลงทุนภาคเอกชนเท่านั้นที่ยังอ่อนแอ เพราะเอกชนยังไม่ยอมลงทุน แม้ว่ารัฐบาลจะมีมาตรการลงทุนได้ลดหย่อนภาษี 2 เท่า ซึ่งจะสิ้นสุดปีนี้
พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แสดงความคิดเห็นกรณีนักการเมืองบางคนบางกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์มาตรการเพิ่มรายได้ 1,500-3,000 บาทแก่ผู้มีรายได้น้อย ซึ่งผ่านความเห็นชอบของ ครม. ว่าไม่ต่างจากนโยบายประชานิยมในอดีต ว่า รัฐบาลมีหน้าที่สนับสนุนดูแลพี่น้องประชาชนทุกกลุ่ม ทุกเศรษฐฐานะให้สามารถดำรงชีพได้อย่างมีความสุข ลดช่องว่างทางสังคม และมีศักดิ์ศรีตามสมควร ด้วยมาตรการที่แตกต่างกันไปตามความจำเป็น ทั้งระยะสั้นและระยะยาว การให้ความใส่ใจกับประชาชนทุกภาคส่วนเป็นสิ่งดีที่ทุกรัฐบาลต้องปฏิบัติ แต่สิ่งสำคัญจะต้องไม่มีวาระซ่อนเร้น ไม่ทำเพื่อคะแนนเสียงหรือสร้างฐานความนิยม โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับประเทศ กับลูกหลานในภายหน้า แต่จะต้องดำเนินการด้วยความจริงใจ โปร่งใส ชัดเจน รอบคอบ ไม่สร้างผลกระทบต่อระบบการเงินการคลังของชาติ ที่สำคัญผู้นำและผู้บริหารในทุกระดับ จะต้องมีธรรมาภิบาลในการทำงาน เพื่อสร้างบรรทัดฐานที่ดีต่อบ้านเมืองต่อไป
"การช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่สมควรได้รับ โดยไม่สร้างปัญหาไว้เบื้องหลัง น่าจะเรียกว่าเป็นสวัสดิการแห่งรัฐ มิใช่ประชานิยม ในนิยามที่เราเข้าใจหรือคุ้นเคยกัน ว่าคิดทำเพื่อหวังคะแนนเสียงและความนิยมจากประชาชน โดยไม่สนใจผลระยะยาวต่อประเทศชาติ อยากแนะนำให้พี่น้องประชาชนที่เข้าข่ายได้รับการดูแลจากมาตรการนี้ ใช้จ่ายเงินอย่างมีเป้าหมาย เกิดประโยชน์ต่อตนเองและครอบครัว อย่าคิดว่าได้มาโดยง่ายก็จะใช้โดยสะดวก เพราะจะผิดวัตถุประสงค์ที่ต้องการแบ่งเบาภาระ มิใช่การสร้างหนี้เพิ่ม" โฆษกรัฐบาลกล่าว
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ถือเป็นมาตรการที่ตรง ง่าย และโปร่งใส เพราะทุกคนรู้ว่ามีเงินงบประมาณตรงนี้ ชัดเจนว่าแต่ละคนได้เงินเท่าไหร่ ส่วนเรื่องค่าแรงนั้น สืบเนื่องมาจากนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท โดยมีเงื่อนไขว่าจะไม่ขึ้นเป็นเวลาหลายปี ซึ่งที่ผ่านมาเวลาก็ล่วงเลยมาพอสมควร ดังนั้น ผู้ใช้แรงงานควรจะได้ค่าแรงเพิ่มขึ้น และถือว่ามีเหตุมีผล เพราะค่าครองชีพก็เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญหลังจากนี้ต้องพยายามสนับสนุนค่าจ้างที่อิงกับมาตรฐานฝีมือแรงงาน ถ้ารัฐบาลสามารถกำหนดค่าแรงตามทักษะได้ จะทำให้แรงงานเพิ่มพูนทักษะและประเทศจะมีแรงงานที่มีคุณภาพ ทั้งนี้ สมัยเป็นรัฐบาลทำไปประมาณ 11 กลุ่มทักษะ แล้วก็สูงกว่า 300 บาทเยอะเลย
"โครงการต่างๆ ที่รัฐบาลทำอยู่แล้ว ถือเป็นประชานิยมหรือไม่ ขึ้นอยู่ที่การกระทำ ถ้าทำให้เป็นสวัสดิการก็จะต่างจากประชานิยม เช่น การประกันรายได้ กล่าวคือ ชาวนาควรจะมีรายได้ขั้นต่ำ เมื่อราคาข้าวตกต่ำทำให้เขาไม่ได้รายได้ ตรงนี้ก็ชดเชยให้ แบบนี้ไม่ใช่ลักษณะของประชานิยม เพราะไม่ได้มีการแข่งขันว่าจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างมันผิดธรรมชาติ ไม่ยั่งยืน อย่างไรก็ตาม เห็นว่ามาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย เป็นจุดเริ่มต้นของสวัสดิการ ส่วนจะพัฒนาไปเป็นสวัสดิการจริง หรือจะเพี้ยนไปเป็นประชานิยมนั้นยังไปได้ทั้ง 2 ทาง เราจะต้องดูต่อไปว่าหลักเกณฑ์การให้สวัสดิการตรงนี้มีหรือไม่มีหลักเกณฑ์ หรือสุดท้ายจะมาแข่งขันกันอีกว่ารัฐบาลชุดนี้ให้เท่านั้น รัฐบาลโน่นให้เท่านี้ ถ้าเป็นแบบนี้ จะกลายเป็นแข่งขันแบบประชานิยม แต่ถ้ามีหลักเกณฑ์คำนวณว่าใครควรจะได้เท่าไหร่ อย่างนี้ก็จะหนีออกมาจากประชานิยมได้" นายอภิสิทธิ์กล่าว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://www.thaipost.net/?q=%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%9E%E0%B8%8A%E0%B9%87%E0%B8%AD%E0%B8%9B%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B8%B5%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88-%E0%B9%84%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%B9%E0%B9%82%E0%B8%A7%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90
อย่าลืมนะคะ....เรียกสวัสดิการแห่งรัฐ........




((มาลาริน))ทีเด็ดรัฐบาล..แจงรัฐบาลดูแลประชาชนทุกกลุ่ม ไม่หวังฐานความนิยม ไม่กระทบคลัง ไม่ประชานิยม เรียกสวัสดิการแห่งรัฐ
การช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่สมควรได้รับ โดยไม่สร้างปัญหาไว้เบื้องหลัง เรียกว่าเป็นสวัสดิการแห่งรัฐ มิใช่ประชานิยม อย่างที่ผ่านมา เช่นจำนำข้าว ที่เกิดปัญหาตามมามากมาย..
รัฐบาลนี้คิดอะไรรอบคอบและคิดไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน..น่าชื่นชมมากค่ะ ไม่ทำเพื่อคะแนนเสียงหรือสร้างฐานความนิยมหวังผลประโยชน์ตอบแทน
นักการเมืองที่ไม่เห็นด้วยคือพวกนักการเมืองที่เอาแต่หลอกลวงประชาชนไปเป็นครั้งๆเวลาหาเสียงเท่านั้น.. ไม่ได้คิดจริงจังที่จะช่วยประชาชน แต่วาทกรรมหลอกๆที่ผ่าน ทำบ้านเมืองเสียหายไปเท่าไหร่แล้ว..
ทำดีๆต่อไปค่ะ รัฐบาลลุงตู่ มาถูกทางแล้วค่ะ ประชาชนที่เฝ้ามองชื่นชมและให้กำลังใจมากขึ้นๆทุกเวลาที่ออกนโยบายมา
มาอ่านข่าวกันค่ะ..
^_^_____________________^_^
คลังจ่อเสนอ ครม.เคาะมาตรการของขวัญปีใหม่คืนชีพ "ช็อปช่วยชาติ" กระตุ้นเศรษฐกิจอีกครั้ง เผยรอบนี้ระยะเวลายาวขึ้น หวังมีผลขับเคลื่อนถึงปีหน้า "ไก่อู" แจงรัฐบาลมีหน้าที่ดูแลประชาชนทุกกลุ่มตามความจำเป็น ไม่หวังฐานความนิยม ไม่กระทบการคลัง ปัดไม่ใช่ประชานิยม แต่เรียกว่า "สวัสดิการแห่งรัฐ"
นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังได้เตรียมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชนไว้แล้ว โดยจะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบใน 1-2 สัปดาห์หน้า ซึ่งจะมีการเสนอมากกว่า 1 มาตรการ โดยมาตรการหนึ่งนั้น จะเป็นการลดหย่อนภาษีจากการซื้อสินค้าและบริการ เหมือนที่เคยใช้เมื่อปีที่ผ่านมา แต่จะมีการทบทวนระยะเวลาของมาตรการให้นานขึ้น เพื่อให้มีผลในการขับเคลื่อนทั้งเศรษฐกิจปีนี้และปีหน้า
สำหรับมาตรการเว้นภาษีสินค้าฟุ่มเฟือยเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว เป็นเรื่องที่ทำได้ แต่ต้องมีระยะเวลาที่จำกัด ที่ผ่านมาได้มีการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับท่องเที่ยว แต่ยังไม่ลงตัว โดยจะมีการประชุมกันอีกครั้ง
ด้านนายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า มาตรการยกเว้นภาษีนำเข้าและภาษีสรรพสามิตน้ำหอมและเครื่องสำอาง ได้มีการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวฯ และกระทรวงการคลังได้เห็นชอบมาตรการดังกล่าวแล้ว เหลือแต่เลือกช่วงเวลาใช้มาตรการ เบื้องต้นคาดว่าจะเป็นช่วงเดือน ก.พ.-มี.ค.2560 เพื่อให้มีผลกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจปีหน้า ซึ่งรัฐบาลต้องการให้เศรษฐกิจโตได้เต็มศักยภาพ จึงต้องดำเนินการมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งระยะสั้นและยาว
สำหรับมาตรการลดหย่อยภาษีจากการซื้อสินค้าและบริการ ที่จะนำมาใช้ใหม่อีกครั้ง จะทบทวนให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย และก็ระยะเวลาของมาตรการให้นานมากขึ้น หลังจากที่การดำเนินการในปีที่ผ่านมา พบว่าได้ผลดีในการกระตุ้นการใช้จ่ายและเศรษฐกิจ
"มาตรการที่ออกมาส่วนหนึ่งต้องการทำให้เศรษฐกิจไตรมาสสุดท้ายที่ทรงๆ ตัว จะขยายตัวได้ 3.1% ให้เป็น 3.4% เพื่อให้ทั้งปีขยายตัวได้ 3.3% และยังต้องการให้มาตรการที่ออกมามีผลทำให้เศรษฐกิจปีหน้าขยายตัวจากที่ประมาณการไว้เดิม 3.4% เป็น 4-4.5%" นายสมชัยกล่าว
นายสมชัยกล่าวว่า สำหรับเศรษฐกิจปีหน้า กระทรวงการคลังคาดว่าจะมีการลงทุนจำนวนมากจากโครงการของรัฐ ทั้งโครงการรถไฟ รถไฟฟ้า ถนน ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ขณะที่การบริโภคก็ฟื้นตัวจากมาตรการที่รัฐบาลออกมาต่อเนื่อง เหลือแต่การลงทุนภาคเอกชนเท่านั้นที่ยังอ่อนแอ เพราะเอกชนยังไม่ยอมลงทุน แม้ว่ารัฐบาลจะมีมาตรการลงทุนได้ลดหย่อนภาษี 2 เท่า ซึ่งจะสิ้นสุดปีนี้
พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แสดงความคิดเห็นกรณีนักการเมืองบางคนบางกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์มาตรการเพิ่มรายได้ 1,500-3,000 บาทแก่ผู้มีรายได้น้อย ซึ่งผ่านความเห็นชอบของ ครม. ว่าไม่ต่างจากนโยบายประชานิยมในอดีต ว่า รัฐบาลมีหน้าที่สนับสนุนดูแลพี่น้องประชาชนทุกกลุ่ม ทุกเศรษฐฐานะให้สามารถดำรงชีพได้อย่างมีความสุข ลดช่องว่างทางสังคม และมีศักดิ์ศรีตามสมควร ด้วยมาตรการที่แตกต่างกันไปตามความจำเป็น ทั้งระยะสั้นและระยะยาว การให้ความใส่ใจกับประชาชนทุกภาคส่วนเป็นสิ่งดีที่ทุกรัฐบาลต้องปฏิบัติ แต่สิ่งสำคัญจะต้องไม่มีวาระซ่อนเร้น ไม่ทำเพื่อคะแนนเสียงหรือสร้างฐานความนิยม โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับประเทศ กับลูกหลานในภายหน้า แต่จะต้องดำเนินการด้วยความจริงใจ โปร่งใส ชัดเจน รอบคอบ ไม่สร้างผลกระทบต่อระบบการเงินการคลังของชาติ ที่สำคัญผู้นำและผู้บริหารในทุกระดับ จะต้องมีธรรมาภิบาลในการทำงาน เพื่อสร้างบรรทัดฐานที่ดีต่อบ้านเมืองต่อไป
"การช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่สมควรได้รับ โดยไม่สร้างปัญหาไว้เบื้องหลัง น่าจะเรียกว่าเป็นสวัสดิการแห่งรัฐ มิใช่ประชานิยม ในนิยามที่เราเข้าใจหรือคุ้นเคยกัน ว่าคิดทำเพื่อหวังคะแนนเสียงและความนิยมจากประชาชน โดยไม่สนใจผลระยะยาวต่อประเทศชาติ อยากแนะนำให้พี่น้องประชาชนที่เข้าข่ายได้รับการดูแลจากมาตรการนี้ ใช้จ่ายเงินอย่างมีเป้าหมาย เกิดประโยชน์ต่อตนเองและครอบครัว อย่าคิดว่าได้มาโดยง่ายก็จะใช้โดยสะดวก เพราะจะผิดวัตถุประสงค์ที่ต้องการแบ่งเบาภาระ มิใช่การสร้างหนี้เพิ่ม" โฆษกรัฐบาลกล่าว
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ถือเป็นมาตรการที่ตรง ง่าย และโปร่งใส เพราะทุกคนรู้ว่ามีเงินงบประมาณตรงนี้ ชัดเจนว่าแต่ละคนได้เงินเท่าไหร่ ส่วนเรื่องค่าแรงนั้น สืบเนื่องมาจากนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท โดยมีเงื่อนไขว่าจะไม่ขึ้นเป็นเวลาหลายปี ซึ่งที่ผ่านมาเวลาก็ล่วงเลยมาพอสมควร ดังนั้น ผู้ใช้แรงงานควรจะได้ค่าแรงเพิ่มขึ้น และถือว่ามีเหตุมีผล เพราะค่าครองชีพก็เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญหลังจากนี้ต้องพยายามสนับสนุนค่าจ้างที่อิงกับมาตรฐานฝีมือแรงงาน ถ้ารัฐบาลสามารถกำหนดค่าแรงตามทักษะได้ จะทำให้แรงงานเพิ่มพูนทักษะและประเทศจะมีแรงงานที่มีคุณภาพ ทั้งนี้ สมัยเป็นรัฐบาลทำไปประมาณ 11 กลุ่มทักษะ แล้วก็สูงกว่า 300 บาทเยอะเลย
"โครงการต่างๆ ที่รัฐบาลทำอยู่แล้ว ถือเป็นประชานิยมหรือไม่ ขึ้นอยู่ที่การกระทำ ถ้าทำให้เป็นสวัสดิการก็จะต่างจากประชานิยม เช่น การประกันรายได้ กล่าวคือ ชาวนาควรจะมีรายได้ขั้นต่ำ เมื่อราคาข้าวตกต่ำทำให้เขาไม่ได้รายได้ ตรงนี้ก็ชดเชยให้ แบบนี้ไม่ใช่ลักษณะของประชานิยม เพราะไม่ได้มีการแข่งขันว่าจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างมันผิดธรรมชาติ ไม่ยั่งยืน อย่างไรก็ตาม เห็นว่ามาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย เป็นจุดเริ่มต้นของสวัสดิการ ส่วนจะพัฒนาไปเป็นสวัสดิการจริง หรือจะเพี้ยนไปเป็นประชานิยมนั้นยังไปได้ทั้ง 2 ทาง เราจะต้องดูต่อไปว่าหลักเกณฑ์การให้สวัสดิการตรงนี้มีหรือไม่มีหลักเกณฑ์ หรือสุดท้ายจะมาแข่งขันกันอีกว่ารัฐบาลชุดนี้ให้เท่านั้น รัฐบาลโน่นให้เท่านี้ ถ้าเป็นแบบนี้ จะกลายเป็นแข่งขันแบบประชานิยม แต่ถ้ามีหลักเกณฑ์คำนวณว่าใครควรจะได้เท่าไหร่ อย่างนี้ก็จะหนีออกมาจากประชานิยมได้" นายอภิสิทธิ์กล่าว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
อย่าลืมนะคะ....เรียกสวัสดิการแห่งรัฐ........