
สิ่งหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของเฉินหลง (แจ๊คกี้ ชาน) เสมอมานอกจากวิชากังฟูที่ยอดเยี่ยมรวมถึงการเสี่ยงตายเล่นจริงเจ็บจริงเกือบทุกเรื่องแล้วก็คงเป็นอารมณ์ขันและบทบาททะเล้นขี้เล่นของเขา นับตั้งแต่ผลงานสร้างชื่ออย่าง
Snake in Eagle’s Shadow (1978) -
ไอ้หนุ่มพันมือ และ
Drunken Master (1978) –
ไอ้หนุ่มหมัดเมา ที่กระบวนท่ารำมวย คิวบู๊ของเขามักจะแฝงไว้ด้วยอารมณ์ขันและสิ่งนี้เองที่สร้างความแตกต่างจากหนังกังฟูในยุคเดียวกัน และกลายเป็นเครื่องหมายการค้าของเฉินหลงเรื่อยมา เรียกได้ว่านอกจากฉากแอ๊คชั่นที่ลื่นไหล สนุก เร้าใจแล้ว หนังของเฉินหลงยังมีทีเด็ดในการเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะอีกด้วย
หลังจากสร้างชื่อเสียงในหนังกังฟูยุคแรกแล้ว หนังของเฉินหลงก็เปลี่ยนเข้าสู่นักแอ๊คชั่นตามสมัยนิยม อารมณ์ขันของหนังได้ถูกถ่ายทอดผ่านคิวบู๊ต่าง ๆ หนังแอ๊คชั่นที่มีเขานำแสดง (และอาจจะกำกับคิวบู๊เองด้วย) จึงดูไม่ต่างจากหนังกังฟูในยุคแรกสักเท่าไหร่ นั่นคือความลื่นไหล จังหวะการรับส่งคิวบู๊ที่ลงตัว ตัวอย่างของหนังกลุ่มนี้ อาทิเช่น
Project A (1983) –
เอไกหว่า,
Police Story (1985)
วิ่ง สู้ ฟัด,
Armour of God (1987) –
ใหญ่สั่งมาเกิด และ
Miracles (1989) –
ฉีจี้ เป็นต้น ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่ายุคนี้เป็นยุคทองของเฉินหลงเลยทีเดียว

เข้าสู่กลางยุค 90 ผลงานของเฉินหลงเริ่มหลากหลายขึ้น ลดอารมณ์ขันของหนังลง เพิ่มส่วนของดรามามากขึ้น แต่คิวบู๊ของหนังยังคงลื่นไหลสวยงามเช่นเดิม สาเหตุหนึ่งอาจจะเป็นเพราะเขาได้ขยายฐานคนดูสู่ชาติตะวันตกมากขึ้น กอปรกับวัยที่ร่วงโรยจนไม่อาจบ้าบิ่นเสี่ยงตายได้เหมือนเดิม เมื่อเฉินหลงได้เป็นที่นิยมในฮอลลีวู้ด ผลงานของเขาอาจจะยังเป็นแนวทางแอ๊คชั่นสนุกสนานสำหรับตลาดตะวันตก แต่เมื่อใดที่เฉินหลงกลับมาทำหนังในบ้านเกิด เขาจะหันมาหาแนวทางดรามามากขึ้น สิ่งที่เป็นข้อพิสูจน์ได้อย่างดีคือหนังอย่าง
New Police Story (2004) -
วิ่งสู้ฟัด 5 เหิรสู้ฟัด และ
Shinjuku Incident (2009) –
ใหญ่แค้นเดือด

ในยุคนี้เองที่เฉินหลงหาแนวทางใหม่ในหนังของตัวเองเรื่อย ๆ มีทั้งหนังแนวโบราณ
The Myth (2005) -
ดาบทะลุฟ้า ฟัดทะลุเวลา,
Dragon Blade (2015) -
ดาบมังกรฟัด หนังแอ๊คชั่นคอมเมดี้ตามแนวถนัดแต่เพิ่มขนาดของหนังให้กลายเป็นหนังนานาชาติอย่าง
Chinese Zodiac (2012) -
วิ่งปล้นฟัด หรือ
Kung Fu Yoga (2017) -
โยคะสู้ฟัด แต่ในทุกเรื่องมักจะสอดแทรกอารมณ์ดรามา มากบ้างน้อยบ้าง เพราะในเวลานี้เฉินหลงไม่ใช่แค่นักแสดงบทกังฟูเพียงอย่างเดียวอีกแล้ว แต่เขาคือนักแสดงผู้ยิ่งใหญ่ที่กลายเป็นตำนาน
มาถึงวันนี้ เฉินหลง (แจ๊คกี้ ชาน) ไปได้ไกลอีกก้าว เมื่อ
The Foreigner –
2 โคตรพยัคฆ์ผู้ยิ่งใหญ่ ผลงานหนังใหม่ของเขาไม่ได้เป็นแค่หนังแอ๊คชั่นธรรมดา หากแต่สอดแทรกด้วยความเป็นดรามาที่ซับซ้อน ซึ่งตัวหนังเองไม่ใช่แค่หนังในภูมิภาคแต่กลับเป็นหนังขนาดใหญ่ในระดับฮอลลีวู้ดด้วยผู้ร่วมแสดงอย่าง เพียร์ซ บรอสแนน และผู้กำกับมาร์ติน แคมเบลล์ เจ้าของผลงานหนังเจมส์ บอนด์ถึงสองเรื่องคือ
Goldeneye (1995) และ
Casino Royale (2006) แม้หนังเรื่องนี้จะยังอยู่ในแนวทางแอ๊คชั่นแต่หนังก็มีส่วนของดรามา การแสดงอารมณ์ที่บีบคั้นสอดแทรกอยู่ในเรื่อง สิ่งนี้ย่อมเป็นการันตีถึงฝีมือการแสดงของเฉินหลงได้เป็นอย่างดี ว่าเขาพร้อมแล้วสำหรับหนังดรามาหนัก ๆ และตอกย้ำการเป็นนักแสดงซูเปอร์สตาร์ที่แท้จริง
เฉินหลงในวันนี้จึงไม่ใช่แค่ Mr. Funny Guy อีกต่อไป และ
The Foreigner จะเป็นเครื่องพิสูจน์ฝีมืออีกครั้งของเขา อีกไม่กี่วันได้รู้กัน
The Foreigner เฉินหลงกับบทบาทใหม่ ที่จะพิสูจน์ความเป็นสุดยอดนักแสดงของเขา
สิ่งหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของเฉินหลง (แจ๊คกี้ ชาน) เสมอมานอกจากวิชากังฟูที่ยอดเยี่ยมรวมถึงการเสี่ยงตายเล่นจริงเจ็บจริงเกือบทุกเรื่องแล้วก็คงเป็นอารมณ์ขันและบทบาททะเล้นขี้เล่นของเขา นับตั้งแต่ผลงานสร้างชื่ออย่าง Snake in Eagle’s Shadow (1978) - ไอ้หนุ่มพันมือ และ Drunken Master (1978) – ไอ้หนุ่มหมัดเมา ที่กระบวนท่ารำมวย คิวบู๊ของเขามักจะแฝงไว้ด้วยอารมณ์ขันและสิ่งนี้เองที่สร้างความแตกต่างจากหนังกังฟูในยุคเดียวกัน และกลายเป็นเครื่องหมายการค้าของเฉินหลงเรื่อยมา เรียกได้ว่านอกจากฉากแอ๊คชั่นที่ลื่นไหล สนุก เร้าใจแล้ว หนังของเฉินหลงยังมีทีเด็ดในการเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะอีกด้วย
หลังจากสร้างชื่อเสียงในหนังกังฟูยุคแรกแล้ว หนังของเฉินหลงก็เปลี่ยนเข้าสู่นักแอ๊คชั่นตามสมัยนิยม อารมณ์ขันของหนังได้ถูกถ่ายทอดผ่านคิวบู๊ต่าง ๆ หนังแอ๊คชั่นที่มีเขานำแสดง (และอาจจะกำกับคิวบู๊เองด้วย) จึงดูไม่ต่างจากหนังกังฟูในยุคแรกสักเท่าไหร่ นั่นคือความลื่นไหล จังหวะการรับส่งคิวบู๊ที่ลงตัว ตัวอย่างของหนังกลุ่มนี้ อาทิเช่น Project A (1983) – เอไกหว่า, Police Story (1985) วิ่ง สู้ ฟัด, Armour of God (1987) – ใหญ่สั่งมาเกิด และ Miracles (1989) – ฉีจี้ เป็นต้น ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่ายุคนี้เป็นยุคทองของเฉินหลงเลยทีเดียว
เข้าสู่กลางยุค 90 ผลงานของเฉินหลงเริ่มหลากหลายขึ้น ลดอารมณ์ขันของหนังลง เพิ่มส่วนของดรามามากขึ้น แต่คิวบู๊ของหนังยังคงลื่นไหลสวยงามเช่นเดิม สาเหตุหนึ่งอาจจะเป็นเพราะเขาได้ขยายฐานคนดูสู่ชาติตะวันตกมากขึ้น กอปรกับวัยที่ร่วงโรยจนไม่อาจบ้าบิ่นเสี่ยงตายได้เหมือนเดิม เมื่อเฉินหลงได้เป็นที่นิยมในฮอลลีวู้ด ผลงานของเขาอาจจะยังเป็นแนวทางแอ๊คชั่นสนุกสนานสำหรับตลาดตะวันตก แต่เมื่อใดที่เฉินหลงกลับมาทำหนังในบ้านเกิด เขาจะหันมาหาแนวทางดรามามากขึ้น สิ่งที่เป็นข้อพิสูจน์ได้อย่างดีคือหนังอย่าง New Police Story (2004) - วิ่งสู้ฟัด 5 เหิรสู้ฟัด และ Shinjuku Incident (2009) – ใหญ่แค้นเดือด
ในยุคนี้เองที่เฉินหลงหาแนวทางใหม่ในหนังของตัวเองเรื่อย ๆ มีทั้งหนังแนวโบราณ The Myth (2005) - ดาบทะลุฟ้า ฟัดทะลุเวลา, Dragon Blade (2015) - ดาบมังกรฟัด หนังแอ๊คชั่นคอมเมดี้ตามแนวถนัดแต่เพิ่มขนาดของหนังให้กลายเป็นหนังนานาชาติอย่าง Chinese Zodiac (2012) - วิ่งปล้นฟัด หรือ Kung Fu Yoga (2017) - โยคะสู้ฟัด แต่ในทุกเรื่องมักจะสอดแทรกอารมณ์ดรามา มากบ้างน้อยบ้าง เพราะในเวลานี้เฉินหลงไม่ใช่แค่นักแสดงบทกังฟูเพียงอย่างเดียวอีกแล้ว แต่เขาคือนักแสดงผู้ยิ่งใหญ่ที่กลายเป็นตำนาน
มาถึงวันนี้ เฉินหลง (แจ๊คกี้ ชาน) ไปได้ไกลอีกก้าว เมื่อ The Foreigner – 2 โคตรพยัคฆ์ผู้ยิ่งใหญ่ ผลงานหนังใหม่ของเขาไม่ได้เป็นแค่หนังแอ๊คชั่นธรรมดา หากแต่สอดแทรกด้วยความเป็นดรามาที่ซับซ้อน ซึ่งตัวหนังเองไม่ใช่แค่หนังในภูมิภาคแต่กลับเป็นหนังขนาดใหญ่ในระดับฮอลลีวู้ดด้วยผู้ร่วมแสดงอย่าง เพียร์ซ บรอสแนน และผู้กำกับมาร์ติน แคมเบลล์ เจ้าของผลงานหนังเจมส์ บอนด์ถึงสองเรื่องคือ Goldeneye (1995) และ Casino Royale (2006) แม้หนังเรื่องนี้จะยังอยู่ในแนวทางแอ๊คชั่นแต่หนังก็มีส่วนของดรามา การแสดงอารมณ์ที่บีบคั้นสอดแทรกอยู่ในเรื่อง สิ่งนี้ย่อมเป็นการันตีถึงฝีมือการแสดงของเฉินหลงได้เป็นอย่างดี ว่าเขาพร้อมแล้วสำหรับหนังดรามาหนัก ๆ และตอกย้ำการเป็นนักแสดงซูเปอร์สตาร์ที่แท้จริง
เฉินหลงในวันนี้จึงไม่ใช่แค่ Mr. Funny Guy อีกต่อไป และ The Foreigner จะเป็นเครื่องพิสูจน์ฝีมืออีกครั้งของเขา อีกไม่กี่วันได้รู้กัน