ถ้าเราไม่ก้าวออกจากconfort zone เราจะไม่มีทางได้รู้เลยว่า ตัวเราเอง มีศักยภาพที่ซ่อนเร้นอยู่มาก น้อยแค่ไหน ขอให้มีความกล้า ความบ้าอีกเล็กน้อย ที่ก้าวข้ามมันออกมา ย้อนไปราวๆ 5ปีนิดๆ เราว่างมาก จึงๆทำงาน แต่มีเวลา เลยคิดว่า ไปเรียนภาษาอังกฤษน่าจะดี ปรึกษาแม่เรียบร้อย ขอกำลังใจ แม่ซึ่งปกติ จะชอบติ ชอบหาข้อมาแย้งเราอยู่เสมอ รอบนี้แม่พูดว่า เชื่อสิ พูดมากๆอย่างเธอ แป๊บเดียว พูดไฟแล่บแน่นอน ตอนที่ฟังแม่ ความมั่นใจในตัวเองยังก้ำกึ่ง มันจะพูดได้จริงเหรอ เราเรียนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่4ขวบ จนจบมหาวิทยาลัย ก็ยังสื่อสารได้ไม่ดี เรียกว่าระดับเบสิคเลยทีเดียว หลังจากเสียเงินแสนกว่าไปได้1เดือน คุณพระ ดิชั้นพูดภาษาอังกฤษได้ค่ะ สาเหตุมาจากทีชเช้อร์ หนุ่มซิคแพ็คหน้ามล ฮีเป็นแรงบันดาลใจอย่างดีในการมาเรียน กลับมาบ้านก็มายืนพูดภาษาอังกฤษ กับกระจกทุกวัน ประหนึ่งว่าซ้อมพูดเรื่องราวที่ผ่านมาของวัน คำไหนไม่รู้ศัพท์ พูดภาษาไทยทับไปโลดค่ะ แถมเตรียมบทสนทนากับฮี สำหรับวันรุ่งขึ้นอีก หลังจากเรียนภาษาไปได้1ปี ทักษะทัก4ด้าน ก็พัฒนาไปมากมาย เอาไง เอากัน ลองดูซักตั้ง ว่าเรารู้เรื่องจริงๆ หรือเพราะทีชเช้อร์เค้าได้เงินเดือน เค้าเลยพยายามพูดให้เราเข้าใจ จึงวางแพลนให้กับชีวิตตัวเอง ชั้นจะต้องพิสูจน์ตัวเอง และก้าวออกไปดูโลก ความมั่นใจที่เพิ่มมากขึ้น กับการเรียนภาษาอังกฤษ และการทำกิจกรรมที่หลากหลาย สุดท้ายเราก็ได้งาน เก็บกระเป๋า ออกเดินทางไปเป็นออแพร์ที่เนเธอร์แลนด์ ด้วยระยะเวลา1ปี
ตายห่า แอบนึกในใจ เมืองนอกก็ไม่เคยไป หอพักก็ไม่เคยอยู่ เกิดมา28ปี อยู่แต่บ้าน ประเภทไปเข้าค่ายไม่กี่วัน ร้องไห้คิดถึงบ้าน จะรอดไหม๊นะเรา
ทันทีที่เราถึงสนามบินที่โน่น มัมก็สั่งไว้ว่า ให้เรามองหาผู้ชายตัวสูง สูงที่สุดในสนามบิน นั่นคือแด๊ด เค้าจะมารับเธอ มองซ้าย มองขวา เอาไงดี ใครๆก็สูงกันหมด เดินเข้าไปหาคุณป้าคนนึง พร้อมกับบอกแกว่า เราหาคนมารับไม่เจอ คุณป้าขอเบอร์แด๊ด และสนทนาเป็นภาษาดัซต์อยู่สักพัก แล้วบอกกับเราว่า เดี๋ยวแด๊ดมารับ ให้รอตรงนี้ ผ่านไป40นาที ผู้ชายร่างยักษ์ สูง2เมตร กะอีก9เซน ก็มาปรากฏตรงหน้าเรา สรุปคือพายุเข้า ต้นไม้ในบ้านล้ม แกเลยวุ่นวาย จัดการ จนกระทั่งออแพร์คนก่อนหน้าเรา มาถามว่าไม่มารับเราที่สนามบินเหรอ แกถึงจำได้😂
รถค่อยๆเลี้ยวเข้ามาในบ้าน ซึ่งมี3ชั้น ไม่รวมชั้นใต้ดิน และห้องใต้หลังคา บ้านมีทั้งหมด12ห้อง แต่ละห้อง ขนาดใหญ่กว่าห้องปกติ เป็น2เท่า เราอยู่ชั้น3 ห้องของเราเหมือนเป็น อพาร์ตเม้นท์ มีห้องครัว ระเบียง ส่สนดูทีวี
พร้อมโซฟา และห้องนอน พร้อมตู้เสื้อผ้า และเรามีห้องน้ำส่วนตัว มันเยี่ยมไปเลย ห้องพักไซร์นี้ในตัวเมืองเช่ากันอย่างน้อย30,000บาทไทย
มาถึงเรานอนไม่หลับ เพราะหนาวมาก ตื่นมาตอนตี4 และเช้าก็ตามแด๊ดไปส่งน้องที่โรงเรียน ระหว่างเดิน ลมมาปะทะตัวเรา
แรงมาก เหมือนจะหอบเราซึ่งหนักแค่39กก.ลอยไปกับลมด้วยเลย ใจนึก แย่แล้ว ถ้าลมพัดแบบนี้ทั้งปี ตรูตายก่อนกลับบ้านแน่ๆ
เราเริ่มทำความรู้จักคนในบ้าน พูดคุย แนะนำตัว แด๊ด มัม น้องแฝดชาย หญิง และน้องชายเล็ก พี่เลี้ยง แม่บ้าน และคนสวน รวมถึงโอป้า กับโอม่า คุณปู่ คุณย่า ของเด็กๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านแด๊ดนัก เราเริ่มศึกษางาน จากออแพร์คนเดิม ซึ่งตารางงานของเราก็ไม่ได้วุ่นวายอะไร
เช้าตื่น7โมง ทำอาหารกล่อง ของว่างให้น้องไปทานที่โรงเรียนเป็นมื้อสาย และมื้อกลางวัน เป็นแซนวิซง่ายๆ ขนมคุกกี้กับน้ำผลไม้กล่อง และตั้งโต๊ะอาหารเช้า เอาคอนเฟล็กและมูสลี่ย์ไปวาง พร้อมนม โยเกิร์ต เทน้ำใส่แก้ว และรอน้องลงมา ให้นั่งทานโดยไม่ทะเลาะกัน และใส่แจ็คเกต ใส่รองเท้าเตรียมตัวไปโรงเรียน เราต้องไปส่งตามตารางงาน แต่เอาเข้าจริง เราน่าจะได้ไปส่งน้องสัปดาห์ละวันได้ ที่เหลือ พ่อแม่ไปส่ง ส่วนตอนบ่ายเลิกเรียน พี่เลี้ยงไปรับ วันศุกร์น้องมีกิจกรรม พ่อจะไปรับ หรือคุณปู่ไปแทน
พอน้องไปโรงเรียนก็เก็บจานเข้าเครื่อง เก็บโต๊ะ แล้วไปเก็บที่นอนตามห้องต่างๆ หลังจากนั้นก็เอาผ้าลงเครื่อง ผ้าซักเสร็จก็เอาเข้าตู้อบ เราต้องซักผ้าปูทุกห้อง อาทิตย์ละครั้ง และอบผ้าเสร็จ ผ้าส่วนไหนพับได้ก็พับ ส่วนไหนต้อวรีดก็รีด ส่วนของแด๊ด มัม เค้าส่งซัก เราซักแคาเสื้อผ้าง่ายๆ ระหว่างรอซักผ้า เราก็จะไปซุปเปอร์ จดรายการไปว่าของไหนขาด ก็ซื้อมาเติม บ้านนี้ดี มัมทิ้งเงินไว้ เราไปซื้อของ อยากกินอะไร ไม่เคยหวง ซื้อได้เต็มที่ บางทีเงินหมด เราสำรองจ่ายไปก่อน แล้วเอาบิลมาเบิกคืนทีหลัง เราไม่ต้องทำอะไรมากมาย จนพี่เลี้ยงไปรับน้องกลับจากโรงเรียน เราถึงลงมือทำกับข้าว และทำแค่3วันต่อสัปดาห์ บ้านนี้ทานข้าว6โมงเย็น และเราเก็บโต๊ะ เก็บครัวเสร็จประมาณ1ทุ่ม
ทำงาน5วันต่ออาทิตย์ เสาร์ อาทิตย์หยุดตลอด เรียกได้ว่าใน1ปี ขอให้เราช่วยเลี้ยงน้องวันหยุดแค่3ครั้ง แต่ช่วงวันทำงาน เราจะไม่ออกไปไหนกลางคืนเลย ทำงานเสร็จขึ้นห้อง และไม่ออกจากห้องมาอีก เพราะคิดว่าน้องนอนหมดแล้ว เราอยากให้มัมกับแด๊ด เค้ามีเวลาส่วนตัว และเสาร์ อาทิตย์ก็คือเวลาเที่ยวของเรา ให้เวลาเค้าอยู่กันแบบครอบครัวจริงๆ
มัมถามว่า เราชอบทำอะไร นางจะจัดการให้ นางกลัวเราจะคิดถึงบ้าน จนอยู่ไม่ได้ เราบอก เราชอบมิวเซียม และที่ฮอลแลนด์ก็มีมิวเซียมเยอะมากๆ วันรุ่งขึ้นนางกลับมา พร้อมซิมการ์ดของที่นั่น บัตรสมาชิกมิวเซียม การ์ดรายปี อีก1ใบ บัตรนี้จะทำให้เราเข้าชม ปราสาท พิพิธภัณฑ์นับร้อยแห่งในฮอลแลนด์ได้ฟรีๆ บางที่เสียค่าเข้าเพิ่มอีกนิดหน่อย และบัตรรถไฟ สวรรค์ เราจะต้องออกไปดู บ้านเมืองเค้าเสียหน่อยแล้ว
กว่าจะนั่งรถไฟเป็น หลงมันอยู่หลายเพลา แต่ก็นะ อยากเที่ยวต้องกล้า ไปตายเอาดาบหน้า ถามเอาดาบหน้าละกัน
ช่วงแรกไป ไม่รู้จักใคร ออแพร์เก่าก็หมดสัญญา ย้ายไปอยู่ที่อื่น และทิ้งเพื่อนไว้ให้เรา3คน แต่สุดท้าย เราก็เลือกที่จะไปเที่ยวเอง แบบไม่ชวนใคร เพราะสบายใจ และมาเจอเพื่อนๆพี่ๆคนไทยทีหลัง ความสนุกสนานจึงเริ่มขึ้น วีคเอนไหนมีเพื่อนก็เที่ยวกับเพื่อน วีคเอนไหนไม่มีก็เที่ยวคนเดียว
วันพุธ จะเป็นวันฟิตติ้งเสื้อผ้าของเรา บางคนว่าเราบ้า 555 จริงๆเราเป็นแค่คนที่พิถีพิถันในการแต่งตัว เราจะต้องเช็คอากาศ เช็คสถานที่ท่องเที่ยว ต้องแต่งตัวแบบไหน สีอะไร ภาพถึงจะถ่ายออกมาสวย หลายคนถามว่าทำไม 5555 เรามีความสุขแบบนี้ ภาพถ่ายมันจะเก็บความทรงจำของเราไว้ตลอดไป
[SR] ชะนีไทย ลั้ลลาในฮอลแลนด์ (สืบเนื่องจากกระทู้ มาดูกันทำไมเจ้านายถึงรักเรา)
ตายห่า แอบนึกในใจ เมืองนอกก็ไม่เคยไป หอพักก็ไม่เคยอยู่ เกิดมา28ปี อยู่แต่บ้าน ประเภทไปเข้าค่ายไม่กี่วัน ร้องไห้คิดถึงบ้าน จะรอดไหม๊นะเรา
ทันทีที่เราถึงสนามบินที่โน่น มัมก็สั่งไว้ว่า ให้เรามองหาผู้ชายตัวสูง สูงที่สุดในสนามบิน นั่นคือแด๊ด เค้าจะมารับเธอ มองซ้าย มองขวา เอาไงดี ใครๆก็สูงกันหมด เดินเข้าไปหาคุณป้าคนนึง พร้อมกับบอกแกว่า เราหาคนมารับไม่เจอ คุณป้าขอเบอร์แด๊ด และสนทนาเป็นภาษาดัซต์อยู่สักพัก แล้วบอกกับเราว่า เดี๋ยวแด๊ดมารับ ให้รอตรงนี้ ผ่านไป40นาที ผู้ชายร่างยักษ์ สูง2เมตร กะอีก9เซน ก็มาปรากฏตรงหน้าเรา สรุปคือพายุเข้า ต้นไม้ในบ้านล้ม แกเลยวุ่นวาย จัดการ จนกระทั่งออแพร์คนก่อนหน้าเรา มาถามว่าไม่มารับเราที่สนามบินเหรอ แกถึงจำได้😂
รถค่อยๆเลี้ยวเข้ามาในบ้าน ซึ่งมี3ชั้น ไม่รวมชั้นใต้ดิน และห้องใต้หลังคา บ้านมีทั้งหมด12ห้อง แต่ละห้อง ขนาดใหญ่กว่าห้องปกติ เป็น2เท่า เราอยู่ชั้น3 ห้องของเราเหมือนเป็น อพาร์ตเม้นท์ มีห้องครัว ระเบียง ส่สนดูทีวี
พร้อมโซฟา และห้องนอน พร้อมตู้เสื้อผ้า และเรามีห้องน้ำส่วนตัว มันเยี่ยมไปเลย ห้องพักไซร์นี้ในตัวเมืองเช่ากันอย่างน้อย30,000บาทไทย
มาถึงเรานอนไม่หลับ เพราะหนาวมาก ตื่นมาตอนตี4 และเช้าก็ตามแด๊ดไปส่งน้องที่โรงเรียน ระหว่างเดิน ลมมาปะทะตัวเรา
แรงมาก เหมือนจะหอบเราซึ่งหนักแค่39กก.ลอยไปกับลมด้วยเลย ใจนึก แย่แล้ว ถ้าลมพัดแบบนี้ทั้งปี ตรูตายก่อนกลับบ้านแน่ๆ
เราเริ่มทำความรู้จักคนในบ้าน พูดคุย แนะนำตัว แด๊ด มัม น้องแฝดชาย หญิง และน้องชายเล็ก พี่เลี้ยง แม่บ้าน และคนสวน รวมถึงโอป้า กับโอม่า คุณปู่ คุณย่า ของเด็กๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านแด๊ดนัก เราเริ่มศึกษางาน จากออแพร์คนเดิม ซึ่งตารางงานของเราก็ไม่ได้วุ่นวายอะไร
เช้าตื่น7โมง ทำอาหารกล่อง ของว่างให้น้องไปทานที่โรงเรียนเป็นมื้อสาย และมื้อกลางวัน เป็นแซนวิซง่ายๆ ขนมคุกกี้กับน้ำผลไม้กล่อง และตั้งโต๊ะอาหารเช้า เอาคอนเฟล็กและมูสลี่ย์ไปวาง พร้อมนม โยเกิร์ต เทน้ำใส่แก้ว และรอน้องลงมา ให้นั่งทานโดยไม่ทะเลาะกัน และใส่แจ็คเกต ใส่รองเท้าเตรียมตัวไปโรงเรียน เราต้องไปส่งตามตารางงาน แต่เอาเข้าจริง เราน่าจะได้ไปส่งน้องสัปดาห์ละวันได้ ที่เหลือ พ่อแม่ไปส่ง ส่วนตอนบ่ายเลิกเรียน พี่เลี้ยงไปรับ วันศุกร์น้องมีกิจกรรม พ่อจะไปรับ หรือคุณปู่ไปแทน
พอน้องไปโรงเรียนก็เก็บจานเข้าเครื่อง เก็บโต๊ะ แล้วไปเก็บที่นอนตามห้องต่างๆ หลังจากนั้นก็เอาผ้าลงเครื่อง ผ้าซักเสร็จก็เอาเข้าตู้อบ เราต้องซักผ้าปูทุกห้อง อาทิตย์ละครั้ง และอบผ้าเสร็จ ผ้าส่วนไหนพับได้ก็พับ ส่วนไหนต้อวรีดก็รีด ส่วนของแด๊ด มัม เค้าส่งซัก เราซักแคาเสื้อผ้าง่ายๆ ระหว่างรอซักผ้า เราก็จะไปซุปเปอร์ จดรายการไปว่าของไหนขาด ก็ซื้อมาเติม บ้านนี้ดี มัมทิ้งเงินไว้ เราไปซื้อของ อยากกินอะไร ไม่เคยหวง ซื้อได้เต็มที่ บางทีเงินหมด เราสำรองจ่ายไปก่อน แล้วเอาบิลมาเบิกคืนทีหลัง เราไม่ต้องทำอะไรมากมาย จนพี่เลี้ยงไปรับน้องกลับจากโรงเรียน เราถึงลงมือทำกับข้าว และทำแค่3วันต่อสัปดาห์ บ้านนี้ทานข้าว6โมงเย็น และเราเก็บโต๊ะ เก็บครัวเสร็จประมาณ1ทุ่ม
ทำงาน5วันต่ออาทิตย์ เสาร์ อาทิตย์หยุดตลอด เรียกได้ว่าใน1ปี ขอให้เราช่วยเลี้ยงน้องวันหยุดแค่3ครั้ง แต่ช่วงวันทำงาน เราจะไม่ออกไปไหนกลางคืนเลย ทำงานเสร็จขึ้นห้อง และไม่ออกจากห้องมาอีก เพราะคิดว่าน้องนอนหมดแล้ว เราอยากให้มัมกับแด๊ด เค้ามีเวลาส่วนตัว และเสาร์ อาทิตย์ก็คือเวลาเที่ยวของเรา ให้เวลาเค้าอยู่กันแบบครอบครัวจริงๆ
มัมถามว่า เราชอบทำอะไร นางจะจัดการให้ นางกลัวเราจะคิดถึงบ้าน จนอยู่ไม่ได้ เราบอก เราชอบมิวเซียม และที่ฮอลแลนด์ก็มีมิวเซียมเยอะมากๆ วันรุ่งขึ้นนางกลับมา พร้อมซิมการ์ดของที่นั่น บัตรสมาชิกมิวเซียม การ์ดรายปี อีก1ใบ บัตรนี้จะทำให้เราเข้าชม ปราสาท พิพิธภัณฑ์นับร้อยแห่งในฮอลแลนด์ได้ฟรีๆ บางที่เสียค่าเข้าเพิ่มอีกนิดหน่อย และบัตรรถไฟ สวรรค์ เราจะต้องออกไปดู บ้านเมืองเค้าเสียหน่อยแล้ว
กว่าจะนั่งรถไฟเป็น หลงมันอยู่หลายเพลา แต่ก็นะ อยากเที่ยวต้องกล้า ไปตายเอาดาบหน้า ถามเอาดาบหน้าละกัน
ช่วงแรกไป ไม่รู้จักใคร ออแพร์เก่าก็หมดสัญญา ย้ายไปอยู่ที่อื่น และทิ้งเพื่อนไว้ให้เรา3คน แต่สุดท้าย เราก็เลือกที่จะไปเที่ยวเอง แบบไม่ชวนใคร เพราะสบายใจ และมาเจอเพื่อนๆพี่ๆคนไทยทีหลัง ความสนุกสนานจึงเริ่มขึ้น วีคเอนไหนมีเพื่อนก็เที่ยวกับเพื่อน วีคเอนไหนไม่มีก็เที่ยวคนเดียว
วันพุธ จะเป็นวันฟิตติ้งเสื้อผ้าของเรา บางคนว่าเราบ้า 555 จริงๆเราเป็นแค่คนที่พิถีพิถันในการแต่งตัว เราจะต้องเช็คอากาศ เช็คสถานที่ท่องเที่ยว ต้องแต่งตัวแบบไหน สีอะไร ภาพถึงจะถ่ายออกมาสวย หลายคนถามว่าทำไม 5555 เรามีความสุขแบบนี้ ภาพถ่ายมันจะเก็บความทรงจำของเราไว้ตลอดไป