หลังจากที่ countdown ที่ Dubrovnik เสร็จสิ้นแล้ว ผมนั่งรถบัสรอบกลางวันร่วม ๑๐ ชั่วโมง เพื่อกลับมาเที่ยวที่เมืองหลวง Zagreb ราว ๓ วัน กว่าจะมาถึงก็มืดแล้ว หนาวด้วย ผมลงจากรถรางแล้วเดินหา hostel ที่จองไว้ โดยอาศัยแผนที่ที่ปรินท์มาจาก Google Map
ดูจากแผนที่แล้ว ดูไม่น่าไกลจากป้ายรถรางที่ลงมาก แต่เดินไปสักพักก็ไม่เจอจนเริ่มใจแป้ว เห็นร้านถ่ายเอกสารร้านนึงเปิดอยู่ เลยตัดสินใจเดินเข้าไปถามทางดู
ในขณะที่มีปัญหาในการสื่อสารภาษาอังกฤษกับพนักงาน ผมไม่รู้ตัวเลยว่า มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้านและสังเกตความเป็นไปของผม...
"เอางี้สิ บ้านผมอยู่ไม่ไกล เดี๋ยวเรากลับไปดูแผนที่ในคอมบ้านผม ดูแล้วไม่น่าไกลมาก ผมขับรถไปส่งได้นะ" ชายหนุ่มร่างกำยำชาวโครเอเชียส่งข้อเสนอด้วยภาษาอังกฤษที่คล่องแคล่ว
แม้จะรู้ดีว่า การตามคนแปลกหน้าไปเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเสี่ยง ยิ่งมืด ๆ ค่ำ ๆ ที่ไม่ค่อยมีผู้คนเดินไปมาแล้ว ยิ่งไม่น่าไป แต่ตอนนั้น มีอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกเชื่อใจในตัวคนแปลกหน้าผู้นี้ อาจเป็นเพราะสายตาและบุคลิกที่ดูอบอุ่นกระมัง เลยตกลงเดินตามไปดื้อ ๆ
"เอาน่า ระหว่างทางมีอะไรเกิดขึ้น ก็น่าจะพอเอาตัวรอดได้" ผมพูดกับตัวเองในใจ
ปรากฏว่า บ้านของหนุ่มโครเอเชียคนนั้นอยู่ตรงข้ามกับร้านถ่ายเอกสารนี่เอง เจ้าบ้านเปิดประตู กดลิฟต์ให้ เมื่อประตูบ้านเปิด สตรีวัยกลางคนท่าทางใจดีเดินมาต้อนรับ เจ้าบ้านแนะนำว่า นี่คือแม่ของเขาเอง
"ทานอะไรมารึยังคะ มาทานด้วยกันมั้ย" คือคำทักทายอันอบอุ่นของแม่ชายหนุ่มผู้นั้น
ผมไม่อยากรบกวน และอยากเข้าที่พักเร็ว ๆ เลยตอบปฏิเสธไป ในขณะเดียวกัน ชายหนุ่มโครเอเชียกวักมือเรียกเข้าไปดูที่หน้าจอคอมในห้องนอน ปรากฏว่า ที่พักอยู่ใกล้ ๆ นี่เอง และคนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักก็อาสาเดินพามาส่ง
hostel อยู่ใกล้จริง ๆ ถึงขนาดที่ว่า ถ้าเดินผ่านร้านเอกสารไปอีกราว ๒๐ เมตรก็จะเจอแน่ ๆ
ผมกล่าวขอบคุณหนุ่มโครเอเชียคนนั้น ก่อนจะลาจากกัน ชายหนุ่มก็ควักกระดาษพร้อมจดเบอร์โทร อีเมล์ และเฟสบุ๊คไว้ให้
"มีอะไรก็ติดต่อมาได้ตลอดเลยนะ" ชายหนุ่มกล่าวก่อนจะลาจากกัน
นั่นคือความทรงจำที่ผมระลึกถึงเมื่อคราวมาเยือน Zagreb เป็นครั้งที่ ๒ ระหว่างมานำเสนอผลงานทางวิชาการในฤดูร้อนราวเดือนมิถุนายน ขณะนั้นผมเหม่อมองอยู่ที่เนินเขา Gradec อันเป็นที่ตั้งของย่านเก่าเมืองหนึ่งด้านตรงข้ามกับย่าน Kaptol อันเป็นที่ตั้งของมหาวิหาร Zagreb เมืองที่เกิดจากการรวมตัวของทั้งสองนครา
ทั้ง Gradec และ Kaptol มีผู้คนมาตั้งถิ่นฐานตั้งแต่ศตวรรษที่ ๑๑ ก่อนที่จะถูกพวกมองโกลทำลายราบเป็นหน้ากลองในปี ๑๒๔๒
เพื่อดึงดูดช่างฝีมือให้เข้ามาบูรณะเมือง พระเจ้า Bela ได้สร้างกำแพงรายรอบ Gradec และให้สิทธิพิเศษทางภาษีมากมาย ในขณะที่ Kaptol มีสถานะที่ตรงกันข้าม ไม่มีกำแพง ไม่มีสิทธิพิเศษทางภาษี และอยู่ภายใต้อำนาจของศาสนจักร ทั้งสองเมืองเป็นคู่แข่งกันมาหลายศตวรรษและนำไปสู่ความขัดแย้งหลางครั้งจนเกือบจะเกือบสงครามขึ้นบ่อย ๆ ในบางครั้ง มุขนายก (bishop) แห่ง Kaptol ได้ไล่ชาว Gradec ออกจากศาสนจักร (excommunicate) ซึ่งชาว Gradec ก็ตอบโต้ด้วยการปล้นสะดมและเผาเมือง Kaptol กว่าจะรวมตัวกันได้ก็ราวศตวรรษที่ ๑๗ ด้วยความจำเป็นทางเศรษฐกิจ
ชื่อ “Zagreb” จึงได้ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกในตอนนั้นนั่นเอง
ในสมัยนั้น Zagreb ยังคงเป็นเมืองหลวงเล็ก ๆ ของรัฐโครเอเชีย เพราะเมืองที่รายรอบถูกพวกเติร์กทำลายไปเสียเกือบหมดแล้ว ยิ่งต่อมามีอัคคีภัยและโรคระบาดด้วยแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ในช่วงปลายศตวรรษที่ ๑๘ มีประชากรไม่ถึง ๓,๐๐๐ คนด้วยซ้ำ
เมื่อพวกเติร์กถอยร่นไป กิจกรรมทางเศรษฐกิจของ Zagreb ก็ฟื้นตัวขึ้น โดยเฉพาะในบริเวณที่เป็นจัตุรัสของเมืองระหว่าง Gradec และ Kaptol ที่เรียกว่า Trg Josip Jelačića
เมื่อเศรษฐกิจดี ความเจริญทางวัฒนธรรมก็ตามมา Zagreb เป็นศูนย์กลางของการรวมชนชาติสลาฟใต้และการเรียกร้องสิทธิปกครองตนเองจากจักรวรรดิออสโตร-ฮังกาเรียน ต่อมาได้เข้าร่วมเป็นราชอาณาจักรเซิร์บ โครแอท และสโลวีน หลังจากสงครามโลกครั้งที่ ๑ สิ้นสุดลง และต่อมาได้ประกาศเอกราชแยกตัวจากยูโกสลาเวียในปี ๑๙๙๑
ความเจริญรุ่งเรืองตระการตาของ Zagreb ได้ตกทอดมาสู่ปัจจุบัน อาคารบ้านเรือนสีพาสเทลตัดกับหลังคาสีส้มแสดลดหลั่นกันไปตามเชิงเขาบรรจบกับอาคารสมัย Art nouveau ที่หรูหราใจกลางเมือง แซมด้วยตลาดที่ผู้คนนำพืชผลการเกษตรมาแลกเปลี่ยนซื้อขาย ทำให้ Zagreb ดูมีชีวิตชีวาไม่น้อย
ในวันนั้น เมื่อคราวที่ผมยืนชมตัวเมืองบนยอดเนินของ Gradec ก็แอบใจแป้วไม่ได้
ด้วยว่า มาครั้งนี้ไม่ได้กลับมาเจอเพื่อนชาวโครเอเชียผู้นั้น เพราะได้ย้ายไปทำงานที่ฮ่องกงเสียแล้ว...
















-----------------------------------------------
ใครสนใจการเรียน การทำงาน และการท่องเที่ยวแนว hidden gems ในยุโรป ก็ขอเชิญไปเยี่ยมชมหรือพูดคุยกันได้ที่เฟสบุ๊คแฟนเพจครับ
https://www.facebook.com/IRememberEurope/
ใจต่อม ๆ กับสองนคราที่ Zagreb
ดูจากแผนที่แล้ว ดูไม่น่าไกลจากป้ายรถรางที่ลงมาก แต่เดินไปสักพักก็ไม่เจอจนเริ่มใจแป้ว เห็นร้านถ่ายเอกสารร้านนึงเปิดอยู่ เลยตัดสินใจเดินเข้าไปถามทางดู
ในขณะที่มีปัญหาในการสื่อสารภาษาอังกฤษกับพนักงาน ผมไม่รู้ตัวเลยว่า มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้านและสังเกตความเป็นไปของผม...
"เอางี้สิ บ้านผมอยู่ไม่ไกล เดี๋ยวเรากลับไปดูแผนที่ในคอมบ้านผม ดูแล้วไม่น่าไกลมาก ผมขับรถไปส่งได้นะ" ชายหนุ่มร่างกำยำชาวโครเอเชียส่งข้อเสนอด้วยภาษาอังกฤษที่คล่องแคล่ว
แม้จะรู้ดีว่า การตามคนแปลกหน้าไปเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเสี่ยง ยิ่งมืด ๆ ค่ำ ๆ ที่ไม่ค่อยมีผู้คนเดินไปมาแล้ว ยิ่งไม่น่าไป แต่ตอนนั้น มีอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกเชื่อใจในตัวคนแปลกหน้าผู้นี้ อาจเป็นเพราะสายตาและบุคลิกที่ดูอบอุ่นกระมัง เลยตกลงเดินตามไปดื้อ ๆ
"เอาน่า ระหว่างทางมีอะไรเกิดขึ้น ก็น่าจะพอเอาตัวรอดได้" ผมพูดกับตัวเองในใจ
ปรากฏว่า บ้านของหนุ่มโครเอเชียคนนั้นอยู่ตรงข้ามกับร้านถ่ายเอกสารนี่เอง เจ้าบ้านเปิดประตู กดลิฟต์ให้ เมื่อประตูบ้านเปิด สตรีวัยกลางคนท่าทางใจดีเดินมาต้อนรับ เจ้าบ้านแนะนำว่า นี่คือแม่ของเขาเอง
"ทานอะไรมารึยังคะ มาทานด้วยกันมั้ย" คือคำทักทายอันอบอุ่นของแม่ชายหนุ่มผู้นั้น
ผมไม่อยากรบกวน และอยากเข้าที่พักเร็ว ๆ เลยตอบปฏิเสธไป ในขณะเดียวกัน ชายหนุ่มโครเอเชียกวักมือเรียกเข้าไปดูที่หน้าจอคอมในห้องนอน ปรากฏว่า ที่พักอยู่ใกล้ ๆ นี่เอง และคนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักก็อาสาเดินพามาส่ง
hostel อยู่ใกล้จริง ๆ ถึงขนาดที่ว่า ถ้าเดินผ่านร้านเอกสารไปอีกราว ๒๐ เมตรก็จะเจอแน่ ๆ
ผมกล่าวขอบคุณหนุ่มโครเอเชียคนนั้น ก่อนจะลาจากกัน ชายหนุ่มก็ควักกระดาษพร้อมจดเบอร์โทร อีเมล์ และเฟสบุ๊คไว้ให้
"มีอะไรก็ติดต่อมาได้ตลอดเลยนะ" ชายหนุ่มกล่าวก่อนจะลาจากกัน
นั่นคือความทรงจำที่ผมระลึกถึงเมื่อคราวมาเยือน Zagreb เป็นครั้งที่ ๒ ระหว่างมานำเสนอผลงานทางวิชาการในฤดูร้อนราวเดือนมิถุนายน ขณะนั้นผมเหม่อมองอยู่ที่เนินเขา Gradec อันเป็นที่ตั้งของย่านเก่าเมืองหนึ่งด้านตรงข้ามกับย่าน Kaptol อันเป็นที่ตั้งของมหาวิหาร Zagreb เมืองที่เกิดจากการรวมตัวของทั้งสองนครา
ทั้ง Gradec และ Kaptol มีผู้คนมาตั้งถิ่นฐานตั้งแต่ศตวรรษที่ ๑๑ ก่อนที่จะถูกพวกมองโกลทำลายราบเป็นหน้ากลองในปี ๑๒๔๒
เพื่อดึงดูดช่างฝีมือให้เข้ามาบูรณะเมือง พระเจ้า Bela ได้สร้างกำแพงรายรอบ Gradec และให้สิทธิพิเศษทางภาษีมากมาย ในขณะที่ Kaptol มีสถานะที่ตรงกันข้าม ไม่มีกำแพง ไม่มีสิทธิพิเศษทางภาษี และอยู่ภายใต้อำนาจของศาสนจักร ทั้งสองเมืองเป็นคู่แข่งกันมาหลายศตวรรษและนำไปสู่ความขัดแย้งหลางครั้งจนเกือบจะเกือบสงครามขึ้นบ่อย ๆ ในบางครั้ง มุขนายก (bishop) แห่ง Kaptol ได้ไล่ชาว Gradec ออกจากศาสนจักร (excommunicate) ซึ่งชาว Gradec ก็ตอบโต้ด้วยการปล้นสะดมและเผาเมือง Kaptol กว่าจะรวมตัวกันได้ก็ราวศตวรรษที่ ๑๗ ด้วยความจำเป็นทางเศรษฐกิจ
ชื่อ “Zagreb” จึงได้ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกในตอนนั้นนั่นเอง
ในสมัยนั้น Zagreb ยังคงเป็นเมืองหลวงเล็ก ๆ ของรัฐโครเอเชีย เพราะเมืองที่รายรอบถูกพวกเติร์กทำลายไปเสียเกือบหมดแล้ว ยิ่งต่อมามีอัคคีภัยและโรคระบาดด้วยแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ในช่วงปลายศตวรรษที่ ๑๘ มีประชากรไม่ถึง ๓,๐๐๐ คนด้วยซ้ำ
เมื่อพวกเติร์กถอยร่นไป กิจกรรมทางเศรษฐกิจของ Zagreb ก็ฟื้นตัวขึ้น โดยเฉพาะในบริเวณที่เป็นจัตุรัสของเมืองระหว่าง Gradec และ Kaptol ที่เรียกว่า Trg Josip Jelačića
เมื่อเศรษฐกิจดี ความเจริญทางวัฒนธรรมก็ตามมา Zagreb เป็นศูนย์กลางของการรวมชนชาติสลาฟใต้และการเรียกร้องสิทธิปกครองตนเองจากจักรวรรดิออสโตร-ฮังกาเรียน ต่อมาได้เข้าร่วมเป็นราชอาณาจักรเซิร์บ โครแอท และสโลวีน หลังจากสงครามโลกครั้งที่ ๑ สิ้นสุดลง และต่อมาได้ประกาศเอกราชแยกตัวจากยูโกสลาเวียในปี ๑๙๙๑
ความเจริญรุ่งเรืองตระการตาของ Zagreb ได้ตกทอดมาสู่ปัจจุบัน อาคารบ้านเรือนสีพาสเทลตัดกับหลังคาสีส้มแสดลดหลั่นกันไปตามเชิงเขาบรรจบกับอาคารสมัย Art nouveau ที่หรูหราใจกลางเมือง แซมด้วยตลาดที่ผู้คนนำพืชผลการเกษตรมาแลกเปลี่ยนซื้อขาย ทำให้ Zagreb ดูมีชีวิตชีวาไม่น้อย
ในวันนั้น เมื่อคราวที่ผมยืนชมตัวเมืองบนยอดเนินของ Gradec ก็แอบใจแป้วไม่ได้
ด้วยว่า มาครั้งนี้ไม่ได้กลับมาเจอเพื่อนชาวโครเอเชียผู้นั้น เพราะได้ย้ายไปทำงานที่ฮ่องกงเสียแล้ว...
ใครสนใจการเรียน การทำงาน และการท่องเที่ยวแนว hidden gems ในยุโรป ก็ขอเชิญไปเยี่ยมชมหรือพูดคุยกันได้ที่เฟสบุ๊คแฟนเพจครับ https://www.facebook.com/IRememberEurope/