Top 3 of 3
สัปดาห์นี้จะมีหนังแอ๊คชั่นน่าดูเข้าฉายนั่นคือเรื่อง
The Foreigner –
2 โคตรพยัคฆ์ผู้ยิ่งใหญ่ - เข้าฉาย ความน่าสนใจของหนังเรื่องนี้อยู่ตรงที่ 3 บุคคลสำคัญของหนัง นั่นคือ 1 ผู้กำกับและ 2 สองนักแสดงนำที่ต่างมีผลงานชั้นเยี่ยมมาแล้วมากมาย เราลองมาเลือกกันดูว่าผลงานที่ผ่านมาของพวกเขา มีเรื่องใดบ้างที่อยู่ในขั้นยอดเยี่ยม และเพื่อให้การจัดลำดับความยอดเยี่ยมเข้มขันขึ้น จึงขอคัดเลือกมาเพียง 3 อันดับ ของ 3 สุดยอดคน ตามนี้
ปล. จัดลำดับตามปีที่ฉาย ไม่ได้จัดลำดับตามความเด่น ทั้ง 3 เรื่องของแต่ละคนจึงมีความโดดเด่นเท่ากัน
เฉินหลง (แจ๊คกี้ ชาน)
การจะคัดเลือกหนังเรื่องเด่นเพียง 3 เรื่องของเฉินหลงดูจะเป็นเรื่องที่ยากที่สุด เพราะตลอดการทำงานของเขามีงานระดับยอดเยี่ยมอยู่นับสิบ ตั้งแต่หนังกังฟูฮ่องกงในวัยหนุ่มเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน แต่เพื่อให้ได้มาตามจำนวนที่ต้องการจึงต้องขอกำหนดขอบเขตเฉพาะหนังในระดับ “โกอินเตอร” ของเขาเท่านั้น กระนั้นก็ยังเลือกยากอยู่ดี แต่ก็ได้ผลออกมา 3 เรื่องดังนี้
Rush Hour (1998)
คู่ใหญ่ฟัดเต็มสปีด
คงไม่มีคอหนังแอ๊คชั่นหรือคนที่ชื่นชอบเฉินหลงคนใดไม่รู้จักเรื่องนี้ เพราะนี่คือการ “โกอินเตอร์” ในฮอลลีวู้ดเป็นครั้งที่สองของเขา และเป็นหนังที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากจนทำให้ชื่อ แจ๊คกี้ ชาน หรือ เฉินหลง ได้กลายเป็นซูเปอร์สตาร์ไปในทันที หนังใช้ประโยชน์จากเฉินหลงได้เต็มที่ ทั้งความสามารถในบทแอ๊คชั่นรวมไปถึงบทแบบเบาสมอง นับเป็นงานเปิดตัวในฮอลลีวู้ด (อีกครั้ง) ที่สมบูรณ์แบบ
Shanghai Noon (2000)
คู่ใหญ่ฟัดข้ามโลก
หลังจากความสำเร็จของ Rush Hour (1998) ได้ถูกตอกย้ำด้วยเรื่องนี้ที่กลายเป็นหนังระดับมาสเตอร์พีซในการโกอินเตอร์ของเฉินหลงอีกครั้ง แม้หนังยังคงรูปแบบเดิมคือการเป็นแอ๊คชั่นคอมเมดี้แบบคู่หู แต่หนังได้สร้างความแปลกใหม่ที่น่าสนใจโดยกำหนดฉากหลัวให้กลายเป็นหนังบุกเบิกตะวันตก ทำให้หนังหลุดกรอบเดิม ๆ จากหนังแอ๊คชั่นอีกหลายเรื่องที่แล้วมา และนั่นคือหนึ่งในกุญแจของความสำเร็จในครั้งนี้
The Karate Kid (2010)
เดอะ คาราเต้ คิด
แม้คำวิจารณ์ของหนังรีเมคหนังเรื่องดังของยุค 80 ในครั้งนี้จะไม่ดีนัก แต่ต้องยอมรับว่าเฉินหลงคือสิ่งที่ดีที่สุดของหนังเรื่องนี้ก็ว่าได้ ที่สำคัญคือเฉินหลงได้มีโอกาสแสดงบทดรามาในหนังระดับอินเตอร์อีกด้วย ด้วยเหตุนี้เองจึงได้จัดให้หนังเรื่องนี้อยู่ในผลงานระดับ Top 3 ของเขา (ในระดับฮอลลีวู้ด) เพราะเฉินหลงคือหัวใจสำคัญของเรื่องนั่นเอง
เพียร์ซ บรอสแนน
สิ่งที่ทุกคนจดจำ เพียร์ซ บรอสแนน ได้ดีที่สุดคือการที่เขารับบทเป็น เจมส์ บอนด์ ยอดสายลับชาวอังกฤษเจ้าของรหัส 007 ในหนังแฟรนไชส์ เจมส์ บอนด์ จำนวน 4 เรื่องตั้งแต่ปี 1995 ถึงปี 2002 จนอาจจะเรียกได้ว่าเขาคือ เจมส์ บอนด์ ของคนยุค 90 เลยก็ว่าได้ ถ้าจะเลือกหนัง Top 3 ของเขาจะมาจากหนังชุด เจมส์ บอนด์ ทั้งหมดเลยก็ย่อมได้ แต่ขอเลือกเอาไว้เพียงแค่เรื่องเดียว เพื่อเปิดโอกาสให้กับงานเด่นของเขาในเรื่องอื่นที่มีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
Goldeneye (1995)
พยัคฆ์ร้าย 007 รหัสลับทลายโลก
หนังชุด เจมส์ บอนด์ เรื่องที่ 17 (แบบเป็นทางการ) และเป็นตอนแรกที่มี เพียร์ซ บรอสแนน มารับบทยอดสายลับ ซึ่งเขาเป็น เจมส์ บอนด์ ที่แฟนพันธุ์แท้หนังชุดนี้ยอมรับได้ตั้งแต่นาทีแรกที่ปรากฏตัว เพียร์ซ จึงเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่ช่วงต่อลมหายใจของหนังชุดนี้ขึ้นมาอีกครั้งหลังจากทำท่าจะล่มสลายลงไปตั้งแต่เมื่อ 6 ปีก่อน อีกทั้งยังอาจจะกล่าวได้ว่า นี่คือหนังในชุด เจมส์ บอนด์ ที่ดีที่สุดของ เพียร์ซ บรอสแนน ก็ว่าได้
The Thomas Crown Affair (1999)
เกมรักหักเหลี่ยมจารกรรม
ผลงานรีเมคจากหนังคลาสสิค The Thomas Crown Affair (1968) ที่ เพียร์ซ บรอสแนน มารับบทเดิมที่เคยเป็นของ สตีฟ แม็คควีน มาก่อน แม้คำวิจารณ์ภาพรวมของหนังจะออกมากลาง ๆ แต่ เพียร์ซ บรอสแนน รวมทั้ง เรเน่ รุสโซ่ นักแสดงร่วมในบทนำคือสิ่งที่ดีที่สุดของหนัง สำหรับ เพียร์ซ บรอสแนน แล้วเขาดูที่เข้ากันได้ดีกับบทมหาเศรษฐีผู้ชื่นชอบในอาชญากรรม และเป็นอีกบทที่ทุกคนจะนึกถึงเมื่อจะหาบทที่ดีที่สุดของเขา
Mamma Mia! (2008)
มัมมา มีอา วิวาห์วุ่นลุ้นหาพ่อ
หนังเรื่องนี้อาจจะดูผิดที่ผิดทางไปบ้างเมื่อเทียบกับเรื่องอื่น ๆ ในลิสต์ชุดนี้ เพราะนี่คือหนังเพลงที่สร้างจากละครเพลงซึ่งนำเอาเพลงของวง Abba มาร้อยเรียงให้เป็นเรื่องราว แม้หนังจะมีบทของผู้หญิงที่โดดเด่นกว่า แต่ เพียร์ซ บรอสแนน ก็มีบทเด่นในระดับหนึ่ง และเหตุที่ถูกยกมาเป็น 1 ใน Top 3 ของเขา เพราะ เพียร์ซ บรอสแนน มีฉากร้องเพลงอยู่ในเรื่องไม่น้อย ซึ่งอาจจะแปลกตาไม่คุ้นเคย แต่เขาก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีจริง
มาร์ติน แคมเบลล์
เรียกได้ว่าเป็นผู้กำกับระดับหัวแถวอีกคนหนึ่งของฮอลลีวู้ด ด้วยผลงานที่ประสบความสำเร็จมาหลายเรื่อง แต่ที่ดูเหมือนจะได้รับการยอมรับมากที่สุดนั่นคือเขาเป็นผู้กำกับหนังชุด เจมส์ บอนด์ ถึง 2 เรื่อง และเป็นตอนแรกของนักแสดงที่มารับบท เจมส์ บอนด์ ถึง 2 คนอีกด้วย คนแรกคือ เพียร์ซ บรอสแนน กับเรื่อง Goldeneye (1994) ที่เขียนถึงใน Top 3 ของนักแสดงไป แล้วอีกเรื่องหนึ่งเป็น 1 ใน Top 3 ของ มาร์ติน แคมป์เบลล์ นั่นเอง
The Mask of Zorro (1998)
หน้ากากโซโร
หลังจากประสบความสำเร็จจากหนังชุด เจมส์ บอนด์ ด้วยเรื่อง Goldeneye (1995) ผลงานชิ้นต่อไปของ มาร์ติน แคมเบลล์ คือการนำเอาเรื่องราวของจอมโจรธรรมที่เคยโด่งดังนอดีตทั้งจากหนังสือและหนังทีวีชุดคือ “หน้ากากดำโซโร” มาเป็นภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่อีกครั้ง ซึ่งเขาทำได้สำเร็จในการปลุกชีพยอดนักสู้อีกคน เป็นผลให้มีภาคต่อตามมาซึ่ง มาร์ติน แคมเบลล์ ยังเป็นผู้กำกับเช่นเคย
Vertical Limit (2000)
เวอร์ติคัล ลิมิต ไต่เป็น ไต่ตาย
แม้คำวิจารณ์ของหนังจะออกมากลาง ๆ แต่ในความเป็นหนังผจญภัยแล้วนี่คือหนังที่ทำได้ตื่นเต้นสนุกสนานตามแนวทางของตัวเองได้ดี เรื่องราวของการต่อสู้กับความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติที่มีการเอาชนะตัวเองเป็นสำคัญ หนังใช้ฉากหลังคือยอดเขาเคทูที่สูงเป็นอันดับสองของโลกแต่มีภูมิประเทศที่อันตรายและยากต่อการพิชิตมากกว่ายอขาเอเวอร์เรสต์มากนัก
Casino Royale (2006)
007 พยัคฆ์ร้ายเดิมพันระห่ำโลก
เพราะความสำเร็จในการคืนชีพให้กับหนังชุด เจมส์ บอนด์ จากเรื่อง Goldeneye (1995) ทำให้เมื่อต้องการจะรีบู๊ทแฟรนไชส์ชุดนี้ มาร์ติน แคมเบลล์ จึงถูกเรียกกลับมาอีกรอบ และเขาก็ไม่ได้ทำให้แฟนพันธุ์แท้ เจมส์ บอนด์ ผิดหวัง เพราะ Casino Royale (2006) คือความสมบูรณ์อย่างที่สุดจนอาจจะเรียกได้ว่านี่คือการมาสเตอร์พีซของเขาเลยทีเดียว พร้อมกับการันตีชื่อของ มาร์ติน แคมเบลล์ ว่าเป็นผู้กำกับหนังแอ๊คชั่นที่โดดเด่นที่สุดอีกคนหนึ่ง เพราะเขาไม่ได้มีดีแค่ฉากแอ๊คชั่น แต่แฝงเรื่องราวดรามาเอาไว้อย่างแนบเนียน
เพราะฉะนั้นเมื่อถึงวันนี้ วันที่มีชื่อของ เฉินหลง (แจ๊คกี้ ชาน), เพียร์ซ บรอสแนน และมาร์ติน แคมเบลล์ มาทำงานร่วมกันใน
The Foreigner ทุกอย่างจึงถูกรับรองด้วยเครดิทที่น่าชื่นชม และเชื่อว่านี่อาจจะเป็นมาสเตอร์พีซเรื่องใหม่ของพวกเขาทั้งสาม
เฉินหลง, เพียร์ซ บรอสแนน และ มาร์ติน แคมเบลล์ การพบกัยของสามสุดยอดใน The Foreigner
สัปดาห์นี้จะมีหนังแอ๊คชั่นน่าดูเข้าฉายนั่นคือเรื่อง The Foreigner – 2 โคตรพยัคฆ์ผู้ยิ่งใหญ่ - เข้าฉาย ความน่าสนใจของหนังเรื่องนี้อยู่ตรงที่ 3 บุคคลสำคัญของหนัง นั่นคือ 1 ผู้กำกับและ 2 สองนักแสดงนำที่ต่างมีผลงานชั้นเยี่ยมมาแล้วมากมาย เราลองมาเลือกกันดูว่าผลงานที่ผ่านมาของพวกเขา มีเรื่องใดบ้างที่อยู่ในขั้นยอดเยี่ยม และเพื่อให้การจัดลำดับความยอดเยี่ยมเข้มขันขึ้น จึงขอคัดเลือกมาเพียง 3 อันดับ ของ 3 สุดยอดคน ตามนี้
ปล. จัดลำดับตามปีที่ฉาย ไม่ได้จัดลำดับตามความเด่น ทั้ง 3 เรื่องของแต่ละคนจึงมีความโดดเด่นเท่ากัน
เฉินหลง (แจ๊คกี้ ชาน)
การจะคัดเลือกหนังเรื่องเด่นเพียง 3 เรื่องของเฉินหลงดูจะเป็นเรื่องที่ยากที่สุด เพราะตลอดการทำงานของเขามีงานระดับยอดเยี่ยมอยู่นับสิบ ตั้งแต่หนังกังฟูฮ่องกงในวัยหนุ่มเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน แต่เพื่อให้ได้มาตามจำนวนที่ต้องการจึงต้องขอกำหนดขอบเขตเฉพาะหนังในระดับ “โกอินเตอร” ของเขาเท่านั้น กระนั้นก็ยังเลือกยากอยู่ดี แต่ก็ได้ผลออกมา 3 เรื่องดังนี้
Rush Hour (1998) คู่ใหญ่ฟัดเต็มสปีด
คงไม่มีคอหนังแอ๊คชั่นหรือคนที่ชื่นชอบเฉินหลงคนใดไม่รู้จักเรื่องนี้ เพราะนี่คือการ “โกอินเตอร์” ในฮอลลีวู้ดเป็นครั้งที่สองของเขา และเป็นหนังที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากจนทำให้ชื่อ แจ๊คกี้ ชาน หรือ เฉินหลง ได้กลายเป็นซูเปอร์สตาร์ไปในทันที หนังใช้ประโยชน์จากเฉินหลงได้เต็มที่ ทั้งความสามารถในบทแอ๊คชั่นรวมไปถึงบทแบบเบาสมอง นับเป็นงานเปิดตัวในฮอลลีวู้ด (อีกครั้ง) ที่สมบูรณ์แบบ
Shanghai Noon (2000) คู่ใหญ่ฟัดข้ามโลก
หลังจากความสำเร็จของ Rush Hour (1998) ได้ถูกตอกย้ำด้วยเรื่องนี้ที่กลายเป็นหนังระดับมาสเตอร์พีซในการโกอินเตอร์ของเฉินหลงอีกครั้ง แม้หนังยังคงรูปแบบเดิมคือการเป็นแอ๊คชั่นคอมเมดี้แบบคู่หู แต่หนังได้สร้างความแปลกใหม่ที่น่าสนใจโดยกำหนดฉากหลัวให้กลายเป็นหนังบุกเบิกตะวันตก ทำให้หนังหลุดกรอบเดิม ๆ จากหนังแอ๊คชั่นอีกหลายเรื่องที่แล้วมา และนั่นคือหนึ่งในกุญแจของความสำเร็จในครั้งนี้
The Karate Kid (2010) เดอะ คาราเต้ คิด
แม้คำวิจารณ์ของหนังรีเมคหนังเรื่องดังของยุค 80 ในครั้งนี้จะไม่ดีนัก แต่ต้องยอมรับว่าเฉินหลงคือสิ่งที่ดีที่สุดของหนังเรื่องนี้ก็ว่าได้ ที่สำคัญคือเฉินหลงได้มีโอกาสแสดงบทดรามาในหนังระดับอินเตอร์อีกด้วย ด้วยเหตุนี้เองจึงได้จัดให้หนังเรื่องนี้อยู่ในผลงานระดับ Top 3 ของเขา (ในระดับฮอลลีวู้ด) เพราะเฉินหลงคือหัวใจสำคัญของเรื่องนั่นเอง
เพียร์ซ บรอสแนน
สิ่งที่ทุกคนจดจำ เพียร์ซ บรอสแนน ได้ดีที่สุดคือการที่เขารับบทเป็น เจมส์ บอนด์ ยอดสายลับชาวอังกฤษเจ้าของรหัส 007 ในหนังแฟรนไชส์ เจมส์ บอนด์ จำนวน 4 เรื่องตั้งแต่ปี 1995 ถึงปี 2002 จนอาจจะเรียกได้ว่าเขาคือ เจมส์ บอนด์ ของคนยุค 90 เลยก็ว่าได้ ถ้าจะเลือกหนัง Top 3 ของเขาจะมาจากหนังชุด เจมส์ บอนด์ ทั้งหมดเลยก็ย่อมได้ แต่ขอเลือกเอาไว้เพียงแค่เรื่องเดียว เพื่อเปิดโอกาสให้กับงานเด่นของเขาในเรื่องอื่นที่มีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
Goldeneye (1995) พยัคฆ์ร้าย 007 รหัสลับทลายโลก
หนังชุด เจมส์ บอนด์ เรื่องที่ 17 (แบบเป็นทางการ) และเป็นตอนแรกที่มี เพียร์ซ บรอสแนน มารับบทยอดสายลับ ซึ่งเขาเป็น เจมส์ บอนด์ ที่แฟนพันธุ์แท้หนังชุดนี้ยอมรับได้ตั้งแต่นาทีแรกที่ปรากฏตัว เพียร์ซ จึงเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่ช่วงต่อลมหายใจของหนังชุดนี้ขึ้นมาอีกครั้งหลังจากทำท่าจะล่มสลายลงไปตั้งแต่เมื่อ 6 ปีก่อน อีกทั้งยังอาจจะกล่าวได้ว่า นี่คือหนังในชุด เจมส์ บอนด์ ที่ดีที่สุดของ เพียร์ซ บรอสแนน ก็ว่าได้
The Thomas Crown Affair (1999) เกมรักหักเหลี่ยมจารกรรม
ผลงานรีเมคจากหนังคลาสสิค The Thomas Crown Affair (1968) ที่ เพียร์ซ บรอสแนน มารับบทเดิมที่เคยเป็นของ สตีฟ แม็คควีน มาก่อน แม้คำวิจารณ์ภาพรวมของหนังจะออกมากลาง ๆ แต่ เพียร์ซ บรอสแนน รวมทั้ง เรเน่ รุสโซ่ นักแสดงร่วมในบทนำคือสิ่งที่ดีที่สุดของหนัง สำหรับ เพียร์ซ บรอสแนน แล้วเขาดูที่เข้ากันได้ดีกับบทมหาเศรษฐีผู้ชื่นชอบในอาชญากรรม และเป็นอีกบทที่ทุกคนจะนึกถึงเมื่อจะหาบทที่ดีที่สุดของเขา
Mamma Mia! (2008) มัมมา มีอา วิวาห์วุ่นลุ้นหาพ่อ
หนังเรื่องนี้อาจจะดูผิดที่ผิดทางไปบ้างเมื่อเทียบกับเรื่องอื่น ๆ ในลิสต์ชุดนี้ เพราะนี่คือหนังเพลงที่สร้างจากละครเพลงซึ่งนำเอาเพลงของวง Abba มาร้อยเรียงให้เป็นเรื่องราว แม้หนังจะมีบทของผู้หญิงที่โดดเด่นกว่า แต่ เพียร์ซ บรอสแนน ก็มีบทเด่นในระดับหนึ่ง และเหตุที่ถูกยกมาเป็น 1 ใน Top 3 ของเขา เพราะ เพียร์ซ บรอสแนน มีฉากร้องเพลงอยู่ในเรื่องไม่น้อย ซึ่งอาจจะแปลกตาไม่คุ้นเคย แต่เขาก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีจริง
มาร์ติน แคมเบลล์
เรียกได้ว่าเป็นผู้กำกับระดับหัวแถวอีกคนหนึ่งของฮอลลีวู้ด ด้วยผลงานที่ประสบความสำเร็จมาหลายเรื่อง แต่ที่ดูเหมือนจะได้รับการยอมรับมากที่สุดนั่นคือเขาเป็นผู้กำกับหนังชุด เจมส์ บอนด์ ถึง 2 เรื่อง และเป็นตอนแรกของนักแสดงที่มารับบท เจมส์ บอนด์ ถึง 2 คนอีกด้วย คนแรกคือ เพียร์ซ บรอสแนน กับเรื่อง Goldeneye (1994) ที่เขียนถึงใน Top 3 ของนักแสดงไป แล้วอีกเรื่องหนึ่งเป็น 1 ใน Top 3 ของ มาร์ติน แคมป์เบลล์ นั่นเอง
The Mask of Zorro (1998) หน้ากากโซโร
หลังจากประสบความสำเร็จจากหนังชุด เจมส์ บอนด์ ด้วยเรื่อง Goldeneye (1995) ผลงานชิ้นต่อไปของ มาร์ติน แคมเบลล์ คือการนำเอาเรื่องราวของจอมโจรธรรมที่เคยโด่งดังนอดีตทั้งจากหนังสือและหนังทีวีชุดคือ “หน้ากากดำโซโร” มาเป็นภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่อีกครั้ง ซึ่งเขาทำได้สำเร็จในการปลุกชีพยอดนักสู้อีกคน เป็นผลให้มีภาคต่อตามมาซึ่ง มาร์ติน แคมเบลล์ ยังเป็นผู้กำกับเช่นเคย
Vertical Limit (2000) เวอร์ติคัล ลิมิต ไต่เป็น ไต่ตาย
แม้คำวิจารณ์ของหนังจะออกมากลาง ๆ แต่ในความเป็นหนังผจญภัยแล้วนี่คือหนังที่ทำได้ตื่นเต้นสนุกสนานตามแนวทางของตัวเองได้ดี เรื่องราวของการต่อสู้กับความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติที่มีการเอาชนะตัวเองเป็นสำคัญ หนังใช้ฉากหลังคือยอดเขาเคทูที่สูงเป็นอันดับสองของโลกแต่มีภูมิประเทศที่อันตรายและยากต่อการพิชิตมากกว่ายอขาเอเวอร์เรสต์มากนัก
Casino Royale (2006) 007 พยัคฆ์ร้ายเดิมพันระห่ำโลก
เพราะความสำเร็จในการคืนชีพให้กับหนังชุด เจมส์ บอนด์ จากเรื่อง Goldeneye (1995) ทำให้เมื่อต้องการจะรีบู๊ทแฟรนไชส์ชุดนี้ มาร์ติน แคมเบลล์ จึงถูกเรียกกลับมาอีกรอบ และเขาก็ไม่ได้ทำให้แฟนพันธุ์แท้ เจมส์ บอนด์ ผิดหวัง เพราะ Casino Royale (2006) คือความสมบูรณ์อย่างที่สุดจนอาจจะเรียกได้ว่านี่คือการมาสเตอร์พีซของเขาเลยทีเดียว พร้อมกับการันตีชื่อของ มาร์ติน แคมเบลล์ ว่าเป็นผู้กำกับหนังแอ๊คชั่นที่โดดเด่นที่สุดอีกคนหนึ่ง เพราะเขาไม่ได้มีดีแค่ฉากแอ๊คชั่น แต่แฝงเรื่องราวดรามาเอาไว้อย่างแนบเนียน
เพราะฉะนั้นเมื่อถึงวันนี้ วันที่มีชื่อของ เฉินหลง (แจ๊คกี้ ชาน), เพียร์ซ บรอสแนน และมาร์ติน แคมเบลล์ มาทำงานร่วมกันใน The Foreigner ทุกอย่างจึงถูกรับรองด้วยเครดิทที่น่าชื่นชม และเชื่อว่านี่อาจจะเป็นมาสเตอร์พีซเรื่องใหม่ของพวกเขาทั้งสาม