นี่ไหม? คำตอบของกระทู้ปัญหาหลายๆกระทู้การเงิน มาคุยกันค่ะ (กระทู้ยาว เห็นภาพรวม)

กระทู้สนทนา
::: เมื่อ `ค่านิยม´ ของคนยุคนี้ กับ `สภาวะเศรษฐกิจ´ ดันไปกันคนละทาง :::
โดย นรินทร์ โอฬารกิจอนันต์

ค่านิยมสมัยใหม่ จะสอนให้หันมาออมเงินเพื่อวัยเกษียณ ลงทุนในหุ้น
ทำงานอิสระ ทำธุรกิจส่วนตัว เป็นนายของตัวเอง
แต่ถ้าเราลองมองสภาวะแวดล้อม กลับพบว่า...มันไม่ได้เอื้อกับ `ค่านิยม´ เหล่านั้นเลย
พอทุกคนเริ่มหันมาตื่นตัวเรื่องการออมเพื่อวัยเกษียณ
เพราะสังคมสมัยใหม่เป็นสังคมเมือง อยู่เป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น อยู่คนเดียวมากขึ้น
ไม่มีใครให้พึ่งพา ทุกคนจำเป็นต้องมีเงินก้อนไว้พึ่งพาตอนแก่
ก็พอเหมาะพอเจอพอดีกับ ยุคดอกเบี้ยเงินฝากต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์
...ออมไปก็แทบไม่ได้ดอกเบี้ย

หลัง ๆ ก็เริ่มหนักข้อขึ้นอีก ถึงขนาดหลาย ๆ ธนาคารไม่ให้ดอกเบี้ยแล้ว
ในต่างประเทศก็ไปไกลถึงขนาดเก็บค่าฝากเงิน ซึ่งทั้งหมดดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องชั่วคราว
แต่เป็นแนวโน้มที่จะสุดโต่งขึ้นไปอีกในอนาคต
.
.
---------------------------------------------------------------------
ค่านิยมสมัยใหม่ ไม่ชอบการทำงานประจำ ที่ต้องคอยทำตามคำสั่ง แต่ให้ทำงานด้วยใจ
ทำในสิ่งที่ชอบ จะได้มีไฟ มีจิตวิญญาณ มีความสุขกับการทำงาน
แต่สภาพแวดล้อมในสมัยใหม่...
ดูเหมือนจะมีช่องว่างให้กับธุรกิจส่วนตัว หรือ SME น้อยลงกว่าสมัยก่อนมาก
ธุรกิจขนาดใหญ่มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จากการควบรวมกิจการ
และข้อได้เปรียบจากการประหยัดต่อขนาด
ร้านค้าตึกแถวเริ่มหาคนซื้อยากขึ้นทุกวัน เพราะรถติดมากหาที่จอดรถได้ยาก
และคนสมัยใหม่ก็ชอบซื้อของในห้างสรรพสินค้ามากขึ้น
เพราะสะดวกสบาย ประหยัดเวลา มีที่จอดรถ
หาบเร่แผงลอยก็ถูกปราบปราม
และร้านสะดวกซื้อก็ขายสินค้าอย่างเดียวกับหาบเร่แผงลอยไปเรื่อย ๆ
มาตรฐานสินค้าต่าง ๆ ทำให้บริษัทที่จะส่งออกได้ต้องเป็นบริษัทขนาดใหญ่
ที่มีทรัพยากรมากพอที่จะ comply กับมาตรฐานเหล่านี้ได้มากขึ้น
ช่องว่างของธุรกิจขนาดเล็กทุกวันนี้จะเหลือแต่ธุรกิจที่ creative มาก ๆ หรือแฟชั่นมาก ๆ
รายได้ไม่แน่นอน ไม่ยั่งยืน ทำให้ไม่เหมาะกับธุรกิจขนาดใหญ่
.
.
ถ้าเป็นธุรกิจแบบเก่า ธรรมดา ๆ บริษัทเกิดใหม่แทบจะแทรกตัวเข้าไปไม่ได้แล้ว
...เพราะขนาดคนเก่ายังอยู่ไม่ได้เลย
เจ้าของ SME ทุกวันนี้ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ลงทุนเพิ่ม แค่ประคองธุรกิจเดิมไปวัน ๆ
เอาเงินที่ได้ไปซื้อบ้าน ซื้อคอนโด ซื้อทอง ซื้อหุ้น เล่นแชร์ลูกโซ่ แทน
...เพราะยังดูมีหวังจะได้กำไรมากกว่า
.
.
---------------------------------------------------------------------
การที่สตาร์ทอัพทุกวันนี้ต้องเน้นไปที่การทำลายระบบเก่าทั้งหมดลง (disruptive)
ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่สะท้อนว่าตลาดมันแน่นไปหมดแล้ว คนเก่าคุมตลาดได้หมดแล้ว
ทำให้ไม่เหลือช่องว่างให้คนใหม่เข้าไปได้แล้ว
จนต้องทำลายระบบบทั้งหมดเท่านั้นถึงจะเจาะเข้าไปได้
อาชีพฟรีแลนซ์ก็เป็นอาชีพที่ทำยากขึ้น เพราะทุกคนต้องพะวงกับเงินเก็บในวัยเกษียณ
...ยากที่จะเข้ามาเสี่ยงกับชีวิตที่มีรายได้ไม่แน่นอน
งานประจำกลายเป็นอาชีพที่ดีกว่า ถ้าหากมองในแง่...ความจำเป็น
...ที่คนเราจะต้องมีรายได้ประจำแน่นอนไว้สำหรับการออมเงินเพื่อวัยเกษียณ

คนในยุคเบบี้บูม ดูเหมือนจะโชคร้ายที่เกิดมาพร้อม ๆ กันเยอะ ๆ
แต่เอาเข้าจริง ๆ กลับเป็นคนยุคที่โชคดี เพราะเกิดหลังสงครามโลก
ที่ทำลายทุกอย่างลงไปจนหมด ทุนก่อนหน้านั้นล้มสลายไปแล้ว
ทุกคนต้องเริ่มสะสมทุนใหม่พร้อม ๆ กัน ทำให้เกิดช่องว่างทางธุรกิจมากมายมหาศาล
ที่จะต้องช่วยกันสร้างเมืองขึ้นมาใหม่
.
.

คนยุคเบบี้บูมกลับเป็นคนยุคที่ได้เป็นเจ้าของกิจการเยอะมาก ๆ
(แต่คนยุคนั้นกลับมีค่านิยมเรื่องให้ลูกเรียนสูง ๆ เพื่อให้ลูกไปทำงานบริษัท ได้เงินเดือนมาก ๆ)
ยุคนั้นเป็นยุคที่ใครเปิดโรงงานได้ รวยแน่นอน เพราะความต้องการสินค้ามีมากกว่าซัพพลายสินค้า
แต่พอมาถึงยุค GenME พวกเบบี้บูมที่สร้างฐานมาก่อน ยึดหัวหาดทางธุรกิจไปหมดแล้ว
สมัยนี้แค่เปิดโรงงานได้ก็ใช่ว่าจะรอด เพราะไม่รู้จะขายใคร มีแต่คู่แข่ง ไม่มีลูกค้า
การสร้างธุรกิจใหม่ในยุค GenME มันยากขึ้น
แต่คนยุค GenME กลับมีค่านิยมไม่อยากไปเป็นลูกจ้าง แต่จะพยายามสร้างธุรกิจใหม่แทน
ไม่รู้ว่ามันเกี่ยวกับการที่ทุกคนแห่กันนิยมเหมือน ๆ กัน
...ทำให้สิ่งนั้น ๆ ได้ผลตอบแทนน้อยลงหรือเปล่า
แต่คิดว่าน่าจะมีปัจจัยอื่น ๆ ด้วยที่ทับถมกันในเวลานี้พอดี
.
.
---------------------------------------------------------------------
ดอกเบี้ยต่ำมีหลายสาเหตุ แต่สาเหตุหนึ่งที่สำคัญเลย คือการที่ธุรกิจสมัยนี้มีการลงทุนน้อยลง
เพราะชนิดของการลงทุนเปลี่ยนไปจาก...
capital intensive กลายเป็น asset light หรือ intellectual property
...ทำให้ความต้องการสินเชื่อมีน้อยลงมาก
ในเวลาเดียวกัน ทุนขนาดใหญ่ของเบบี้บูม ก็เหลือเงินเก็บมหาศาลที่ไม่รู้ว่าจะเอาไปวางไว้ที่ไหน
เพราะไม่รู้จะลงทุนอะไร เพราะหาคนซื้อของไม่ได้
ซึ่งเกิดจากการกระจายรายได้ที่แย่ลงเรื่อย ๆ
รายได้ของบริษัทขนาดใหญ่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเทียบกับรายได้ประชาชาติ
ทำให้คนที่มีเงินมาซื้อสินค้าของบริษัทขนาดใหญ่เหล่านี้มีน้อยลงเรื่อย ๆ
เพราะรายได้ที่เป็นเงินเดือนของผู้บริโภคมีสัดส่วนที่น้อยลง
...เมื่อเทียบกับรายได้ขององค์กรขนาดใหญ่
ทำให้บริษัทขนาดใหญ่ขายของไม่ค่อยได้ เพราะขาดคนซื้อ เศรษฐกิจทั้งระบบก็ฝืดเคือง
ของเก่ายังขายยากเลย จะลงทุนใหม่ทำไม ทำให้ยิ่งไม่มีการลงทุน
เศรษฐกิจก็ยิ่งฝืด เงินล้นแบงก์ ทำให้ดอกเบี้ยต้องต่ำ
เพราะแบงก์หาที่ปล่อยสินเชื่อได้น้อยจึงไม่ต้องการได้เงินฝากเหมือนสมัยก่อน
...ทุกอย่างวนไปเป็นงูกินหาง
.
.

เมื่อฝากเงินไม่ได้ดอกเบี้ย ทำธุรกิจก็มีโอกาสขายไม่ออกมาก
เงินก็ไหลไปยังตลาดสินทรัพย์ทุกรูปแบบ
ทั้งอสังหาริมทรัพย์ หุ้น ทองคำ คอมโม กลายเป็นการเก็งกำไรสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดการจ้างงาน
มีแต่การเปลี่ยนมือไปมากของสินค้า เพื่อหวังกำไรส่วนต่าง
เมื่อราคาของเหล่านี้เพิ่มขึ้นไปมาก ๆ คนที่ต้องการสินค้าเหล่านั้นจริง ๆ
เช่น ต้องมีบ้านอยู่ คนจนต้องเติมน้ำมัน
กลายเป็นคนที่ได้รับผลกระทบค่าครองชีพที่สูงขึ้นจากแรงเก็งกำไร
.
.
---------------------------------------------------------------------
การลดดอกเบี้ยของรัฐก็ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
เพราะต้นตอของปัญหาคือ...ไม่มีโอกาสในการลงทุน
เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่เพราะดอกเบี้ยแพง
กลายเป็นว่านโยบายการเงินกลับไปสร้างปัญหาฟองสบู่ ที่นำไปสู่วิกฤตอยู่เรื่อย ๆ
ซึ่งทำให้คนต้องอยู่อย่างยากลำบากหลังวิกฤตทุก ๆ 10 ปี
เพื่อแลกกับการทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจดูดีในระยะสั้น
.
.

ความต้องการที่จะเก็งกำไรมันสูงมากขนาดที่สินค้าอย่าง bitcoin ที่ไม่มีตัวตนอะไรเลย
กลับมีราคาพุ่งขึ้นเรื่อย ๆ ได้ดีมากกว่าสินค้าอย่าง ทองแดงหรือน้ำมันเสียอีก
เพราะ bitcoin ไม่ต้องติดภาพลบของเศรษฐกิจที่ยังไม่ดีขึ้น
และการที่ดอกเบี้ยถูกกดให้ต่ำลงมาก ๆ
...ก็บีบคั้นให้คนแสวงหาวิธีการสร้างผลตอบแทนให้เงินเก็บแบบใหม่ ๆ มากขึ้น
...มองข้ามความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นไป ทำให้แชร์ลูกโซ่ได้รับความนิยมขึ้นมา
.
.
---------------------------------------------------------------------

ปัญหาแบบนี้เป็นปัญหาที่แก้ยากในทางการเมือง
เพราะเวลาที่ทุกคนรู้ว่าถ้าปล่อยไว้ เค้กจะหดลงเรื่อย ๆ
แต่ถ้าปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแล้ว ส่วนแบ่งเค้กของบางภาคส่วนจำเป็นจะต้องหดสั้นลง
และภาคส่วนนั้นก็เป็นภาคส่วนที่มีเสียงดังกว่าภาคส่วนอื่นในสังคม
ภาคส่วนนั้นก็ยินดีที่จะปล่อยให้เค้กทั้งก้อนหดลงเรื่อย ๆ มากกว่า
...จนกว่าจะถึงจุดที่ไปต่อไม่ได้แล้วจริง ๆ
ดังนั้นก็คิดว่า...
คนยุคนี้คงต้องอยู่กับสภาวะแบบนี้ไปอีกนานเลยทีเดียว

---------------------------------------------------------------------

Credit บทความ : นรินทร์ โอฬารกิจอนันต์

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่