THE VISIONARY ถอดรหัสกษัตริย์ผู้มองเห็นอนาคต
4,685 คือจำนวนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริของในหลวงตลอดระยะเวลา 70 ปีที่ครองราชย์ คงเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อว่ามีมนุษย์คนไหนที่ทำงานได้มากมายขนาดถึงเพียงนี้ แต่เชื่อเถอะว่ามนุษย์แบบนั้นมีอยู่จริง และตัวเลขนี้ก็ไม่ได้เกินจริงแต่อย่างใด
สรุปเรื่องที่พระองค์ทรงใช้ Key of Success ต่างๆเป็นแนวทางผ่านการเล่าเรื่อง ซึ่งเป็นเรื่องของการทรงงานส่วนพระองค์นำมาถ่ายถอดเป็นเรื่องราวโดนย่อ ซึ่งยังคงใจความสำคัญของเนื้อหาตามหนังสือ ออกมาเป้น 9 หลักการ ตามบทแบ่งเป็น 9 บท ได้แก่
หนึ่ง อยากสำเร็จให้
สอง อุปกรณ์ที่เหมาะจะสร้างงานที่ดี
สาม จะนำใครต้องได้ใจคน
สี่ ลงทุนกับสิ่งที่มีค่าที่สุด
ห้า แย่แค่ไหนก็กลับมาดีได้
หก คิดให้ใหญ่ มองให้เล็ก
เจ็ด ถ้าเชื่อมั่นก็ไปให้สุดท้าย
แปด มองหาศัตรูที่แท้จริง
เก้า แยกความอยากออกจากความจำเป็น

หนึ่ง อยากสำเร็จให้
ครั้นเมื่อในหลวงเสด็จฯ กลับมาเมื่อไทย สิ่งแรกที่ทรงคิดคือหาช่องทางที่จะทำให้พระองค์สามารถสื่อสารกับประชาชนโดยตรง แบบไม่ต้องมีขั้นตอนให้วุ่นวาย
ยุคนั้นยังไม่มีการสื่อสารออนไลน์ ไม่มีเว็ป โซเชียลต่างๆ การสื่อสารทางวิทยุจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด และนั้นจึงเป็นที่มาของสถานีวิทยุ อ.ส. พระราชวังสวนดุสิค
และนั้นจึงกลายเป็นช่วงทางสื่อสาร รับสั่งงานกับหน่วยงานและยังจัดคลื่นรายการเปิดแผ่นด้วยตัวท่านเองโดยตรงกับประชาชนโดยตรง และต่อมาตรงพัฒนาอุปกรณ์สื่อสารต่างๆอีกมากมายเพื่อใช้งาน หากใครเคยเห็นรูปห้องทรงงานน่าจะเห็นว่ามีวิทยุ อุปกรณ์สื่อสารมากมาย
ทรงเห็นว่าเทคโนโลยีการสื่อสารคือกุญแจสำคัญที่ทำให้งานมีประสิทธิภาพมากที่สุด และด้วยสื่งนี้ทำให้พระองค์ทรงทำทุกอย่างไปพร้อมๆกัน ด้วยระบบโครงข่ายการสื่อสารที่เชื่อมต่อทุกโครงการให้มาอยู่ในห้องทรงงานของพระองค์นั่นเอง

สอง อุปกรณ์ที่เหมาะจะสร้างงานที่ดี
"คนหาว่าฉันบ้าแผนที่" คือพระราชดำรัสที่พระองค์ตรัสไว้
ในหลวงทรงเห็นความสำคัญของแผนที่มาก ทรงรู้ว่าหากใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว จะแก้ปัญหาความทุกข์ยากของประชาชนได้มากเกินกว่าใครจะคิด
ซามูไรชั้นยอดย่อมพกพาดาบชั้นเยี่ยม
แต่มิใช่ดาบทุกเล่มจะเหมาะกับซามูไรทุกคน นับดาบที่ดีจะสร้างและเสาะหาดาบที่เข้ากับการต่อสุ่
กว่าจะสร้างแผนที่ที่เหมาะกับการทรงงาน ในหลวงทรงต้องสร้างมันด้วยตัวเองเช่นกัน
และด้วยงานของพระองค์ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศแผนที่ที่ดีจึงต้องสามารถนำพระองค์ไปแก้ไขปัญหาให้ได้ และแน่นอนแผ่นที่นั้นต้องไม่ธรรมดา
ครั้งหนึ่ง เมื่อพระองค์ฯ เสด็จไปหมู่บ้านที่จังหวัดนราธิวาสและสอบถามชาวบ้านว่าที่นี้ที่ไหน ชาวบ้านตอบว่าหมู่บ้านเจาะบากง ซึ่งปรากฏไม่มีหมู่บ้านแห่งนี้อยู่ในแผ่นที่ ในหลวงจึงทรงปรับแก้แผนที่ทันทีและรับสั่งให้ทหารจัดพิมพ์ในครั้งต่อไป
นั้นทำให้แผนที่ในหลวงเป็นแผนที่ที่อัพเดทที่สุดในประเทศไทย

สาม จะนำใครต้องได้ใจคน
คุณสมบัติของผู้นำที่ดีต้องมีอะไรบ้าง?
สามารถทำงานได้ดี? น่าเชื่อถือ? ทัศนคติกว้างไกล? การตัดสินใจที่เฉียบขาด? ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นถูกทั้งหมด แต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้นำจะขาดไปไม่ได้คือ การเข้าใจผู้คนรอบกาย
และสำคัญในหลวงแล้วนั้นคือ "การเข้าถึงหัวใจของประชาชน"
ทีนี้ เมื่อเข้าถึงหัวใจของประชาชนได้แล้วก็ลงมือแก้ปัญหาได้เสียที
มีครั้งหนึ่งที่เสด็จฯ กลับจากเบตง จังหวัดยะลา ซึ่งเป็นทางลำบากเพราะเป็นภูเขาและหลุดบ่อ ฟ้าก็เริ่มจะมืด เมื่อชาวบ้านบริเวณนั้นทราบข่าว จึงได้นำตะเกียงมาจุดแสงสว่างเป็นทางเสด็จ
ในหลวงและสมเด็จพระราชินีเห็นทรงแวะทักทายพูดคุยกับชาวบ้าน ขบวนจึงเคลื่อนได้ช้ามาก กว่าจะถึงตำหนักก็ยาวนานกว่า 12 ชั่วโมง
แต่นั้นแหละที่ทำให้ความรู้สึกและหัวใจของประชาชนที่นั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เพราะในหลวงทรงเข้ามาเปลี่ยนแปลงความรู้สึกจากการทุ่มเทใส่ใจในจิตใจผู้มาเข้าเฝ้า
และต่อมามีคำพูดคำว่า 'รายอกีตอ'
ที่แปลว่า "กษัตริย์ของเรา"

สี่ ลงทุนกับสิ่งที่มีค่าที่สุด
สิ่งที่มีค่าที่สุดในประเทศไทยคืออะไร?
คำตอบของในหลวงนี้คือ น้ำ
ด้วยความที่น้ำเป็นทรัพยากรที่จำเป็นต้องใช้กับกิจกรรมของมนุษย์และบริโภค แต่แน่นอนทรัพยากรบนโลกนั่นมีอยู่อย่างจำกัด น้ำที่เรามีก็ต้องการการลงทุนและการบริหารจัดการไม่ต่างจากธุรกิจ และความ คุ้มค่า เป็นหลักสำคัญที่ในหลวงทรงยึดถือ
จากแรงบันดาลใจเมื่อครั้งทรงพระเยาว์ ทรงสังเกตลิงเวลากินกล้วยจะปลอกเปลืองแล้วเคี้ยวกินกล้วยอย่างรวดเร็ว แต่ไม่กลืนแต่จะเก็บกล้วยไว้บริเวณแก้ม แล้วค่อยๆเอามาเคี้ยวและกลืนทีหลัง
แล้วโครงการแก้มลิงก็ถือกำเนิดขึ้น
ทรงสร้างพื้นที่เก็บกั๊กน้ำตามจุดต่างๆ เมื่อนำหลากเราก็ผันน้ำเข้าพิ้นที่เก็บเพื่อป้องกันน้ำท่วม เมื่อแล้งก็สามารถนำน้ำมาใช้ได้ เรียกได้ว่าเป็นโครงการเดียวที่จบและครบวงจรเรื่องการบริหารจัดการน้ำ
ความจริงแล้วในหลวงทรงคิดโครงการเกี่ยวกับน้ำอีกมาก พูดได้เต็มปากว่า พระองค์ทรงลงทุนกับน้ำมากกว่าโครงการด้านอื่นๆอย่างเห็นได้ชัด เพราะทรงเห็นว่าหากน้ำถูกจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ประเทศจะมีกำไรมหาศาลอย่างแน่นอน
ซึ่งกำไร ตัวเลขไม่ได้สำคัญ ความสุขของประชาชนชาวไทยที่จะกินดีอยู่ดีขึ้นและไม่ประสบปัญหานั่นเอง

ห้า แย่แค่ไหนก็กลับมาดีได้
เวลามีคนถวายที่ดินแย่ๆ ให้พระองค์ ในหลวงจะทรงเรียก แบดแลนด์ จนติดปาก ไม่ได้หมายถึงที่ดินไม่มีมูลค่า แต่หมายถึงที่ดินที่คุณภาพแย่จนไม่สามารถปลูกอะไรได้ ซึ่งจากการศึกษาของพระองค์ทรงพบว่า ที่ดินของประเทศไทยมีคุณภาพที่ต่ำกว่าชาติอื่นรอบๆมากนะ การทำให้ผืนดินนี้กลับมาใช้การได้อีกครั้งคือคำตอบ
จุดเริ่มต้นของการต่อสู้ระหว่างพระองค์กับที่ดินคือเขาเต่า
ซึ่งครอบครองดินที่เลวที่สุดในโลกเอาไว้ ทรงใช้เป็นที่ศึกษาเรื่องคุณภาพดินที่นำมาสู่การแก้ปัญหาเรื่องดินในเวลาต่อมา
แต่ทรงค้นพบว่าดินหลายๆที่ในประเทศไทยเป็นดินที่คุณภาพเลวจริงๆ จนบางครั้งต้องสร้างศูนย์การเรียนรุ้ทับไป
ครั้งหนึ่งในหลวงทรงถามผู้ถวายที่ดินเพื่อการตัดสินใจว่า ขอสร้างศูนย์การเรียนรู้ได้ไหม ผู้ถวานไม่ปฏิเสธิ แต่มีผู้ทัดทานจำนวนมากว่าไม่คุ้มเพราะดินไม่ดี ในหลวงทรงอธิบายว่า "หากดินไม่ดี ไม่ช่วยไม่ทำ ลงท้ายแล้วประเทศไทยจะกลายเป็นทะเลทรายหมด" เพราะดินมีจำกัด ถ้าไม่หาทางพัฒนา แล้วสุดท้ายเราจะหนีไปอยู่ที่ใดได้
หนทางแก้ปัญหาอาจเริ่มต้นด้วยการยอมรับความเลวร้ายที่เรามี เมื่อยอมรับได้แล้วคือการปรับปรุง
ในหลวงจึงโปรดฯ ให้ศึกษาเรื่องดินเปรี้ยวอย่างจริงจัง และทรงคิดวิธี การแกล้งดิน โดยการทำให้ดินเปรี้ยวที่สุดเพื่อเร่งให้ดินปล่อยกรดดำมะถันโดยเร็ว และใช้น้ำกับปูนร่วมกันเพื่อปรับความเป็นกรดของดิน ผลลัพธ์คือ เกาตรกรสามารถใช้ดินวิธีการนี้ปลูกข้าวเพิ่มได้

หก คิดให้ใหญ่ มองให้เล็ก
ปัญหาจราจลเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่ว่าสร้างถนนเพิ่มจะแก้ปัญหาได้ แต่ต้องผ่านการศึกษาแผนผังเมืองเพื่อวางระบบจราจลให้ดีเสียก่อน
เมื่อครั้งเสร็จฯไปเมืองนอกทรงเห็นถนนฟรีเวยืก็เกิดความคิดว่าประเทศควรมีถนนวงแหวนเพื่อลดปัญหาจราจร ครั้นเมื่อกลับมาก็ทรงรับสั่งอย่างไม่รอเช้าแม้รัฐบาลจะไม่เข้าใจถนนวงแหวน แต่ก็สนองพระราชดำริโครงการถนนวงแหวน ซึ่งประกอบไปด้วย
หนึ่ง ถนนวงแหวนรอบใน หรือถนนรัชดาภิเษก
สอง ถนนวงแหวนรอบนอก หรือถนนกาญจนาภิเษก
ทรงเห็นว่าถนนวงแหวนจะช่วยระบายรถออกไปจากใจกลางเมือง แต่ทว่า เป็นเมกะโปรเจกตืใหญ่ กว่าจะใช้เวลาสร้างและเชื่อมต่อก็กว่า 20 ปี
ต่อมาทรงสร้างทางคู่ขนานลอยฟ้าบรมราชนนี เพื่อแก้ปัญหารถที่ลงจากสะพานพระปิ่นเกล้าและต้องมาพบเจอกับรถจากแยกอรุณอมริรทร์ และสร้างสะพานพระราม 8 เพื่อลดปัญหาการสัญจรข้ามแ่น้ำที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆตรงส่วนสะพานพระปิ่นเกล้า
และทั้งหมดนี้คือความฝันตลอด 40 ปี แม้ปัญหาจราจลในเมืองหลวงจะยังไม่หายไป แต่โครงการทั้งหมดก็พอจะช่วยคนกรุงเทพฯ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นไปได้

เจ็ด ถ้าเชื่อมั่นก็ไปให้สุดท้าย
เมื่อปี 2498 ในหลวงทรงเสด็จฯ ไปเยี่ยมราษฎรชาวอีสานที่ตอนนั้นประสบปัญหาแห้งแล้งอย่างหนัก ระหว่างที่ไป ไปไหนมาไหนพระองค์ทรงเตะฝุ่นตลอดทาง ท่านก็ทรงแหงนหน้ามองท้องฟ้าพบว่า มีเมฆลอยอยู่มาก แต่กลับไม่มีเมฆก้อนไหนแปลงสภาพเป็นฝนตกลงมาเลย เกิดเป็นคำถามที่เปลี่ยนความเชื่อไปตลอดกาล
นั้นคือมนุษย์อย่างเราจะเปลี่ยนเมฆฝนเหล่านี้กลายเป็นฝนได้หรือไม่?
เมื่อทรงกลับกรุงเทพ พระองค์ทรงเริ่มเอางานวิจัยต่างประเทศมากอ่านเพื่อึกษาวิธีทำฝน และตามหาผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งพบและนั่นคือ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล หัวหน้ากองวิศวกรรม เมื่อทั้งสองพบใช้เวลาพิจารณาร่วมกันเป้นเวลาถึงสองปีเต็ม ก็พบปัจจัย สองปัจจัย คือ
หนึ่ง ความชื้น
สอง อุณหภูมิ
และได้ศึกษาเพิ่มเติมทรงลงต่างๆนาๆ นนกระทั่งปี 2512
การทดลองอย่างเป็นทางการครั้งแรกก็เกิดขึ้น ที่พื้นที่ ปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ในวันประวัติศาสตรืทุกอย่างเต้มไปด้วยความทุลักทุเล ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ไม่มีอุปกรณ์สำหรับทำฝนเทียมเลยจึงต้องโปรยน้ำแข็งออกทางหน้าต่าง ซึ่งเมื่อเปิดหน้าต่างลมก็พัดเข้าอย่างแรง จนทำให้น้ำแข็งวนกลับเข้ามาในลำและปลิวโดนหู จนทำให้แก้วหูไหม้จนพิการแต่ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ก็กลั้นใจทำจนเสร้จสิ้นภารกิจ เมื่อทำทุกอย่างเสร็จเหลือแต่เพียงรอเวลา หลังจากเวลาผ่านไปประมาณ 15-30 นาทีก็เกิดกลุ่มเมฆสีเทา และกลายเป็นฝนหยดแรกล่วงหลนลงมาท้องฟ้า จากการรอคอยเกือบ 14 ปี
จากความฝันที่เป็นไปไม่ได้ พระองค์ทรงพิสูจน์แล้วว่ามันสามารถเกิดขึ้นได้จริง และกลายเป็นผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ตั้งใจไว้
นอกจากจะช่วยให้คนไทยผ่านพ้นวิกฤติไปด้วยกันแล้ว ความรู้นี้ยังเป็นสิ่งที่อยู่คู่โลกสืบไป
ส่วมใส่วิสัยทัศน์ของพ่อไปกับ "KEY OF SUCCESS ของกษัตริย์ผู้มองเห็นอนาคต" [THE VISIONARY]
สรุปเรื่องที่พระองค์ทรงใช้ Key of Success ต่างๆเป็นแนวทางผ่านการเล่าเรื่อง ซึ่งเป็นเรื่องของการทรงงานส่วนพระองค์นำมาถ่ายถอดเป็นเรื่องราวโดนย่อ ซึ่งยังคงใจความสำคัญของเนื้อหาตามหนังสือ ออกมาเป้น 9 หลักการ ตามบทแบ่งเป็น 9 บท ได้แก่
หนึ่ง อยากสำเร็จให้
สอง อุปกรณ์ที่เหมาะจะสร้างงานที่ดี
สาม จะนำใครต้องได้ใจคน
สี่ ลงทุนกับสิ่งที่มีค่าที่สุด
ห้า แย่แค่ไหนก็กลับมาดีได้
หก คิดให้ใหญ่ มองให้เล็ก
เจ็ด ถ้าเชื่อมั่นก็ไปให้สุดท้าย
แปด มองหาศัตรูที่แท้จริง
เก้า แยกความอยากออกจากความจำเป็น
ครั้นเมื่อในหลวงเสด็จฯ กลับมาเมื่อไทย สิ่งแรกที่ทรงคิดคือหาช่องทางที่จะทำให้พระองค์สามารถสื่อสารกับประชาชนโดยตรง แบบไม่ต้องมีขั้นตอนให้วุ่นวาย
ยุคนั้นยังไม่มีการสื่อสารออนไลน์ ไม่มีเว็ป โซเชียลต่างๆ การสื่อสารทางวิทยุจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด และนั้นจึงเป็นที่มาของสถานีวิทยุ อ.ส. พระราชวังสวนดุสิค
และนั้นจึงกลายเป็นช่วงทางสื่อสาร รับสั่งงานกับหน่วยงานและยังจัดคลื่นรายการเปิดแผ่นด้วยตัวท่านเองโดยตรงกับประชาชนโดยตรง และต่อมาตรงพัฒนาอุปกรณ์สื่อสารต่างๆอีกมากมายเพื่อใช้งาน หากใครเคยเห็นรูปห้องทรงงานน่าจะเห็นว่ามีวิทยุ อุปกรณ์สื่อสารมากมาย
ทรงเห็นว่าเทคโนโลยีการสื่อสารคือกุญแจสำคัญที่ทำให้งานมีประสิทธิภาพมากที่สุด และด้วยสื่งนี้ทำให้พระองค์ทรงทำทุกอย่างไปพร้อมๆกัน ด้วยระบบโครงข่ายการสื่อสารที่เชื่อมต่อทุกโครงการให้มาอยู่ในห้องทรงงานของพระองค์นั่นเอง
"คนหาว่าฉันบ้าแผนที่" คือพระราชดำรัสที่พระองค์ตรัสไว้
ในหลวงทรงเห็นความสำคัญของแผนที่มาก ทรงรู้ว่าหากใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว จะแก้ปัญหาความทุกข์ยากของประชาชนได้มากเกินกว่าใครจะคิด
ซามูไรชั้นยอดย่อมพกพาดาบชั้นเยี่ยม
แต่มิใช่ดาบทุกเล่มจะเหมาะกับซามูไรทุกคน นับดาบที่ดีจะสร้างและเสาะหาดาบที่เข้ากับการต่อสุ่
กว่าจะสร้างแผนที่ที่เหมาะกับการทรงงาน ในหลวงทรงต้องสร้างมันด้วยตัวเองเช่นกัน
และด้วยงานของพระองค์ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศแผนที่ที่ดีจึงต้องสามารถนำพระองค์ไปแก้ไขปัญหาให้ได้ และแน่นอนแผ่นที่นั้นต้องไม่ธรรมดา
ครั้งหนึ่ง เมื่อพระองค์ฯ เสด็จไปหมู่บ้านที่จังหวัดนราธิวาสและสอบถามชาวบ้านว่าที่นี้ที่ไหน ชาวบ้านตอบว่าหมู่บ้านเจาะบากง ซึ่งปรากฏไม่มีหมู่บ้านแห่งนี้อยู่ในแผ่นที่ ในหลวงจึงทรงปรับแก้แผนที่ทันทีและรับสั่งให้ทหารจัดพิมพ์ในครั้งต่อไป
นั้นทำให้แผนที่ในหลวงเป็นแผนที่ที่อัพเดทที่สุดในประเทศไทย
คุณสมบัติของผู้นำที่ดีต้องมีอะไรบ้าง?
สามารถทำงานได้ดี? น่าเชื่อถือ? ทัศนคติกว้างไกล? การตัดสินใจที่เฉียบขาด? ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นถูกทั้งหมด แต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้นำจะขาดไปไม่ได้คือ การเข้าใจผู้คนรอบกาย
และสำคัญในหลวงแล้วนั้นคือ "การเข้าถึงหัวใจของประชาชน"
ทีนี้ เมื่อเข้าถึงหัวใจของประชาชนได้แล้วก็ลงมือแก้ปัญหาได้เสียที
มีครั้งหนึ่งที่เสด็จฯ กลับจากเบตง จังหวัดยะลา ซึ่งเป็นทางลำบากเพราะเป็นภูเขาและหลุดบ่อ ฟ้าก็เริ่มจะมืด เมื่อชาวบ้านบริเวณนั้นทราบข่าว จึงได้นำตะเกียงมาจุดแสงสว่างเป็นทางเสด็จ
ในหลวงและสมเด็จพระราชินีเห็นทรงแวะทักทายพูดคุยกับชาวบ้าน ขบวนจึงเคลื่อนได้ช้ามาก กว่าจะถึงตำหนักก็ยาวนานกว่า 12 ชั่วโมง
แต่นั้นแหละที่ทำให้ความรู้สึกและหัวใจของประชาชนที่นั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เพราะในหลวงทรงเข้ามาเปลี่ยนแปลงความรู้สึกจากการทุ่มเทใส่ใจในจิตใจผู้มาเข้าเฝ้า
และต่อมามีคำพูดคำว่า 'รายอกีตอ'
ที่แปลว่า "กษัตริย์ของเรา"
สิ่งที่มีค่าที่สุดในประเทศไทยคืออะไร?
คำตอบของในหลวงนี้คือ น้ำ
ด้วยความที่น้ำเป็นทรัพยากรที่จำเป็นต้องใช้กับกิจกรรมของมนุษย์และบริโภค แต่แน่นอนทรัพยากรบนโลกนั่นมีอยู่อย่างจำกัด น้ำที่เรามีก็ต้องการการลงทุนและการบริหารจัดการไม่ต่างจากธุรกิจ และความ คุ้มค่า เป็นหลักสำคัญที่ในหลวงทรงยึดถือ
จากแรงบันดาลใจเมื่อครั้งทรงพระเยาว์ ทรงสังเกตลิงเวลากินกล้วยจะปลอกเปลืองแล้วเคี้ยวกินกล้วยอย่างรวดเร็ว แต่ไม่กลืนแต่จะเก็บกล้วยไว้บริเวณแก้ม แล้วค่อยๆเอามาเคี้ยวและกลืนทีหลัง
แล้วโครงการแก้มลิงก็ถือกำเนิดขึ้น
ทรงสร้างพื้นที่เก็บกั๊กน้ำตามจุดต่างๆ เมื่อนำหลากเราก็ผันน้ำเข้าพิ้นที่เก็บเพื่อป้องกันน้ำท่วม เมื่อแล้งก็สามารถนำน้ำมาใช้ได้ เรียกได้ว่าเป็นโครงการเดียวที่จบและครบวงจรเรื่องการบริหารจัดการน้ำ
ความจริงแล้วในหลวงทรงคิดโครงการเกี่ยวกับน้ำอีกมาก พูดได้เต็มปากว่า พระองค์ทรงลงทุนกับน้ำมากกว่าโครงการด้านอื่นๆอย่างเห็นได้ชัด เพราะทรงเห็นว่าหากน้ำถูกจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ประเทศจะมีกำไรมหาศาลอย่างแน่นอน
ซึ่งกำไร ตัวเลขไม่ได้สำคัญ ความสุขของประชาชนชาวไทยที่จะกินดีอยู่ดีขึ้นและไม่ประสบปัญหานั่นเอง
เวลามีคนถวายที่ดินแย่ๆ ให้พระองค์ ในหลวงจะทรงเรียก แบดแลนด์ จนติดปาก ไม่ได้หมายถึงที่ดินไม่มีมูลค่า แต่หมายถึงที่ดินที่คุณภาพแย่จนไม่สามารถปลูกอะไรได้ ซึ่งจากการศึกษาของพระองค์ทรงพบว่า ที่ดินของประเทศไทยมีคุณภาพที่ต่ำกว่าชาติอื่นรอบๆมากนะ การทำให้ผืนดินนี้กลับมาใช้การได้อีกครั้งคือคำตอบ
จุดเริ่มต้นของการต่อสู้ระหว่างพระองค์กับที่ดินคือเขาเต่า
ซึ่งครอบครองดินที่เลวที่สุดในโลกเอาไว้ ทรงใช้เป็นที่ศึกษาเรื่องคุณภาพดินที่นำมาสู่การแก้ปัญหาเรื่องดินในเวลาต่อมา
แต่ทรงค้นพบว่าดินหลายๆที่ในประเทศไทยเป็นดินที่คุณภาพเลวจริงๆ จนบางครั้งต้องสร้างศูนย์การเรียนรุ้ทับไป
ครั้งหนึ่งในหลวงทรงถามผู้ถวายที่ดินเพื่อการตัดสินใจว่า ขอสร้างศูนย์การเรียนรู้ได้ไหม ผู้ถวานไม่ปฏิเสธิ แต่มีผู้ทัดทานจำนวนมากว่าไม่คุ้มเพราะดินไม่ดี ในหลวงทรงอธิบายว่า "หากดินไม่ดี ไม่ช่วยไม่ทำ ลงท้ายแล้วประเทศไทยจะกลายเป็นทะเลทรายหมด" เพราะดินมีจำกัด ถ้าไม่หาทางพัฒนา แล้วสุดท้ายเราจะหนีไปอยู่ที่ใดได้
หนทางแก้ปัญหาอาจเริ่มต้นด้วยการยอมรับความเลวร้ายที่เรามี เมื่อยอมรับได้แล้วคือการปรับปรุง
ในหลวงจึงโปรดฯ ให้ศึกษาเรื่องดินเปรี้ยวอย่างจริงจัง และทรงคิดวิธี การแกล้งดิน โดยการทำให้ดินเปรี้ยวที่สุดเพื่อเร่งให้ดินปล่อยกรดดำมะถันโดยเร็ว และใช้น้ำกับปูนร่วมกันเพื่อปรับความเป็นกรดของดิน ผลลัพธ์คือ เกาตรกรสามารถใช้ดินวิธีการนี้ปลูกข้าวเพิ่มได้
ปัญหาจราจลเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่ว่าสร้างถนนเพิ่มจะแก้ปัญหาได้ แต่ต้องผ่านการศึกษาแผนผังเมืองเพื่อวางระบบจราจลให้ดีเสียก่อน
เมื่อครั้งเสร็จฯไปเมืองนอกทรงเห็นถนนฟรีเวยืก็เกิดความคิดว่าประเทศควรมีถนนวงแหวนเพื่อลดปัญหาจราจร ครั้นเมื่อกลับมาก็ทรงรับสั่งอย่างไม่รอเช้าแม้รัฐบาลจะไม่เข้าใจถนนวงแหวน แต่ก็สนองพระราชดำริโครงการถนนวงแหวน ซึ่งประกอบไปด้วย
หนึ่ง ถนนวงแหวนรอบใน หรือถนนรัชดาภิเษก
สอง ถนนวงแหวนรอบนอก หรือถนนกาญจนาภิเษก
ทรงเห็นว่าถนนวงแหวนจะช่วยระบายรถออกไปจากใจกลางเมือง แต่ทว่า เป็นเมกะโปรเจกตืใหญ่ กว่าจะใช้เวลาสร้างและเชื่อมต่อก็กว่า 20 ปี
ต่อมาทรงสร้างทางคู่ขนานลอยฟ้าบรมราชนนี เพื่อแก้ปัญหารถที่ลงจากสะพานพระปิ่นเกล้าและต้องมาพบเจอกับรถจากแยกอรุณอมริรทร์ และสร้างสะพานพระราม 8 เพื่อลดปัญหาการสัญจรข้ามแ่น้ำที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆตรงส่วนสะพานพระปิ่นเกล้า
และทั้งหมดนี้คือความฝันตลอด 40 ปี แม้ปัญหาจราจลในเมืองหลวงจะยังไม่หายไป แต่โครงการทั้งหมดก็พอจะช่วยคนกรุงเทพฯ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นไปได้
เมื่อปี 2498 ในหลวงทรงเสด็จฯ ไปเยี่ยมราษฎรชาวอีสานที่ตอนนั้นประสบปัญหาแห้งแล้งอย่างหนัก ระหว่างที่ไป ไปไหนมาไหนพระองค์ทรงเตะฝุ่นตลอดทาง ท่านก็ทรงแหงนหน้ามองท้องฟ้าพบว่า มีเมฆลอยอยู่มาก แต่กลับไม่มีเมฆก้อนไหนแปลงสภาพเป็นฝนตกลงมาเลย เกิดเป็นคำถามที่เปลี่ยนความเชื่อไปตลอดกาล
นั้นคือมนุษย์อย่างเราจะเปลี่ยนเมฆฝนเหล่านี้กลายเป็นฝนได้หรือไม่?
เมื่อทรงกลับกรุงเทพ พระองค์ทรงเริ่มเอางานวิจัยต่างประเทศมากอ่านเพื่อึกษาวิธีทำฝน และตามหาผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งพบและนั่นคือ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล หัวหน้ากองวิศวกรรม เมื่อทั้งสองพบใช้เวลาพิจารณาร่วมกันเป้นเวลาถึงสองปีเต็ม ก็พบปัจจัย สองปัจจัย คือ
หนึ่ง ความชื้น
สอง อุณหภูมิ
และได้ศึกษาเพิ่มเติมทรงลงต่างๆนาๆ นนกระทั่งปี 2512
การทดลองอย่างเป็นทางการครั้งแรกก็เกิดขึ้น ที่พื้นที่ ปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ในวันประวัติศาสตรืทุกอย่างเต้มไปด้วยความทุลักทุเล ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ไม่มีอุปกรณ์สำหรับทำฝนเทียมเลยจึงต้องโปรยน้ำแข็งออกทางหน้าต่าง ซึ่งเมื่อเปิดหน้าต่างลมก็พัดเข้าอย่างแรง จนทำให้น้ำแข็งวนกลับเข้ามาในลำและปลิวโดนหู จนทำให้แก้วหูไหม้จนพิการแต่ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ก็กลั้นใจทำจนเสร้จสิ้นภารกิจ เมื่อทำทุกอย่างเสร็จเหลือแต่เพียงรอเวลา หลังจากเวลาผ่านไปประมาณ 15-30 นาทีก็เกิดกลุ่มเมฆสีเทา และกลายเป็นฝนหยดแรกล่วงหลนลงมาท้องฟ้า จากการรอคอยเกือบ 14 ปี
จากความฝันที่เป็นไปไม่ได้ พระองค์ทรงพิสูจน์แล้วว่ามันสามารถเกิดขึ้นได้จริง และกลายเป็นผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ตั้งใจไว้
นอกจากจะช่วยให้คนไทยผ่านพ้นวิกฤติไปด้วยกันแล้ว ความรู้นี้ยังเป็นสิ่งที่อยู่คู่โลกสืบไป