😷 เคยมั้ยครับ ตัวเองปากเหม็นไม่กล้าคุย ไม่กล้าออกเสียง หรือคนข้างๆ ปากเหม็น แต่ไม่กล้าบอก เพราะกลัวเค้าอาย !!! แชร์ไปโพสท์หน้าเฟซ แชร์ไปในไลน์กลุ่มเลยจ้า ไม่หวงนะครับ ถือว่าเป็นวิทยาทาน และช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เพราะมีเพื่อนปากเหม็นเหมือนกันตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ทรมานมากครับ หรือแม้แต่คุณน้า คุณอา คุณลุง คุณป้าข้างบ้านที่ชอบมาคุยกับเราแบบใกล้ๆ จนสุดท้ายตัวเองปากเหม็นเองครับ รู้สึกไม่มั่นใจเลย ก็เลยทดลอง ทดสอบด้วยตัวเองครับ ตอนนี้ปากไม่เหม็นแล้ว (ผมเป็นคนไม่มีปัญหาลำไส้ ไม่มีปัญหาทอนซิล ดังนั้น จะสามารถใช้ได้กับคนสุขภาพดีทั่วไปเท่านั้น) ถ้าทำตามแล้วยังมีอยู่ แนะนำไปพบคุณหมอระบบต่างๆ เช่นลำไส้ (หมอ GI), หมอตาหูคอจมูก (หมอ ENT)
😉 วิธีของผม จะสังเกตดูว่าหลังแปรงฟันใหม่ๆ มีกลิ่นปากมั้ย ถ้ายังมีอยู่หรือมีหลังจากแปรงได้ 5-10 นาที แสดงว่ามีแบคทีเรียในช่องปากครับ ซึ่งการแปรงฟัน ไม่ได้ทำให้แบคทีเรียลดลง เพราะมันมีแหล่งเพาะพันธุ์อยู่ในปากเราที่ใดที่หนึ่ง ถ้าเอาแหล่งเพาะพันธุ์ออกไปได้ ก็จบ ง่ายมั้ยครับ หลักการบ้านๆ นี่เองครับ
🤔 แล้ว แบคทีเรียมาจากไหน? ก็มาจากเศษอาหารที่ติดตามซอกฟัน ซอกเหงือก ที่เราไม่สามารถขจัดได้ด้วยการแปรงฟัน โดยเศษอาหารพวกเนื้อสัตว์ จะมีกลิ่นรุนแรงกว่าปกติ เพราะเศษเนื้อสัตว์ที่ติดอยู่นานๆ มันก็เหมือนเนื้อเน่าๆ ดี ในช่องปากเรานี่เอง
เราจึงต้องทำการบำบัด ซึ่งสามารถทำได้ด้วยตัวเอง ง่ายๆ ง่ายมากๆ
อุปกรณ์
1) ไหมขัดฟัน ราคาประมาณ 100-110 บาท (แนะนำว่าให้ใช้แบบที่เป็นแวกซ์เคลือบครับ เพราะมันจะไม่ลื่นปรื้ดๆ เศษอาหารติดออกมากับแวกซ์ได้ง่าย เพราะแวกซ์ ก็คือเทียนไข ที่ไม่เปียกน้ำ ดังนั้น ไหมที่มีแวกซ์เคลือบจะมีประสิทธิภาพดีที่สุด ผมใช้ของ Oral-B)
2) น้ำยาบ้วนปาก ราคา 20-100 บาท แล้วแต่ขนาด (ใช้ยี่ห้อไหนก็ได้ แล้วแต่สะดวก แต่ถ้าสามารถฆ่าเชื้อได้ก็จะมีประสิทธิภาพสูงที่สุด ผมใช้ทั้ง Listerine และ Systema ไม่ฟิกซ์ครับ)
3) แปรงฟันขนนุ่มๆ ราคาประมาณ 40-60 บาท (แนะนำว่าต้องแปรงนุ่มครับ เพราะซอกซอนดีที่สุด ไม่แนะนำแปรงสีฟันแถม แปรงสีฟันขนแข็งๆ นะครับ ... ยี่ห้อดีๆ ก็พวก ซิสเท็มม่า นุ่มจริง อะไรจริง)
4) ยาสีฟันอย่างดี ราคา 80-120 บาท (แนะนำว่าควรเป็นยาสีฟันที่มีส่วนผสมของเกลือเพราะจะช่วยยับยั้งการทำงานของพวกเชื้อโรคเหล่านี้ได้ นึกง่ายๆ เหมือนน้ำเกลือที่หมอใช้ล้างแผลอ่ะครับ) เช่น Salz, Oral-B, Parodontax หรือยาสีฟันยี่ห้อหนึ่ง ที่ทำจากสมุนไพรช่วยยับยั้งแบคทีเรีย เช่น Dentiste /// พวกยาสีฟันอื่นๆ ที่ผสมแป้ง มีแต่ฟอง เย็นๆ ซ่าๆ ก็พอใช้ได้ครับ แต่ประสิทธิภาพก็จะไม่เท่ายี่ห้อข้างต้นครับ
วิธีทำการบำบัด
1) ช่วง 1 สัปดาห์แรก ให้ใช้ไหมขัดฟัน วันละ 1 ครั้ง แนะนำควรทำหลังมื้ออาหารเช้า เพราะจะได้มั่นใจไปตลอดทั้งวัน โดยขัดทุกซี่ ทุกซอกระหว่างฟัน โดยทำซอกละ 2 ครั้ง โดยจะต้องกวาดซอกฟันนั้น ทุกทิศทาง (คุณจะสังเกตเห็นว่า มันจะมีเศษ อาหารเหม็นๆ ติดออกมาด้วย ... นั่นแหละ... ตัวการปากบูด ปากเน่า ปากเหม็นเลยครับ) ทำให้ครบทุกซอก ย้ำครับ ทำทุกซอก แต่ละซอก อย่าทำแรงมาก ไหมขัดฟันจะบาดเหงือก เลือกออกได้
2) หลังจากขัดทุกครั้ง ให้แปรงฟันตามปกติ บีบยาสีฟัน 1 ครั้ง โดยแปรงอย่างถูกวิธี ตามที่เราทราบกัน คือแปรงขึ้นลง ไม่ใช่แปรงซ้ายขวา จากนั้นก็แปรงลิ้นโดยขั้นตอนแปรงลิ้น ให้บีบยาสีฟันอีก 1 ครั้ง เพื่อจะได้ปากหอมสดชื่น แปรงจากโคนลิ้นมาปลายลิ้น โดยไล่มากตั้งแต่ริมฝั่งซ้ายไปจนถึงริมฝั่งขวา ทำเบาๆ จนทั่วทั้งลิ้น
* แปรงที่มีคุณภาพควรมีขนนุ่ม ไม่แข็งจัด ดังนั้น ลงทุนซื้อแปรงดีๆ แลกกับความมั่นใจและคุณภาพชีวิตของคนรอบข้าง อันนึงก็ 40-60 บาทเองครับ ใช้ได้เรื่อยๆ จนหัวมันบานอ่ะ ผมไม่เห็นมีความจำเป็นว่าจะต้องเปลี่ยนทุกๆ 3 เดือนอย่างที่ทีวีแนะนำเลย (เค้าจะขายของอ่ะนะ) ถ้ามันยังไม่บานแสกกลาง ก็ใช้ได้ครับ ใช้ไปเรื่อยๆ ได้ ของผมใช้ไปตั้ง 4-5 เดือน ปีนึงซื้อแปรง 2-3 ครั้ง ดังนั้นเวลาแปรงฟัง ไม่ต้องออกแรงกดมาก เพราะเนื้อฟันจะสึก แถมแปรงจะแสกกลางไวมาก
** หลังแปรงฟัน ล้างแปรงให้สะอาด โดยเฉพาะโคนขนแปรง ถ้ามีคราบเหลืองๆ หรือเศษอาหารติดอยู่ ควรใช้แปรงสีฟันอีกอัน มาขัดออก แล้วล้างน้ำสะอาด จากนั้นสะบัด ดีดน้ำออกให้มากที่สุด เพราะน้ำที่อยู่ตามขนแปรง ก็เป็นแหล่งเพาะพันธุ์แบคทีเรียได้
3) อมน้ำยาบ้วนปาก 20-30 วินาที เพื่อให้มันฆ่าเชื้อโรคได้ดีที่สุด โดยกลั้วน้ำยาให้ไปตามซอกฟันซ้ายขวาหน้าหลังช้าๆ อย่าลืมให้ไหลเข้าไปทางลิ้นไก่ คอหอยเราด้วย เอาลึกเท่าที่ได้ครับ วนๆๆ ช้าๆ การฆ่าเชื้อพวกนี้ต้องใช้เวลาครับ แล้วบ้วนทิ้ง ไม่ต้องบ้วนน้ำตาม
4) สังเกตดูว่ากลิ่นปากจะสดชื่นยาวนานขึ้นกว่าปกติ จนกระทั่งทานอาหารมื้อต่อไป ดังนั้น ควรแปรงฟันตอนกลางวันด้วย โดยไม่ต้องขัดฟัน แล้วอมน้ำยาบ้วนปากเอา (ผมติดแปรงฟันตอนกลางวันครับ เพราะต้องทำงานพูดคุยกับคนอื่นอยู่ตลอดเวลา)
5) สัปดาห์ที่ 2 ให้ทำ 1)-4) วันเว้นวัน หรือสองวันครั้งครับ โดยสังเกตว่ากลิ่นปากระหว่างวันเป็นอย่างไร ถ้าน้อยลงก็แสดงความยินดีด้วย แต่ถ้ายังไม่ดีขึ้น อาจต้องไปพบหมอฟัน เพื่ออุดช่องฟันผุ ที่เศษอาหารไปตกค้างได้ครับ
6) สัปดาห์ที่ 3 เป็นต้นไป ให้ใช้ไหมขัดฟัน เฉพาะเวลาที่มีกลิ่นปากครับ ไม่แนะนำให้ใช้บ่อยๆ เพราะเหงือกจะอักเสบได้ง่าย เหงือกร่นได้ง่าย และฟันจะห่างด้วย และหมั่นสังเกตว่ามีหินปูนเกาะที่ฟันหรือไม่ ถ้ามีหินปูน ให้ไปพบทันตแพทย์ครับ แต่ผมไม่ค่อยได้ไปหาทันตแพทย์เท่าไหร่ เพราะเวลามีหินปูน ผมจะใช้เล็บนี่แหละ แกะออก หรือใช้เข็มเย็บผ้า แช่น้ำยาบ้วนปาก 1-2 นาที แล้วเอามาแซะหินปูนระหว่างซี่ออก โดยต้องระมัดระวังด้วยนะครับ เพราะเข็มมันแหลม อิอิ หรือนั่งเล่นว่างๆ ไม่มีเข็ม ผมก็จะใช้ลูกแมกซ์ 1 ลูก มายืดด้านนึงออก แล้วใช้แทนเข็ม มันจะได้ก้อนแข็งๆ หินปูนออกมาครับ แต่ผมทำได้เฉพาะฟันด้านหน้าเท่านั้นนะครับ ด้านในนี่คงต้องไปพึ่งทันตแพทย์ (อันนี้ผมทำแบบลูกทุ่งนะครับ บางครั้งได้เลือดบ้าง ส่วนใหญ่ไม่มีครับ 555)
ปล. ผม ไม่ใช่หมอฟัน วิธีการทั้งหมดได้มาจากประสบการณ์ส่วนตัว ที่อยากจะแชร์ให้คนที่มีปัญหารับทราบ หากขัดกับหลักการของทันตกรรม ก็อภัยมา ณ ที่นี่ด้วย และผมไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับผลิตภัณฑ์ข้างต้น ที่เอ่ยชื่อเพราะเห็นว่ามันดีจริง ถ้าสินค้าคุณยี่ห้อใดไม่ดี ก็ทำให้มันมีคุณภาพออกมาให้เราใช้สิครับ อย่าเอาของไม่มีคุณภาพมาขายให้ผู้บริโภค!!
ปากเหม็นทำยังไงดี? มีคำตอบ!!
😉 วิธีของผม จะสังเกตดูว่าหลังแปรงฟันใหม่ๆ มีกลิ่นปากมั้ย ถ้ายังมีอยู่หรือมีหลังจากแปรงได้ 5-10 นาที แสดงว่ามีแบคทีเรียในช่องปากครับ ซึ่งการแปรงฟัน ไม่ได้ทำให้แบคทีเรียลดลง เพราะมันมีแหล่งเพาะพันธุ์อยู่ในปากเราที่ใดที่หนึ่ง ถ้าเอาแหล่งเพาะพันธุ์ออกไปได้ ก็จบ ง่ายมั้ยครับ หลักการบ้านๆ นี่เองครับ
🤔 แล้ว แบคทีเรียมาจากไหน? ก็มาจากเศษอาหารที่ติดตามซอกฟัน ซอกเหงือก ที่เราไม่สามารถขจัดได้ด้วยการแปรงฟัน โดยเศษอาหารพวกเนื้อสัตว์ จะมีกลิ่นรุนแรงกว่าปกติ เพราะเศษเนื้อสัตว์ที่ติดอยู่นานๆ มันก็เหมือนเนื้อเน่าๆ ดี ในช่องปากเรานี่เอง
เราจึงต้องทำการบำบัด ซึ่งสามารถทำได้ด้วยตัวเอง ง่ายๆ ง่ายมากๆ
อุปกรณ์
1) ไหมขัดฟัน ราคาประมาณ 100-110 บาท (แนะนำว่าให้ใช้แบบที่เป็นแวกซ์เคลือบครับ เพราะมันจะไม่ลื่นปรื้ดๆ เศษอาหารติดออกมากับแวกซ์ได้ง่าย เพราะแวกซ์ ก็คือเทียนไข ที่ไม่เปียกน้ำ ดังนั้น ไหมที่มีแวกซ์เคลือบจะมีประสิทธิภาพดีที่สุด ผมใช้ของ Oral-B)
2) น้ำยาบ้วนปาก ราคา 20-100 บาท แล้วแต่ขนาด (ใช้ยี่ห้อไหนก็ได้ แล้วแต่สะดวก แต่ถ้าสามารถฆ่าเชื้อได้ก็จะมีประสิทธิภาพสูงที่สุด ผมใช้ทั้ง Listerine และ Systema ไม่ฟิกซ์ครับ)
3) แปรงฟันขนนุ่มๆ ราคาประมาณ 40-60 บาท (แนะนำว่าต้องแปรงนุ่มครับ เพราะซอกซอนดีที่สุด ไม่แนะนำแปรงสีฟันแถม แปรงสีฟันขนแข็งๆ นะครับ ... ยี่ห้อดีๆ ก็พวก ซิสเท็มม่า นุ่มจริง อะไรจริง)
4) ยาสีฟันอย่างดี ราคา 80-120 บาท (แนะนำว่าควรเป็นยาสีฟันที่มีส่วนผสมของเกลือเพราะจะช่วยยับยั้งการทำงานของพวกเชื้อโรคเหล่านี้ได้ นึกง่ายๆ เหมือนน้ำเกลือที่หมอใช้ล้างแผลอ่ะครับ) เช่น Salz, Oral-B, Parodontax หรือยาสีฟันยี่ห้อหนึ่ง ที่ทำจากสมุนไพรช่วยยับยั้งแบคทีเรีย เช่น Dentiste /// พวกยาสีฟันอื่นๆ ที่ผสมแป้ง มีแต่ฟอง เย็นๆ ซ่าๆ ก็พอใช้ได้ครับ แต่ประสิทธิภาพก็จะไม่เท่ายี่ห้อข้างต้นครับ
วิธีทำการบำบัด
1) ช่วง 1 สัปดาห์แรก ให้ใช้ไหมขัดฟัน วันละ 1 ครั้ง แนะนำควรทำหลังมื้ออาหารเช้า เพราะจะได้มั่นใจไปตลอดทั้งวัน โดยขัดทุกซี่ ทุกซอกระหว่างฟัน โดยทำซอกละ 2 ครั้ง โดยจะต้องกวาดซอกฟันนั้น ทุกทิศทาง (คุณจะสังเกตเห็นว่า มันจะมีเศษ อาหารเหม็นๆ ติดออกมาด้วย ... นั่นแหละ... ตัวการปากบูด ปากเน่า ปากเหม็นเลยครับ) ทำให้ครบทุกซอก ย้ำครับ ทำทุกซอก แต่ละซอก อย่าทำแรงมาก ไหมขัดฟันจะบาดเหงือก เลือกออกได้
2) หลังจากขัดทุกครั้ง ให้แปรงฟันตามปกติ บีบยาสีฟัน 1 ครั้ง โดยแปรงอย่างถูกวิธี ตามที่เราทราบกัน คือแปรงขึ้นลง ไม่ใช่แปรงซ้ายขวา จากนั้นก็แปรงลิ้นโดยขั้นตอนแปรงลิ้น ให้บีบยาสีฟันอีก 1 ครั้ง เพื่อจะได้ปากหอมสดชื่น แปรงจากโคนลิ้นมาปลายลิ้น โดยไล่มากตั้งแต่ริมฝั่งซ้ายไปจนถึงริมฝั่งขวา ทำเบาๆ จนทั่วทั้งลิ้น
* แปรงที่มีคุณภาพควรมีขนนุ่ม ไม่แข็งจัด ดังนั้น ลงทุนซื้อแปรงดีๆ แลกกับความมั่นใจและคุณภาพชีวิตของคนรอบข้าง อันนึงก็ 40-60 บาทเองครับ ใช้ได้เรื่อยๆ จนหัวมันบานอ่ะ ผมไม่เห็นมีความจำเป็นว่าจะต้องเปลี่ยนทุกๆ 3 เดือนอย่างที่ทีวีแนะนำเลย (เค้าจะขายของอ่ะนะ) ถ้ามันยังไม่บานแสกกลาง ก็ใช้ได้ครับ ใช้ไปเรื่อยๆ ได้ ของผมใช้ไปตั้ง 4-5 เดือน ปีนึงซื้อแปรง 2-3 ครั้ง ดังนั้นเวลาแปรงฟัง ไม่ต้องออกแรงกดมาก เพราะเนื้อฟันจะสึก แถมแปรงจะแสกกลางไวมาก
** หลังแปรงฟัน ล้างแปรงให้สะอาด โดยเฉพาะโคนขนแปรง ถ้ามีคราบเหลืองๆ หรือเศษอาหารติดอยู่ ควรใช้แปรงสีฟันอีกอัน มาขัดออก แล้วล้างน้ำสะอาด จากนั้นสะบัด ดีดน้ำออกให้มากที่สุด เพราะน้ำที่อยู่ตามขนแปรง ก็เป็นแหล่งเพาะพันธุ์แบคทีเรียได้
3) อมน้ำยาบ้วนปาก 20-30 วินาที เพื่อให้มันฆ่าเชื้อโรคได้ดีที่สุด โดยกลั้วน้ำยาให้ไปตามซอกฟันซ้ายขวาหน้าหลังช้าๆ อย่าลืมให้ไหลเข้าไปทางลิ้นไก่ คอหอยเราด้วย เอาลึกเท่าที่ได้ครับ วนๆๆ ช้าๆ การฆ่าเชื้อพวกนี้ต้องใช้เวลาครับ แล้วบ้วนทิ้ง ไม่ต้องบ้วนน้ำตาม
4) สังเกตดูว่ากลิ่นปากจะสดชื่นยาวนานขึ้นกว่าปกติ จนกระทั่งทานอาหารมื้อต่อไป ดังนั้น ควรแปรงฟันตอนกลางวันด้วย โดยไม่ต้องขัดฟัน แล้วอมน้ำยาบ้วนปากเอา (ผมติดแปรงฟันตอนกลางวันครับ เพราะต้องทำงานพูดคุยกับคนอื่นอยู่ตลอดเวลา)
5) สัปดาห์ที่ 2 ให้ทำ 1)-4) วันเว้นวัน หรือสองวันครั้งครับ โดยสังเกตว่ากลิ่นปากระหว่างวันเป็นอย่างไร ถ้าน้อยลงก็แสดงความยินดีด้วย แต่ถ้ายังไม่ดีขึ้น อาจต้องไปพบหมอฟัน เพื่ออุดช่องฟันผุ ที่เศษอาหารไปตกค้างได้ครับ
6) สัปดาห์ที่ 3 เป็นต้นไป ให้ใช้ไหมขัดฟัน เฉพาะเวลาที่มีกลิ่นปากครับ ไม่แนะนำให้ใช้บ่อยๆ เพราะเหงือกจะอักเสบได้ง่าย เหงือกร่นได้ง่าย และฟันจะห่างด้วย และหมั่นสังเกตว่ามีหินปูนเกาะที่ฟันหรือไม่ ถ้ามีหินปูน ให้ไปพบทันตแพทย์ครับ แต่ผมไม่ค่อยได้ไปหาทันตแพทย์เท่าไหร่ เพราะเวลามีหินปูน ผมจะใช้เล็บนี่แหละ แกะออก หรือใช้เข็มเย็บผ้า แช่น้ำยาบ้วนปาก 1-2 นาที แล้วเอามาแซะหินปูนระหว่างซี่ออก โดยต้องระมัดระวังด้วยนะครับ เพราะเข็มมันแหลม อิอิ หรือนั่งเล่นว่างๆ ไม่มีเข็ม ผมก็จะใช้ลูกแมกซ์ 1 ลูก มายืดด้านนึงออก แล้วใช้แทนเข็ม มันจะได้ก้อนแข็งๆ หินปูนออกมาครับ แต่ผมทำได้เฉพาะฟันด้านหน้าเท่านั้นนะครับ ด้านในนี่คงต้องไปพึ่งทันตแพทย์ (อันนี้ผมทำแบบลูกทุ่งนะครับ บางครั้งได้เลือดบ้าง ส่วนใหญ่ไม่มีครับ 555)
ปล. ผม ไม่ใช่หมอฟัน วิธีการทั้งหมดได้มาจากประสบการณ์ส่วนตัว ที่อยากจะแชร์ให้คนที่มีปัญหารับทราบ หากขัดกับหลักการของทันตกรรม ก็อภัยมา ณ ที่นี่ด้วย และผมไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับผลิตภัณฑ์ข้างต้น ที่เอ่ยชื่อเพราะเห็นว่ามันดีจริง ถ้าสินค้าคุณยี่ห้อใดไม่ดี ก็ทำให้มันมีคุณภาพออกมาให้เราใช้สิครับ อย่าเอาของไม่มีคุณภาพมาขายให้ผู้บริโภค!!