ประสบการณ์หางานและทำงานประจำที่ประเทศญี่ปุ่น
สวัสดีคะวันนี้อยากจะมาขอแชร์ประสบการณ์การหางาน และ ได้ทำงานประจำ ที่ประเทศญี่ปุ่น.
ปัจจุบันเราทำงาน ในตำแหน่ง Global Talen Acquisition Specialist ณบริษัท International Staffing firm (บริษัทจัดหางาน) ที่ประเทศญี่ปุ่น ทำตำแหน่งนี้มาจะครบสองปีแล้วค่ะ แต่ก่อนหน้านั้นเราทำงานเป็นครูสอนเด็กที่ญี่ปุ่น 3 ปีกว่า ๆ
เราจะเล่าแบบละเอียด มันอาจจะยาวหน่อย เลยจะแบ่งเป็นสองภาคแล้วกันนะ ภาคแรก ขอเล่าเกียวกับการสมัครเป็นครูสอนเด็กนะ
เส้นทางการหางานที่ญี่ปุ่นของเรา ก่อนจะย้ายมาที่ญี่ปุ่น เราก็เคยทำงานรูครูทมาก่อน แต่พอแต่งงานเลยต้องลาออกและย้ายมาญี่ปุ่น แต่คิดมาตลอดว่าอยากทำงานสายเดิมต่อ แต่ตอนนั้นเราไม่ได้ภาษาญี่ปุ่นเลย
ช่วงปีแรกที่ญี่ปุ่นก็ปรับตัวและเรียนภาษาญี่ปุ่นไปด้วย ทำงานพิเศษไป อย่างสอนภาษาไทย ภาษาอังกฤษ จริง ๆ เคยไปสมัครงานสายรูครูทกับบริษัทเก่าสาขาที่นี่นะ เจ้านายเขาก็แนะนำให้ด้วย แต่ช่วงแรก ๆ ภาษาไม่ได้เลย เลยไม่ผ่าน คือถ้าจะทำงานออฟฟิศที่ญี่ปุ่นได้ ภาษาญี่ปุ่นก็ต้องเทียบเท่าคนญี่ปุ่น ไม่ต้องได้ระดับ 1
เราก็เลยมองหาเส้นทางเส้นใหม่ อะไรเป็นจุดแข็งตัวเอง ณ ตอนนี้ ก็คงจะเป็นภาษาอังกฤษ งั้นก็ไปทางงานสอนเด็กดีไหม
แต่ แต่ งานสอนเด็ก คนฝรั่งก็มีอยู่เต็มญี่ปุ่นเลย จะแข่งกับเขาก็ไม่ได้ เพราะหน้าเราก็เอเชีย และไม่ใช่เจ้าของภาษา ประสบการณ์สอนเด็กก็ไม่มี. แต่เมื่อไม่มี ก็ต้องสร้างมันขึ้นมา เราถึงขนาดไปขอลิสต์โรงเรียนอินเตอร์จากเขต แล้วส่งอีเมลล์ขอเป็นอาสาสมัครผู้ช่วยอาจารย์.
แต่.........ก็ถูกปฎิเสธมาซะส่วนใหญ่ บางส่วนก็ไม่ตอบเลย ฮ่า ๆ เมื่อไม่ได้ทางนี้ ก็หาทางใหม่ นั่งเปิดยูทูปดูวิธีการสอน เก็บข้อมูล แล้วก็เปิดคลาสสอนเองแถวบ้าน ราคาถูก ๆ เพราะคิดแค่ว่าต้องลงเอาประสบการณ์จริง เปิดคอร์สสอนแม่และเด็กเล็ก ก็ได้เพื่อนที่เป็นแม่ ๆ เพิ่มก็สนุกดี และยิ่งรู้สึกชอบการสอนเด็ก พอทำมาได้ สัก 1 ปี และด้วยความที่เรามีเพื่อนเป็นแม่คนญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นภาษาญี่ปุ่นเราก็กระเตื้องขึ้นมาอีกหน่อย เลยตัดสินใจหาสมัครงาน ผู้ช่วยสอนภาษาอังกฤษ เพราะรู้ว่าหลัก ๆ เขาต้องเอาครูฝรั่งเป็นหลัก
พอดีมีโรงเรียนกำลังจะเปิดใหม่ เจอประกาศทางเน็ตเว็บ indeed ก็ลองกรอกใบสมัครผ่านเว็บดู เป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด มึน ๆ งง ๆ บ้าง ใช้ครูกูเกิ้ลช่วยเอา
ผ่านไป 1 วันได้รับการติดต่อไปสัมภาษณ์ ดีใจเนื้อเต้นมากกกกกกกก
ระหว่างนี้เราก็เตรียมตัวให้พร้อมในการสัมภาษณ์ ฝึกพูดแนะนำตัวเองหน้ากระจกทุกวัน จนเริ่มคล่องขึ้น
วันสัมภาษณ์ เราไปถึงก่อนเวลาเยอะมาก และคนสัมภาษณ์ก่อนหน้าเราก็เสร็จช้า รอนานเลย (ตื่นเต้นนานด้วย) พอเข้าไปห้องสัมภาษณ์ คนสัมภาษณ์เป็นผู้หญิงซึ่งเป็นเจ้าของบริษัท ที่สำคัญท่านพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย (แต่จะเปิดโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษนะ คือท่านมีหลายธุรกิจและ ภาษาอังกฤษเริ่มบูมเลยมาจับธุรกิจตัวนี้)
อันดับแรก ท่านให้ทำข้อสอบวัดไอคิว และบุคคลิกภาพ ภาษาญี่ปุ่นล้วน ๆ มี 7 หน้าได้ ให้เวลา 10 นาที เห็นว่าเป็นคนต่างชาติ แถมเวลาให้ เป็น 15 นาทีแล้วกัน
แม่เจ้า
ผ่านไป 5 นาที เพิ่งทำได้หน้าเดียว งั้นหลับตามั่ว ๆ ไปเลยแล้วกัน ฮือ ๆๆๆ (ตกแน่ ๆ ตรู รู้เลย)
แล้วก็ได้เข้ากระบวนการสัมภาษณ์ ท่านก็ให้แนะนำตัว เอาก็ตามประสีประสาที่เราจะท่องมา แล้วก็ถามตอบ ซึ่งเราก็ ยิ้มแย้มและตอบด้วยความกระตือรือร้นตลอด ท่านก็ถามทำไมถึงมาสมัครงาน ก็ตอบสวย ๆ นางงาม ๆ ว่ารักเด็กค่ะ และอยากช่วยให้เด็กญี่ปุ่นได้เรียนและสนุกกับอังกฤษ ที่สำคัญช่วยดูแลเด็ก ๆ แทนคุณแม่ที่เอาลูกมาฝากเรียน คุณแม่ที่เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันจะได้มีเวลาผ่อนคลาย ( โอ้ มงลง ๆ )
ท่านก็พูดตรง ๆ นะว่า ตำแหน่งจริง ๆ หาคนญี่ปุ่น ที่พูดภาษาอังกฤษได้ดี เพราะครูเนทีฟจัดไว้แล้ว แต่เห็นใบสมัครของเราเห็นถึงความตั้งใจก็สนใจอยากคุยดู วันนี้สัมภาษณ์มาหลายคนเลย บางคนจบโทไดมาก็มี ( ใจแป้วแล้วสิตรู)
ท่านก็อธิบาย เกี่ยวกับโรงเรียนที่จะเปิดในเดือนหน้า แล้วก็ถามว่าเคยมีประสบการณ์สอนเด็กไหม ตอนนี้เราก็เล่าได้เต็มปากเลยว่า เราเคยสอนมา ตอนจะปิดท้าย เราขออ่านนิทานเด็กให้ท่านฟัง (คือ กิจกรรมที่ชอบทำเวลาสอนเด็กคือ อ่านนิทานให้เด็กฟัง เราเอาหนังสือเด็กพกไปด้วยนะ ) จากนั้น ท่านก็บอกว่า อีก 2 -3 วันจะติดต่อกลับไป และจะมีบริษัทที่โตเกียวโทรไปเช็คภาษาอังกฤษของเราอีกที
หลังจากนั้นอีก 2 วันได้รับโทรศัพท์ โทรเช็คภาษาอังกฤษ ก็คุย ๆ สัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษผ่านทางโทรศัพท์ เขาบอกว่าภายใน 1 อาทิตย์จะโทรมาแจ้งผล.
เป็นการรอคอยที่ทรมาน
ใจมันก็อยากได้งาน แต่ก็ปลอบใจตัวเองไว้ ว่า ถึงไม่ได้ การสัมภาษณ์ครั้งนี้ เป็นประสบการณ์ที่ดีในชีวิต.
ผ่านไป 5 วันได้รับโทรศัพท์จากท่านประธาน โทรมาแจ้งผลว่า ท่านรับเราเข้าทำงานนะ ความสดใส ความกระตือรือร้นและเห็นถึงความตั้งใจ เลยตัดสินใจเลือก ( จากคนสมัครเกือบยี่สิบคน)
ดีใจสุด และเราได้เริ่มงาน กับโรงเรียนนี้ ถึงถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก ๆ เลย
ทำงานนี้ 3 ปีกว่าเลยนะ มีความสุขกับงานนี้ทุกวัน แต่โชคชะตานำพา ให้เปลี่ยนเส้นทางใหม่
ติดตามภาคสอง ตามล่าหางานต่อไป
ประสบการณ์ หางาน และได้งานประจำที่ญี่ปุ่น ภาค 1
สวัสดีคะวันนี้อยากจะมาขอแชร์ประสบการณ์การหางาน และ ได้ทำงานประจำ ที่ประเทศญี่ปุ่น.
ปัจจุบันเราทำงาน ในตำแหน่ง Global Talen Acquisition Specialist ณบริษัท International Staffing firm (บริษัทจัดหางาน) ที่ประเทศญี่ปุ่น ทำตำแหน่งนี้มาจะครบสองปีแล้วค่ะ แต่ก่อนหน้านั้นเราทำงานเป็นครูสอนเด็กที่ญี่ปุ่น 3 ปีกว่า ๆ
เราจะเล่าแบบละเอียด มันอาจจะยาวหน่อย เลยจะแบ่งเป็นสองภาคแล้วกันนะ ภาคแรก ขอเล่าเกียวกับการสมัครเป็นครูสอนเด็กนะ
เส้นทางการหางานที่ญี่ปุ่นของเรา ก่อนจะย้ายมาที่ญี่ปุ่น เราก็เคยทำงานรูครูทมาก่อน แต่พอแต่งงานเลยต้องลาออกและย้ายมาญี่ปุ่น แต่คิดมาตลอดว่าอยากทำงานสายเดิมต่อ แต่ตอนนั้นเราไม่ได้ภาษาญี่ปุ่นเลย
ช่วงปีแรกที่ญี่ปุ่นก็ปรับตัวและเรียนภาษาญี่ปุ่นไปด้วย ทำงานพิเศษไป อย่างสอนภาษาไทย ภาษาอังกฤษ จริง ๆ เคยไปสมัครงานสายรูครูทกับบริษัทเก่าสาขาที่นี่นะ เจ้านายเขาก็แนะนำให้ด้วย แต่ช่วงแรก ๆ ภาษาไม่ได้เลย เลยไม่ผ่าน คือถ้าจะทำงานออฟฟิศที่ญี่ปุ่นได้ ภาษาญี่ปุ่นก็ต้องเทียบเท่าคนญี่ปุ่น ไม่ต้องได้ระดับ 1
เราก็เลยมองหาเส้นทางเส้นใหม่ อะไรเป็นจุดแข็งตัวเอง ณ ตอนนี้ ก็คงจะเป็นภาษาอังกฤษ งั้นก็ไปทางงานสอนเด็กดีไหม
แต่ แต่ งานสอนเด็ก คนฝรั่งก็มีอยู่เต็มญี่ปุ่นเลย จะแข่งกับเขาก็ไม่ได้ เพราะหน้าเราก็เอเชีย และไม่ใช่เจ้าของภาษา ประสบการณ์สอนเด็กก็ไม่มี. แต่เมื่อไม่มี ก็ต้องสร้างมันขึ้นมา เราถึงขนาดไปขอลิสต์โรงเรียนอินเตอร์จากเขต แล้วส่งอีเมลล์ขอเป็นอาสาสมัครผู้ช่วยอาจารย์.
แต่.........ก็ถูกปฎิเสธมาซะส่วนใหญ่ บางส่วนก็ไม่ตอบเลย ฮ่า ๆ เมื่อไม่ได้ทางนี้ ก็หาทางใหม่ นั่งเปิดยูทูปดูวิธีการสอน เก็บข้อมูล แล้วก็เปิดคลาสสอนเองแถวบ้าน ราคาถูก ๆ เพราะคิดแค่ว่าต้องลงเอาประสบการณ์จริง เปิดคอร์สสอนแม่และเด็กเล็ก ก็ได้เพื่อนที่เป็นแม่ ๆ เพิ่มก็สนุกดี และยิ่งรู้สึกชอบการสอนเด็ก พอทำมาได้ สัก 1 ปี และด้วยความที่เรามีเพื่อนเป็นแม่คนญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นภาษาญี่ปุ่นเราก็กระเตื้องขึ้นมาอีกหน่อย เลยตัดสินใจหาสมัครงาน ผู้ช่วยสอนภาษาอังกฤษ เพราะรู้ว่าหลัก ๆ เขาต้องเอาครูฝรั่งเป็นหลัก
พอดีมีโรงเรียนกำลังจะเปิดใหม่ เจอประกาศทางเน็ตเว็บ indeed ก็ลองกรอกใบสมัครผ่านเว็บดู เป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด มึน ๆ งง ๆ บ้าง ใช้ครูกูเกิ้ลช่วยเอา
ผ่านไป 1 วันได้รับการติดต่อไปสัมภาษณ์ ดีใจเนื้อเต้นมากกกกกกกก
ระหว่างนี้เราก็เตรียมตัวให้พร้อมในการสัมภาษณ์ ฝึกพูดแนะนำตัวเองหน้ากระจกทุกวัน จนเริ่มคล่องขึ้น
วันสัมภาษณ์ เราไปถึงก่อนเวลาเยอะมาก และคนสัมภาษณ์ก่อนหน้าเราก็เสร็จช้า รอนานเลย (ตื่นเต้นนานด้วย) พอเข้าไปห้องสัมภาษณ์ คนสัมภาษณ์เป็นผู้หญิงซึ่งเป็นเจ้าของบริษัท ที่สำคัญท่านพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย (แต่จะเปิดโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษนะ คือท่านมีหลายธุรกิจและ ภาษาอังกฤษเริ่มบูมเลยมาจับธุรกิจตัวนี้)
อันดับแรก ท่านให้ทำข้อสอบวัดไอคิว และบุคคลิกภาพ ภาษาญี่ปุ่นล้วน ๆ มี 7 หน้าได้ ให้เวลา 10 นาที เห็นว่าเป็นคนต่างชาติ แถมเวลาให้ เป็น 15 นาทีแล้วกัน
แม่เจ้า
แล้วก็ได้เข้ากระบวนการสัมภาษณ์ ท่านก็ให้แนะนำตัว เอาก็ตามประสีประสาที่เราจะท่องมา แล้วก็ถามตอบ ซึ่งเราก็ ยิ้มแย้มและตอบด้วยความกระตือรือร้นตลอด ท่านก็ถามทำไมถึงมาสมัครงาน ก็ตอบสวย ๆ นางงาม ๆ ว่ารักเด็กค่ะ และอยากช่วยให้เด็กญี่ปุ่นได้เรียนและสนุกกับอังกฤษ ที่สำคัญช่วยดูแลเด็ก ๆ แทนคุณแม่ที่เอาลูกมาฝากเรียน คุณแม่ที่เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันจะได้มีเวลาผ่อนคลาย ( โอ้ มงลง ๆ )
ท่านก็พูดตรง ๆ นะว่า ตำแหน่งจริง ๆ หาคนญี่ปุ่น ที่พูดภาษาอังกฤษได้ดี เพราะครูเนทีฟจัดไว้แล้ว แต่เห็นใบสมัครของเราเห็นถึงความตั้งใจก็สนใจอยากคุยดู วันนี้สัมภาษณ์มาหลายคนเลย บางคนจบโทไดมาก็มี ( ใจแป้วแล้วสิตรู)
ท่านก็อธิบาย เกี่ยวกับโรงเรียนที่จะเปิดในเดือนหน้า แล้วก็ถามว่าเคยมีประสบการณ์สอนเด็กไหม ตอนนี้เราก็เล่าได้เต็มปากเลยว่า เราเคยสอนมา ตอนจะปิดท้าย เราขออ่านนิทานเด็กให้ท่านฟัง (คือ กิจกรรมที่ชอบทำเวลาสอนเด็กคือ อ่านนิทานให้เด็กฟัง เราเอาหนังสือเด็กพกไปด้วยนะ ) จากนั้น ท่านก็บอกว่า อีก 2 -3 วันจะติดต่อกลับไป และจะมีบริษัทที่โตเกียวโทรไปเช็คภาษาอังกฤษของเราอีกที
หลังจากนั้นอีก 2 วันได้รับโทรศัพท์ โทรเช็คภาษาอังกฤษ ก็คุย ๆ สัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษผ่านทางโทรศัพท์ เขาบอกว่าภายใน 1 อาทิตย์จะโทรมาแจ้งผล.
เป็นการรอคอยที่ทรมาน
ผ่านไป 5 วันได้รับโทรศัพท์จากท่านประธาน โทรมาแจ้งผลว่า ท่านรับเราเข้าทำงานนะ ความสดใส ความกระตือรือร้นและเห็นถึงความตั้งใจ เลยตัดสินใจเลือก ( จากคนสมัครเกือบยี่สิบคน)
ดีใจสุด และเราได้เริ่มงาน กับโรงเรียนนี้ ถึงถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก ๆ เลย
ทำงานนี้ 3 ปีกว่าเลยนะ มีความสุขกับงานนี้ทุกวัน แต่โชคชะตานำพา ให้เปลี่ยนเส้นทางใหม่
ติดตามภาคสอง ตามล่าหางานต่อไป