Master degree ที่ The University of Warwick+เที่ยวยุโรป Greece, Iceland, Portugal, Spain,Italy ตอนที่ 2: Greece

Greece เป็นทริปยุโรปประเทศแรกที่ผมได้มีโอกาสไป หลังจากอยู่อยู่อังกฤษมาเกือบ 1 ปี โดยเรามีแพลนที่จะเที่ยว Greece ตั้งแต่วันที่ 6-10 สิงหาคม (5 วัน 4 คืน) แบ่งเป็นพักที่ Santorini 3 คืน และ พักที่ Athens 1 คืน ครับ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา มาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ

ติดตามตอนอื่นๆได้ที่ตามลิงค์:
ตอนที่ 1 : ชีวิตนักเรียน -- https://pantip.com/topic/36955509
ตอนที่ 3 : Iceland -- https://pantip.com/topic/36957829
ตอนที่ 4 : Portugal -- https://pantip.com/topic/36958501
ตอนที่ 5 : Spain -- https://pantip.com/topic/36959343
ตอนที่ 6 : Italy -- https://pantip.com/topic/36960249

เราเดินทางจาก UK ไป Santorini จากสนามบิน Gatwick ไปยัง Santorini (Thira) ด้วยสายการบิน EasyJet ครับ ปล. สายการบินนี้จะอนุญาติให้เราถือ carry on ขึ้นเครื่องได้ใบเดียว ถ้าจะถือกระเป๋าลาก + เป้สะพายหลังไปพร้อมกัน แบบนี้ไม่ได้นะครับ ต้องยัดรวมกันเป็นใบเดียวเท่านั้น ส่วนกระเป๋าใช้ใส่ของมีค่าใบเล็กๆก็อาจจะอนุโลมเอาเข้าไปได้ แล้วแต่ความเข้มในการตรวจ ซึ่งแตกต่างจากสายการบิน Ryanair ที่อนุญาติให้เอากระเป๋าขึ้นไปได้มากกว่า 1 ใบ

วันที่ 6 สค. 2017
เราถึงสนามบิน Santorini ประมาณ บ่ายโมงนิดๆครับ ซึ่งสนามบินที่ยนี่เล็กมากถึงมากที่สุด ตอนแรกเราประมาณเวลาการรอกระเป๋าและการเดินในสนามบินรวมๆกัน 1 ชั่วโมง แต่เอาเข้าจริง ไม่ถึง 30 นาทีเราก็พร้อมออกแล้วครับ โดยเรานั่งแท็กซี่ซึ่งติดต่อโดยเจ้าของบ้านที่เราจะไปอยู่ในวันนี้ไปยังที่พักครับ ประมาณ 20 Euros ส่วนการเช่ารถ เราก็ให้เจ้าของบ้านติดต่อให้เช่นกัน โดยบริษัทที่เราเช่าชื่อ Komos ซึ่งเป็น Local company ราคาเช่ารถ 3 วันก็ประมาณ 270 ยูโร รวมค่าประกัน แต่ปรากฏว่า รถที่เราได้มาเป็นรถเล็ก 4 ที่นั่ง แต่เรามี 5 คน + กระเป๋าดินทาง ซึ่งเราก็ต้องยัดทุกอย่างไปให้ได้ ปล. รถที่นี่พวงมาลัยซ้ายนะครับ ซึ่งแตกต่างจากไทยและอังกฤษ

ที่แรกที่ไปคือ White beach แต่ด้วยสภาพทางที่เป็นดินลูกรัง + GPS ที่ตอนนั้นทำงานไม่ค่อยปกติ + เวลาที่จำกัด ทำให้เราถอดใจและตัดสินใจมุ่งตรงไปยัง Red beach ซึ่งอยู่ไม่ไกลแทนครับ โดยจอดเมื่อจอดรถแล้ว เดินต่อไม่เกิน 5 นาที เราก็จะมาถึงจุดนี้ครับ
จากนั้นเดินต่ออีกนิดหน่อยก็จะมาถึงตัวหาด
Tips: ตอนไปเราลืมนึกถึงการหยิบผ้าไปปูรองนั่งเลยครับ ถ้าจะไปก็อย่าลืมหยิบติดไม้ติดมือไปด้วยนะครับ

เราใช้เวลาที่นี่จนพระอาทิตย์ตกครับ จากนั้นก็กลับไปทานข้าวเย็นแถวเมือง Fira ซึ่งก่อนออกจะมีร้านขายน้ำ + ขนม น้ำแตงโมปั่นอร่อยมากครับ หลังจากที่เพื่อนผมซื้อมากินแล้ว ก็ร้องเพลงแตงโมของจินตหราตลอดทางเลยครับ สงสัยอยากกินอีก

วันที่ 7 สค. 2017
วันต่อมาเราได้ไปขึ้นเรือทัวร์ที่ท่าเรือ Fira ซึ่งการลงไปยังท่าเรือนั้น มีอยู่ด้วยกัน 3 วิธีคือ
1. เดินเท้า 15 นาทีตาม google map ซึ่งด้วยทางที่ชันพอสมควร + อากาศที่ร้อน คิดว่าคงใช้เวลามากกว่านั้น
2. Cable car ไปกลับ ราคาประมาณ 10 euros
3. ขี่ลาต่อเที่ยวประมาณ 5 Euros
เราเลือกที่จะขึ้น Cable car ครับ ซึ่งใช้เวลาไม่กี่นาทีก็ลงมาถึงท่าเรือ จากนั้นเราก็เดินหาบริษัทที่ให้บริการครับและมาจบที่เรือที่ใช้เวลาประมาณ 4 ชม ในสนนราคา 26 euros ต่อคน แต่จำไม่ได้ว่าของบริษัทไหน โดยเรือจะพาเราไปยังสถานที่ท่องเที่ยวตามจุดต่างๆ เช่น

Volcanic Island of Nea Kameni ซึ่งจะมีเวลาให้เราลงไปเดินเล่นประมาณ 1-2 ชม. โดยเรือจะจอดอยู่ตรงนี้ ใครสนใจลงไปเดินก็ได้ ส่วนใครอยากอยู่บนเรือก็ตามสบายครับ
จากนั้นเรือก็จะพาเราไปยัง lava island Palea Kameni ซึ่งในจุดนี้เราจะต้องว่ายน้ำไปยังจุด Hot spring เองโดยเรือจะจอดรอเราประมาณ 50 – 60 นาที ปล. ผมเห็นบางคนเอาโคลนไปหน้ามาด้วย ตลกดีครับ
และสุดท้ายเรือก็จะพาเราไปยัง Oia (อ่านว่า “เอีย”) ก่อนจะพาเรากลับมาที่ Fira เหมือนเดิม
ตัวเมือง Fira เองก็เป็นจุดชมรับประทานข้าวเย็นพร้อมกับชมพระอาทิตย์ตกที่นิยมเหมือนกันครับ น่าจะรองจาก Oia
บรรยากาศเมืองยามค่ำคืนครับ

วันที่ 8 สค. 2017
วันนี้เรามุ่งหน้าไปที่ชายหาด Karanari (Black beach) ซึ่งมีเอกลักษณ์คือ หาดทรายสีดำและมีร่มชายหาดที่เหมือนหลังคากระต๊อบบ้านเรา ปล.ในกรณีที่เราจะนั่งบน beach chair ที่วางเรียงรายอยู่เต็มไปหมดนั้น ก็จะต้องเสียค่าใช้จ่าย ไม่ได้อยู่ในรูปตัวเงินแบบให้เปล่านะครับ แต่เป็นการที่ต้องสั่งอาหารกินจากร้านที่เป็นเจ้าของที่นั่งนั้นๆเป็นการแลกเปลี่ยน สำหรับผมถือว่าพอรับได้ครับ
Tips: เนื่องจากตามชายหาดมีลักษณะหินปนทราย ทำให้เวลาเดินตามชายหาด หรือ ตอนเล่นน้ำก็ตามจะเจ็บฝาเท้า ถ้าใครไม่อยากเจ็บเท้าแนะนำลองซื้อรองเท้าเดินชายหาดดูนะครับ ลักษณะพื้นจะเป็นแข็งๆหน่อย ราคาราวๆ 10 euros มีเต็มไปหมด รับรองใช้ดีนักแล

หลังจากเล่นน้ำเสร็จ เราก็เดินทางไปยังที่พักใหม่ที่ Oia พร้อมกับสัมภาระที่อัดแน่นท้ายรถ ซึ่งนำมาสู่ความ Peak แรกของทริป เหตุการณ์ในตอนนั้นคือ เราเลี้ยวเข้าที่พักผิดซอยครับและตอนขับกลับเข้าถนนหลักซึ่งเป็นทางชันพอสมควร ปรากฏว่ารถเหยียบไม่ขึ้นเพราะน้ำหนักน่าจะเกิน ทำให้ต้องดึงเบรกมือและให้ 3 คนที่นั่งเบาะท้ายต้องออกจากรถก่อนถึงจะไปต่อได้ นึกว่ารถจะไหลลงไปซะแล้ว

พอย้ายของเข้าที่พักใหม่เรียบร้อย เราก็เข้ามาเดินเล่นในเมืองพร้อมชมพระอาทิตย์ตก ขอบอกเลยว่า คนเยอะมากกกกกก สังเกตได้จากรูป
นอกจากนั้น เราก็พยายามหาจุดถ่ายรูปที่มีโบสถ์เรียงกัน 3 โบสถ์ ตาม reference ที่ได้มาจาก IG และ Postcard เราใช้เวลาหาอยู่พักใหญ่จนแสงเหลือน้อยลงทุกที และในที่สุดเราก็เจอจากการถามคนตามทางไปเรื่อยๆ จุดที่ผมหมายถึงก็คือ รู้สึกว่าจะอยู่แถวร้าน bvlgari
ส่วนอีกจุดที่น่าสนใจก็คือ จุดนี้ตาม google street view
วิวตอนกลางคืนในจุดดังกล่าวก็ประมาณนี้ครับ

วันที่ 9 สค. 2017
วันนี้เราต้องย้ายออกจากที่พักครับ เราจึงตัดสินใจจอดรถตรง Parking แถว Oia แล้วเก็บสัมภาระไว้ในรถ จากนั้นก็เดินชมเมืองในยามเช้า
จากนั้นก็ไม่ลืมแวะไปถ่ายรูป ณ จุดเมื่อวานอีกที
เราวางแผนที่จะลงไปทานอาหารกลางวันแถว Amoudi Bay ตอนเปิดจาก Google map ก็ยังดูไม่ไกล เดินไม่กี่นาที แต่เอาเข้าจริงแล้วเราต้องเดินลงบันไดหลายชั้นมาก เท่านั้นยังไม่พอยังต้องคอยหลบฝูงลาที่เดินขึ้นลงเผื่อรับส่งผู้โดยสารอีก แนะนำว่า ถ้าใครไม่ฟิตพอนั่งแท็กซี่ หรือ ขับรถไปดีกว่า (ถ้าขับรถไปอาจจะมีปัญหาเรื่องการจอดรถเพราะรถแถวนั้นเยอะมาก อาจจะต้องจอดแล้วเดินเท้าไปร้านอาหารแถวนั้น ยังไงก็ลองชั่งใจดูเอานะครับ)
วิว Amoudi Bay
หลังจากทานข้าวเสร็จ เราตั้งใจที่จะขี่ม้าขึ้นไปด้านบน แต่เนื่องจากการที่เราได้เห็นสภาพลาแต่ละตัวระหว่างที่เราเดินลงมาตอนแรกแล้ว เราทั้งหมดก็เปลี่ยนใจนั่งแท็กซี่กลับขึ้นมาทันที ดูสภาพแล้วมาเหนื่อยมาก ต้องมาตักแดด แบกน้ำหนักคนเดินขึ้นทางชัน น้ำก็ไม่มี ยอมรับว่าทำใจใช้บริการไม่ลงจริงๆครับ แต่ถ้าใครอยากลอง ประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิต  1 รอบ ถ้าจำไม่ผิดประมาณ 5 euros ครับ

เราต้องคืนรถที่ Fira ตอนประมาณบ่าย 4 โมงเย็น ซึ่งก็จะมีเวลาเหลือให้เราเดินเล่นรอขึ้นเครื่อง flight ดึกที่จองไว้ได้ ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นมีอยู่ 2 อย่างคือ 1 เราจะไปสนามบินอย่างไร เพราะดูแล้วไม่ค่อยเห็น taxi วิ่งตามถนนเลย  2. เราจะฝากกระเป๋าได้ที่ไหน เพราะการลากกระเป๋าใบใหญ่เดินเล่นในเมืองคงไม่ใช่เรื่องสนุก  เราตัดสินใจลองสอบถามพนักงานบริษัทเช่ารถเรื่องการเดินทางไปสนามบิน ซึ่งเขาบอกว่า เขาจะขับรถไปส่งเราทั้ง 5 คน + กระเป๋า โดยคิดราคา 30 Euros โดยให้มาเจอหน้าบริษัทตอนประมาณ 22.00 ส่วนเรื่องการฝากกระเป๋า ลอง search ว่า luggage storage Fira Santorini ก็น่าจะเจอครับ เป็นร้าน J & K souvenir อยู่ระหว่าง Euro bank กับ ร้านอาหาร Falafe land ค่าฝากรวมๆกัน 5 คนประมาณ 4-5 euros ต่อ ชม ครับ

และแล้วก็มาถึงจุด peak ที่ 2 ของทุกคนในทริป เมื่อถึงเวลานัดขึ้นรถ เราก็มารอรถหน้าบริษัท Kamos ตอนแรกเราตกลงกันไว้ว่า รถคันใหญ่ 1 คัน พาพวกเรา 5 คนพร้อมกระเป๋าเดินทางไปสนามบินในราคา 30 euros แต่ปรากฏว่า คนที่นัดไว้ (หนึ่งในนั้นคิดว่าน่าจะดูดปุ๊นมาด้วย) เอารถเล็กมา 2 คัน แล้ว charge ราคาเราเพิ่มเป็น 40 euros สำหรับ 2 คัน ซึ่งตอนนั้นเราก็ต้องจำใจขึ้นรถโดยแยกกันไป  ตอนนั้นแอบกังวลมากครับ เพื่อความปลอดภัยเราก็เลยรีบถ่ายทะเบียนรถ, share location แบบ live ใน Message Facebook กับรถอีกคัน และก็กด google map เช็คเส้นทางไปสนามบิน กฎว่ามันรถทั้ง 2 คันขับออกเส้นทางหลักเข้าป่า เท่านั้นแหละ ผมคิดในใจเลยว่า “งานเข้าแล้ว”

คันแรกที่ขับนำไปก่อนนั้นซึ่งมีเพื่อนผม 3 คน(หญิงล้วน)โดยสารไปด้วยได้ไปจอดอยู่ข้างทาง และมีการโทรคุยกับคันของผม(นั่งมากับน้องผู้หญิงอีกคน) ซึ่งแวะไปรับบุหรี่อยู่ตลอดเวลา ตอนแรกเราจะไม่ยอมจ่ายเงินจนกว่าจะถึงสนามบินครับ แต่เหมือนเขาก็พยายามบอกให้เราจ่ายเงินก่อน เหมือนบอกเป็นนัยๆ ว่า ถ้าไม่จ่ายก็ไม่ออก ตอนนั้นทำอะไรไม่ได้เลยครับ ต้องยอมจ่ายไป ยอมรับเลยครับว่าตอนนั้นใจเต้นแรงมาก เป็นห่วงทุกคน ส่วนรถอีกคันก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน โทรหาน้องอีกคนที่อยู่ UK แล้วหยิบปากกามาเตรียมใช้เป็นอาวุธป้องกันตัว  สุดท้ายถือเป็นความโชคดีของเราครับ เมื่อเขาได้เงินแล้วก็ขับลัดเข้าป่าไปโผล่สนามบิน ส่วนเราก็ตีหน้ายิ้มตอนลงพร้อมนึกในใจ “คราวหน้ากุจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว”
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่