คนที่กำกับดูแลกรมท่าในสมัย ร.1 ,3,4,5 คือใคร

อย่างที่พอทราบกันแล้ว บุคคลที่กำกับดูแลกรมท่าในสมัยร.2 คือ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ แล้วในรัชกาลอื่น ใครกันที่เป็นผู้กำกับดูแลกรมท่า
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
กรมท่าหรือกรมพระคลัง โดยปกติแล้วก็จะมีเจ้ากรมคือ เจ้าพระยาพระคลัง หรือเจ้าพระยาโกษาธิบดี (บางสมัยอาจเป็นแค่พระยา) เป็นผู้ควบคุมดูแลครับ แต่ในบางสมัยก็มีการตั้งพระราชวงศ์ขึ้นมากำกับราชการกรมนั้นอีกต่อหนึ่ง ซึ่งปรากฏตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๒ เป็นต้นมาครับ




สมัยรัชกาลที่ ๑


- เจ้าพระยาพระคลัง (สน)

ในสมัยธนบุรีเป็นพระยาพิพัฒน์โกษา ปลัดทูลฉลองกรมท่า   เมื่อรัชกาลที่ ๑ ครองราชย์จึงเลื่อนเป็นเจ้าพระยาพระคลังคนแรก   แต่ภายหลังลงไปส่งสำเภาหลวงที่เมืองสมุทรปราการ สำเภาจะข้ามสันดอนออกไป  เจ้าพระยาพระคลัง (สน) ส่งใบบอกมาว่าจะขอบายศรีศีรษะสุกร   รัชกาลที่ ๑ จึงรับสั่งว่าเลอะนักแล้ว จึงโปรดให้ลดตำแหน่งมาเป็นพระยาศรีอรรคราช ช่วยราชการในกรมท่าแทน



- เจ้าพระยาพระคลัง (หน)

เป็นข้าหลวงเดิมของรัชกาลที่ ๑   ในสมัยธนบุรีเป็นหลวงสรวิชิตนายด่านเมืองอุทัยธานี ซึ่งทำความดีความชอบส่งข่าวเกี่ยวกับกรุงธนบุรีให้รัชกาลที่ ๑ ขณะไปรบที่เขมร    เมื่อรัชกาลที่ ๑ ครองราชย์จึงเลื่อนเป็นพระยาพิพัฒน์โกษา ปลัดทูลฉลองกรมท่า     เมื่อเจ้าพระยาพระคลัง (สน) ถูกลดเป็นพระยาศรีอรรคราชจึงได้เลื่อนเป็นพระยาพระคลัง และได้เลื่อนเป็นเจ้าพระยาพระคลังต่อมา ถึงแก่อสัญกรรมใน พ.ศ. ๒๓๔๘ (พงศาวดารระบุว่าได้เป็นเจ้าพระยาตั้งแต่แรก แต่คำปรึกษาตั้งข้าราชการสมัยรัชกาลที่ ๑ ระบุว่าเป็น 'พระยาพระคลัง'   จดหมายเหตุเรื่องตั้งพระองค์เองเป็นสมเด็จพระนารายน์ราชาธิราชกรุงกัมพูชาใน พ.ศ. ๒๓๓๗ ยังเรียกว่า 'พระญาพระคลัง')  เป็นกวีคนสำคัญ มีผลงานประพันธ์และงานแปลหลายเรื่อง



- เจ้าพระยาพระคลัง (กุน)

นามเดิม กุน แซ่อึ้ง หรือ หวงจวิน (黃軍)  เป็นชาวจีนแต้จิ๋ว  บุตรคนที่ห้าของจีนกุ๋ย แซ่อึ้ง (黃貴) พ่อค้าสำเภา ตั้งบ้านเรือนอยู่ตำบลบ้านคลองโรงช้างเหนือเมืองราชบุรี  

จีนกุนเป็นเศรษฐีค้าสำเภา ตั้งบ้านเรือนบ้านปรกปากคลองแม่กลองฝั่งเหนือ แขวงเมืองสมุทรสงคราม  ในสมัยธนบุรีมารับราชการได้เป็นพระราชประสิทธิ์ เจ้ากรมพระคลังวิเศษ   ในสมัยรัชกาลที่ ๑ ได้เลื่อนเป็นพระยาศรีพิพัฒน์ จางวางกรมพระคลังสินค้า   หลังจากเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ถึงแก่อสัญกรรมจึงได้เลื่อนเป็นพระยาโกษาธิบดี  แล้วได้เป็นเจ้าพระยา  เรียกกันว่า "ท่านท่าเรือจ้าง"

เมื่อรัชกาลที่ ๒ ครองราชย์ ได้เลื่อนเป็นเจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ที่สมุหนายก ถึงแก่อสัญกรรมในรัชกาลที่ ๒ เป็นต้นสกุลรัตนกุล





สมัยรัชกาลที่ ๒

พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ทรงกำกับราชการกรมท่า มีเสนาบดีกรมท่าคือ


- เจ้าพระยาพระคลัง (กร)

เดิมเป็นปลัดกรมข้าหลวงเดิมในรัชกาลที่ ๒     เมื่อรัชกาลที่ ๒ ได้อุปราชาภิเษกเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลจึงโปรดให้เป็นพระยาไกรโกษา กรมท่าของวังหน้า และเมื่อรัชกาลที่ ๒ ครองราชย์จึงได้เป็นเจ้าพระยาพระคลัง (จดหมายเหตุช่วงต้นรัชกาลยังเรียกว่า 'พระยาโกษาธิบดี') ถึงแก่อสัญกรรมในรัชกาลที่ ๒



- เจ้าพระยาพระคลัง (สังข์)

เป็นเชื้อพระวงศ์ราชินิกุลบางช้าง  บุตรเจ้าคุณทองอยู่พี่นางในสมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี     รัชกาลที่ ๒ ทรงนับญาติเรียกว่า "พี่สังข์"    เมื่อรัชกาลที่ ๒  เป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลจึงทรงแต่งตั้งเป็นพระยาศรีสุริยวงศ์ จางวางมหาดเล็กวังหน้า   เมื่อรัชกาลที่ ๒ ขึ้นครองราชย์จึงย้ายมาเป็นจางวางมหาดเล็กวังหลวง   หลังจากเจ้าพระยาพระคลัง (กร) ถึงแก่อสัญกรรม จึงได้เลื่อนเป็นเจ้าพระยาพระคลัง เรียกกันว่า "เจ้าคุณโกษาสังข์"   

มีบันทึกว่าเจ้าพระยาพระคลัง (สังข์) หลงผู้หญิง ให้ภรรยาน้อยประทับตราบัวแก้ว (ตราประจำตำแหน่งเสนาบดีกรมท่า) กลับหัวลง  เมื่อรัชกาลที่ ๒ ทรงทราบจึงรับสั่งว่า "พี่สังข์เลอะนักแล้ว"  จึงโปรดเกล้าฯ ให้เชิญตราบัวแก้วไปรักษาที่พระคลังมหาสมบัติ เมื่อจะประทับจึงให้ไปที่พระคลังมหาสมบัติ   เวลานั้นกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ทรงกำกับกรมพระคลังมหาสมบัติอยู่ก่อนแล้ว  รัชกาลที่ ๒ จึงโปรดให้กำกับกรมท่าเพิ่มด้วย เพราะทรงเห็นว่ากรมหมื่นเจษฎาบดินทร์เป็นหลานเจ้าพระยาพระคลัง (กร) จะทำงานด้วยกันได้

เมื่อเจ้าพระยาวงศาสุรศักดิ์ (แสง) สมุหพระกลาโหมถึงแก่อสัญกรรม  รัชกาลที่ ๒ จึงเลื่อนเจ้าพระยาพระคลัง (สังข์) เป็นเจ้าพระยามหาเสนาที่สมุหพระกลาโหมแทน  ถึงแก่อสัญกรรมในต้นรัชกาลที่ ๓



- เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ)

เป็นบุตรเจ้าพระยาอรรคมหาเสนา (บุนนาค)    ในรัชกาลที่ ๑ เป็นนายสุดจินดาหุ้มแพรมหาดเล็ก แล้วเป็นหลวงศักดิ์นายเวรมหาดเล็ก แล้วเป็นจมื่นไวยวรนาถหัวหมื่นมหาดเล็ก     ในรัชกาลที่ ๒ ได้เป็นพระยาสุริยวงศ์มนตรี จางวางมหาดเล็กวังหน้า  หลังวังหน้าสวรรคตจึงย้ายกลับมารับราชการในวังหลวง    ใน พ.ศ. ๒๓๖๕ ได้ว่าที่โกษาธิบดี จึงได้เปลี่ยนราชทินนามเป็น "สุริยวงศ์โกษา"  ต่อมาได้เลื่อนเป็นเจ้าพระยาพระคลัง  เรียกกันว่า "เจ้าคุณพระคลัง" อยู่ในตำแหน่งยาวนานจนสิ้นรัชกาลที่ ๓





สมัยรัชกาลที่ ๓

เมื่อต้นรัชกาลโปรดให้กรมหมื่นสุรินทรรักษ์ พระปิตุลาที่ทรงนับถือเป็นพระสหายสนิท กำกับราชการกรมมหาดไทยและกรมท่า  และเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินด้วย (ทำนองที่ปรึกษากำกับราชการต่างพระเนตรพระกรรณ) แต่เมื่อกรมหมื่นสุรินทรรักษ์สิ้นพระชนม์ใน พ.ศ. ๒๓๗๓  ก็ไม่มีการตั้งพระราชวงศ์กำกับกรมท่าตลอดรัชกาล

ตลอดรัชกาลที่ ๓ มีเสนาบดีกรมท่าคนเดียวคือ เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ)     

หลังจากเจ้าพระยามหาเสนา (น้อย) ถึงแก่อสัญกรรมใน พ.ศ. ๒๓๗๓    รัชกาลที่ ๓ จะทรงเลื่อนเจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ) เป็นสมุหพระกลาโหม แต่ท่านปฏิเสธ อ้างว่า "ที่สมุหพระกลาโหมนั้นไม่ยั่งยืน ขอให้ตั้งผู้อื่น"   แต่รัชกาลที่ ๓ ไม่ทรงเห็นผู้อื่นจะเป็นได้   จึงโปรดให้ว่าที่สมุหพระกลาโหมไว้  เมื่อจะกราบทูลหรือลงชื่อในหนังสือจะออกนามว่า "เจ้าพระยาพระคลังว่าที่สมุหพระกลาโหม" ถือทั้งตราบัวแก้วและตราพระคชสีห์สองดวง
   
มีบันทึกว่าเจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ) ไม่ยอมเป็นสมุหพระกลาโหมเพราะไม่อยากทิ้งผลประโยชน์จากตำแหน่งเจ้าพระยาพระคลัง และท่านก็รู้ว่าไม่มีใครเหนือกว่าเหมาะจะเป็นกลาโหมมากกว่าท่าน จนรัชกาลที่ ๓ ทรงยอมให้ว่าราชการทั้งสองตำแหน่ง   ทำให้หมางใจกับพระยาศรีพิพัฒน์ (ทัต) น้องชายที่รอขึ้นเป็นเจ้าพระยาพระคลังต่อ





สมัยรัชกาลที่ ๔

รัชกาลที่ ๔ ทรงเลื่อน เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ) ว่าที่สมุหพระกลาโหม เป็น "สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยุรวงศ์" เพิ่มศักดินาเป็น ๓๐๐๐๐   พระราชทานกลด เสลี่ยงงา พระแสงประดับพลอยลงยาราชาวดี เป็นเครื่องสำหรับยศอย่างพระองค์เจ้าต่างกรม ให้สำเร็จราชการหัวเมืองปักษ์ใต้ฝ่ายเหนือทั้ง ๔ ทิศ ตลอดทั่วทั้งพระราชอาณาจักร ใช้ตราสุริยมณฑลเทพบุตรชักรถ   และยังคงถือตราบัวแก้วและตราพระคชสีห์ว่าราชการกรมท่าและกรมพระกลาโหมตามเดิม   มีจางวางทนาย ปลัดจางวาง สมุหบัญชี ประจำตัว

รัชกาลที่ ๔ ทรงแต่งตั้ง จมื่นราชามาตย์ (ขำ) ปลัดกรมพระตำรวจในซ้าย บุตรชายสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยุรวงศ์ เลื่อนเป็นเจ้าพระยาผู้ช่วยราชการในกรมท่า พระราชทานเครื่องยศพานทอง กระโถนทอง เต้าน้ำ กระบี่นาคสามเศียร ฝักประดับพลอยลงยาราชาวดี เรียกกันว่า "เจ้าพระยาผู้ช่วย"  เพราะสมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่ผู้เป็นบิดายังคงกุมอำนาจเป็นประธานของกรมท่าอยู่

ภายหลังได้เจ้าพระยาผู้ช่วยราชการกรมท่า (ขำ) ได้รับตำแหน่งเป็น "เจ้าพระยารวิวงศ์มหาโกษาธิบดี"  เข้าใจว่าหลังสมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่ถึงแก่พิราลัยใน พ.ศ. ๒๓๙๘  ได้เป็นเสนาบดีกรมท่าเต็มตัว   

ภายหลังเจ้าพระยารวิวงศ์ล้มป่วย รัชกาลที่ ๔ ทรงเห็นว่าอักษรต้นนามเป็นกาลกิณี จึงทรงเปลี่ยนราชทินนามใหม่ให้เป็น "เจ้าพระยาทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี" ใน พ.ศ. ๒๔๐๘    ต่อมาท่านขอออกจากราชการประจำเนื่องจากป่วยเป็นโรคตา (จึงเรียกกันว่า ‘กรมท่าตามืด’) ตำแหน่งเสนาบดีกรมท่าถูกปล่อยว่างไว้


แต่ในทางปฏิบัติ อำนาจดูแลราชการต่างประเทศในสมัยรัชกาลที่ ๔  อยู่ที่เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง) สมุหพระกลาโหม บุตรชายคนโตของสมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่   พี่ชายต่างมารดาของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ)      

เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง) ชำนาญงานต่างประเทศและช่วยราชการกรมท่าของบิดามาตั้งแต่ยังเป็นหลวงสิทธิ์นายเวรมหาดเล็กในรัชกาลที่ ๓  เมื่อรัชกาลที่ ๔ ครองราชย์จึงได้ว่าที่สมุหพระกลาโหม  ช่วยราชการของสมเด็จองค์ใหญ่ทั้งกลาโหมและกรมท่า  ในขณะที่เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ที่เป็นเจ้าพระยาผู้ช่วยเป็นเหมือนเลขาในกรมท่าเท่านั้น  

หลังจากสมเด็จเจ้าพระองค์ใหญ่ถึงแก่พิราลัย  เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง) เป็นสมุหพระกลาโหมเต็มตัว   เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ) เป็นเสนาบดีกรมท่าเต็มตัว   แต่อำนาจการต่างประเทศจริงอยู่กับเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์

ส่วนการให้เจ้านายกำกับกรมท่า  พบว่า พระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนวรจักรธรานุภาพ ทรงถือตราบัวแก้วกำกับกรมท่าอยู่  สันนิษฐานว่าได้กำกับหลังเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ) ออกจากตำแหน่ง





สมัยรัชกาลที่ ๕

รัชกาลที่ ๕ ขึ้นครองราชย์ใน พ.ศ. ๒๔๑๑  เดิมทรงพระราชดำริจะเลื่อนเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง) กับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ) เป็นสมเด็จเจ้าพระยา   แต่เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์กราบบังคมทูลขออย่าให้ทรงสถาปนาตัวท่านขึ้นเป็นสมเด็จเจ้าพระยา โดยอ้างว่าบิดาของท่านเป็นเจ้าพระยารับราชการมาได้ช้านาน ครั้นทรงสถาปนาเป็นสมเด็จเจ้าพระยา อยู่ได้ไม่เท่าใดก็ถึงพิราลัย จึงเกรงว่าถ้าตัวท่านเป็นสมเด็จเจ้าพระยาอายุจะสั้น  ทำให้เรื่องถูกระงับไป

ปีนั้นกรมขุนวรจักรธรานุภาพยังทรงกำกับราชการกรมท่า   ต่อมาในเดือน ๑๒ พระราชทานเลื่อนยศพระยาเทพประชุน (ท้วม) ปลัดทูลฉลองกรมพระกลาโหม เป็นผู้ช่วยกรมท่า     

พระยาเทพประชุน (ท้วม) เป็นบุตรสมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่ และเป็นน้องชายเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ)  เมื่อยังเป็นจมื่นราชามาตย์เคยเป็นสมาชิกคณะทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีกับอังกฤษใน พ.ศ. ๒๔๐๐ ทำหน้าที่เป็นผู้กำกับเครื่องราชบรรณาการ


เดือน ๔ ปลายปี พ.ศ. ๒๔๑๑ รัชกาลที่ ๕ โปรดให้เจ้าพระยาทิพากรวงศ์สำเร็จราชการกรมท่าตามเดิม  เรียกคืนตราจากกรมขุนวรจักรธรานุภาพ   กล่าวกันว่ากรมขุนวรจักรธรานุภาพไม่ถูกกับเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง) ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน จึงไม่ยอมเสด็จออกจากวังอีกเลย



เดือน ๖ พ.ศ. ๒๔๑๒  มีพระราชโองการสถาปนาเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง) เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ให้มีอำนาจได้สิทธิ์ขาดราชการทั้งปวง และให้สำเร็จสรรพอาชญาสิทธิ์ ถึงประหารชีวิตคนที่ควรจะถึงแก่อุกกฤษฐ์โทษได้  เพิ่มศักดินาเป็น ๓๐๐๐๐  ทรงดวงตราสุริยมณฑล มีจางวางทนาย ปลัดจางวาง สมุหบัญชี ประจำตัวเหมือนสมเด็จเจ้าพระยา

สถาปนาเจ้าพระยาทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี (ขำ)  ให้มีอำนาจได้สำเร็จราชกิจในการต่างประเทศ และเป็นที่ปรึกษาคิดอ่านราชการแผ่นดินด้วย  เพิ่มศักดินาเป็น ๒๐๐๐๐ ทรงดวงตราจันทร์พิมานมณฑล  มีจางวางทนาย ปลัดจางวาง สมุหบัญชี (ศักดินา และบรรดาศักดิ์จางวาง ปลัดจางวาง สมุหบัญชีต่ำกว่าเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์   เพราะเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ไม่ได้เป็นบุตรภรรยาหลวงของสมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่ ศักดิ์ในสกุลต่ำกว่าเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์)

เลื่อนพระยาเทพประชุน (ท้วม) เป็นเจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี ที่เจ้าพระยาพระคลัง  ถือศักดินา ๑๐๐๐๐  รัชกาลที่ ๕ ทรงเรียกว่า "ท่านกรมท่า"

ตราบัวแก้วที่เรียกคืนมาจากกรมหลวงวรจักรธรานุภาพ ให้ภูษามาลาเชิญลงเรือเอกชัยไปส่งมอบแก่เจ้าพระยาภาณุวงศ์


เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ถึงแก่พิราลัยใน พ.ศ. ๒๔๑๓   

เจ้าพระยาภาณุวงศ์ทำหน้าที่เป็นเสนาบดีกรมท่าจนถึง พ.ศ. ๒๔๑๘ ได้มีประกาศพระราชบัญญัติตั้งกระทรวงพระคลังมหาสมบัติขึ้น แยกราชการฝ่ายการคลังออกจากการต่างประเทศ  จึงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาภาณุวงศ์เป็นเสนาบดีผู้ว่าการต่างประเทศคนแรก

พ.ศ. ๒๔๒๘  เจ้าพระยาภาณุวงศ์มีอาการเจ็บป่วย จึงกราบบังคมทูลลาออกจากตำแหน่ง   รัชกาลที่ ๕ ทรงตั้งพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นเทววงศ์วโรปการ ดำรงตำแหน่งเสนาบดีผู้ว่าการต่างประเทศแทน  โดยให้เจ้าพระยาภาณุวงศ์ยังอยู่ในสถานะเสนาบดีตามเดิม โดยเป็นที่ปรึกษาราชการ


กรมท่าในสมัยโบราณก็ได้พัฒนามาเป็นกระทรวงการต่างประเทศในรัชกาลที่ ๕ ครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่