[CR] รีวิว ซ่อม iPhone ที่ Apple Store สาขา Ginza

กระทู้รีวิว
เรื่องมันเริ่มจากการที่ iPhone 6 Plus หลังจากรับใช้ผมมาอย่างดีกว่า 2ปี ปรากฏว่าแบตเตอรี่มันเริ่มจะมีปัญหา ที่แน่นอนคือหมดประกันเรียบร้อย ดังนั้นทางเลือกของผมก็มีดังนี้ (ผมขออนุญาตไม่อธิบายว่าทำไมจึงไม่เปลี่ยนไปใช้ยี่ห้ออื่นนะครับ เพราะมันนอกประเด็นของโพสต์นี้)
- เปลี่ยนแบตกับร้านตู้
- สั่งแบตมาเปลี่ยนเอง
- เปลี่ยนกับศูนย์ iCare ตัวแทนซ่อมของ Apple ในบ้านเรา
ซึ่งที่สุดแล้วผมไม่เลือกทั้งสามตัวเลือกเลย
1. เพราะการเปลี่ยนแบตกับร้านตู้มีความเสี่ยงสูง ทั้งคุณภาพแบตและฝีมือช่าง ผมมีประสบการณ์นำมือถือไปเปลี่ยนแบต แล้วสุดท้ายต้องซ่อมอย่างอื่นตามมาอีก ในที่สุดก็ต้องทิ้งเครื่องนั้นไปเพราะตามซ่อมไม่ไหว  
2. ถึงแม้ผมจะมีประสบการณ์เคยซ่อมอุปกรณ์ไอทีมาพอสมควร โดยสั่งอะไหล่มาเปลี่ยนเอง ทำให้รู้ว่าการสั่งของจากเว็บนอกเหมือนเสี่ยงดวง จะสั่งแบตยี่ห้อในไทยอย่าง comxxx ก็พบว่ามีคนที่เจอของมีปัญหาค่อนข้างมาก ซึ่งผมไม่ยินดีแน่ๆ ถ้าต้องงัดเครื่องหลายๆ รอบเพื่อเปลี่ยนอะไหล่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
3. สำหรับ iCare ความจริงเป็นตัวเลือกแรก และยอมรับได้กับราคา 3800บาท  เพราะกะแล้วว่าถ้าเปลี่ยนแบตแล้วใช้ต่ออีก 2ปี ก็คุ้มค่าอยู่ แต่สุดท้ายแล้วตัดตัวเลือกนี้ออกไปเพราะพอดีช่วงกลางเดือนที่ผ่านมาผมมีโอกาสได้เดินทางไปโตเกียว ก่อนเดินทางแค่ไม่กี่วัน ผมลองเช็คกับทางเว็บไซต์ Apple Store พบว่าที่ร้านมีบริการเปลี่ยนแบตเตอรี่ iPhone ที่หมดประกันแล้วด้วย เลยคิดว่าไหนๆ จะเสียเงินแล้วก็ขอสัมผัสประสบการณ์งานซ่อมกับ Apple Store สักทีละกันครับ

หน้าร้าน Apple Store สาขา Ginza ครับ

ผมเดินทางไปถึง Apple Store สาขา Ginza ช่วงเช้า หลังจากร้านเปิดประมาณ 30นาที ที่ชั้นล่างเป็นหน้าร้านขายสินค้าและมีพนักงานอยู่จำนวนมากพอๆ กับลูกค้า ทันทีที่ผมเดินเข้าไปในร้านก็มีพนักงานหญิงคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาสอบถามทันทีว่าจะให้ช่วยอะไรไหม ผมแจ้งว่านำเครื่อง iPhone มาเช็คแบตเตอรี่ พนักงานสอบถามต่อว่าได้ทำการนัดเวลากับ Genius Bar แล้วหรือยัง (คือ Genius Bar นี่เป็น section นึงข้างในร้าน Apple Store ที่จะแก้ปัญหาให้ลูกค้าทั้งด้าน Software และด้าน Hardware เรียกว่าแยกส่วนออกจากงานขาย แต่อยู่ในร้านเดียวกันนะครับ และความจริงแล้วก่อนที่คุณจะนำสินค้า Apple เข้าไปซ่อมที่แผนก Genius Bar ได้นี่ต้องมีการนัดไว้ล่วงหน้าด้วย) ยุ่งละสิผมไม่ได้นัดเอาไว้เสียด้วย พอบอกพนักงานไป เขาก็เลยให้ผมขึ้นลิฟท์ตรงไปที่ Genius Bar บนชั้น 4 เพื่อไปต่อคิวเข้ารับบริการโดยที่ไม่ได้นัดหมาย
ตรงนี้มีความประทับใจกับความพยายามในการสื่อสารของคนญี่ปุ่นมากๆ ครับ คือไม่มั่นใจว่าปัญหาเกิดจากสำเนียงภาษาอังกฤษของผมค่อนข้างแย่ หรือทักษะการฟังของผมอ่อนแอ แต่เขาก็หาวิธีสื่อสารจนรู้เรื่องกันได้ด้วยการใช้ Google Translate ครับ (ฮา)

ที่นี่เขาจะมีลิฟท์สองตัวครับ ตัวนึงแวะทุกชั้น อีกตัวจอดแค่ชั้นล่าง กับชั้น 4 (Genius Bar) เท่านั้น ระหว่างที่โดยสารลิฟท์ขึ้นไป เนื่องจากเป็นลิฟท์แก้ว เราจะมองทะลุไปเห็นว่าชั้น 2 กับชั้น 3 จะเป็น ชั้นที่ขายอุปกรณ์เสริมอื่นๆ กับอีกชั้นนึงเป็นคล้ายๆ โรงหนัง มีจอขนาดยักษ์อยู่ด้านใน และมีเก้าอี้เรียงเป็นจำนวนมากเหมือนโรงหนังย่อมๆ เลย เคยอ่านเจอว่าที่ร้าน Apple Store เขาจะมีห้องที่ทำเอาไว้สำหรับสอนการใช้งานต่างๆ ของสินค้า Apple ด้วย

เคาน์เตอร์ Genius Bar ครับ

พอเราขึ้นมาถึงชั้น 4 จะเห็นว่าเขาแบ่งห้องขนาดใหญ่ออกเป็นสองส่วน ทางซ้ายเป็นเคาน์เตอร์ยาวๆ ด้านหลังเคาน์เตอร์เป็นผนังสีเทา มีตัวอักษรสีดำเขียนว่า Genius Bar อยู่ข้างในสัญลักษณ์อะตอมสีขาวแค่นั้น ด้านในเคาน์เตอร์เป็นพนักงานหลายคนกำลังให้คำแนะนำลูกค้าที่นั่งอยู่ตรงหน้า ซึ่งก็มีลูกค้ากำลังรับบริการอยู่หลายคน  ส่วนทางขวาที่เป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ของห้อง วางโต๊ะขนาดใหญ่เอาไว้หลายตัว แต่ละโต๊ะนั่งได้ 8-10 คน และมีคนนั่งรออยู่ 10-20คนในตอนนั้น  เมื่อเราออกมาจากลิฟท์ จะมีพนักงานยืนรออยู่ เพื่อสอบถามว่าเราได้ทำการนัดหมายเอาไว้หรือไม่ ถ้าทำการนัดหมายไว้แล้วเขาก็จะพาไปนั่งรอตามโต๊ะที่อธิบายไว้ข้างบน ส่วนผมที่ไม่ได้นัดเอาไว้ เขาก็พาเดินไปที่มุมห้องด้านหนึ่งซึ่งมีคนยืนเข้าแถวรออยู่ 2-3 คน และบอกให้ยืนต่อคิวรอตรงนี้จนกว่าพนักงานจะเรียกนะ ตอนนั้นผมเริ่มกังวลเพราะกลัวว่าจะต้องรออีกนาน แต่ผิดคาดครับ ผมยืนรอตรงนั้นอยู่แค่ราว 2-3 นาที ก็มีพนักงานหญิงชาวญี่ปุ่นมาพาไปนั่งที่โต๊ะเพื่อสอบถามว่าเรามาติดต่ออะไร ผมก็แจ้งไปว่านำเครื่องมาตรวจเช็คเนื่องจากแบตเตอรี่มีปัญหา พนักงานก็จัดการเพิ่มนัดหมายให้ผมทันทีโดยทุกอย่างดำเนินการบน iPad เพียงตัวเดียว โดยพนักงานป้อนข้อมูลเกี่ยวกับตัวเครื่องของผม และปัญหาที่ต้องการปรึกษา ผมต้องป้อนชื่อ นามสกุล และเซ็นต์ลายเซนต์บนหน้าจอ จากนั้นพนักงานก็พาเราไปนั่งรอที่โต๊ะอีกตัวหนึ่งที่มีลูกค้ามานั่งรออยู่ก่อนบ้างแล้ว ผมสอบถามว่าเราต้องรอนานแค่ไหน พนักงานแจ้งว่าประมาณ 30นาที และใช้เวลาในการซ่อม (ถ้าจำเป็น) ประมาณ 2ชั่วโมง  

ระหว่างที่นั่งรออยู่นั้นผมก็มองไปที่โต๊ะอื่นๆ สังเกตุว่าแต่ละโต๊ะจะมีพนักงานของ genius bar กำลังให้คำแนะนำลูกค้าอยู่ โดยให้บริการกันแบบ 1:1 เลย ส่วนลูกค้าคนที่ยังไม่ได้รับบริการก็นั่งรอไปก่อนเดี๋ยวก็จะมีพนักงานคนอื่นที่ว่างแล้วเข้ามาให้บริการ ซึ่งน่าจะเป็นการจัดลำดับจากคิวที่นัดหมายเอาไว้แล้ว เกี่ยวกับการให้บริการบน genius bar สังเกตุว่าบางคนก็ไม่ได้มาด้วยปัญหาทาง hardware แต่มาขอคำแนะนำในการใช้งานต่างๆ ทั้ง iPhone, iPod, iPad, Mac ฯลฯ ครับ
สังเกตุว่าพนักงานที่ชั้นนี้มีทั้งคนญี่ปุ่นและชาวต่างชาติ (ฝรั่งผิวขาว, ผิวดำ, แขก) และทุกคนใช้ภาษาอังกฤษและภาษาญี่ปุ่นได้ดีมาก ฝรั่งก็พูดญี่ปุ่นไฟแลบพอๆ กับที่คนญี่ปุ่นพูดอังกฤษได้คล่องแคล่วเลยครับ

หลังจากนั่งรออยู่ 1ชั่วโมงกว่า ซึ่งผมก็ทำใจเพราะเรามาแบบไม่ได้นัดหมายไว้ล่วงหน้า ก็มีพนักงานชายคนหนึ่งเดินมาสอบถามว่าใช่ apichatosan ไม๊ ผมก็ตอบทันทีว่า Yes! เป็นอันรู้กันว่าอย่าพยายามชวนผมคุยเป็นภาษาญี่ปุ่นเด็ดขาด (ฮา) พนักงานยิ้มแล้วเข้ามานั่งถัดจากผมจากนั้นเขาแจ้งว่าจะใช้อุปกรณ์ของเขา (iPad) ในการตรวจเช็คเครื่อง iPhone ของผม เขาให้ผมปลดล็อคเครื่องจากนั้นเข้าไปที่เมนูในเครื่อง และให้ผมป้อนรหัสผ่าน หลังจากนั้นผมลองแอบดูที่หน้าจอ iPad ของเขาจะมีแจ้งว่ากำลังดำเนินการตรวจสอบอยู่และมีแถบสถานะขึ้นมา รออยู่ครู่ใหญ่โปรแกรมประมวลผลเสร็จ พนักงานดูรายละเอียดบนจอ iPad ของเขาแล้วแจ้งว่าควรจะเปลี่ยนแบตเตอรี่ของ iPhone เครื่องนี้นะ ทางผม ok ไหม พร้อมกับแจ้งค่าใช้จ่ายว่าประมาณ 8800 Yen (ประมาณ 2,640บาท ตามอัตราแลกเปลี่ยน 30บาท/100เยนที่ผมแลกเงินไป) ผมตอบตกลงเพราะตั้งใจมาเปลี่ยนแบตอยู่แล้ว จากนั้นเขาก็ป้อนข้อมูลเพิ่มลงไปใน iPad ให้ผมพิมพ์รหัสปลดล็อคหน้าจอและเซ็นต์ชื่อบนหน้าจอยืนยันว่าให้ทำการซ่อมได้ พนักงานเดินหายไปแป๊บนึงแล้วกลับมาพร้อมเอกสารรับงานซ่อม พร้อมอธิบายว่าต้องใช้เวลาประมาณ 1.30 ชั่วโมงนะ ให้ผมกลับมาอีกครั้งหลังเวลาที่กำหนด แล้วอย่าลืมเอาพาสปอร์ตมาด้วย เพื่อทำ Taxfree ครับ ผมขอบคุณเขาแล้วออกจาก Apple Store เพื่อจะนั่งรถไฟไปเดินเที่ยวตลาดปลาซึกิจิ



หลังจากนั้น 2 ชั่วโมงกว่าๆ ผมกลับมาที่ Apple Store คราวนี้ผมเดินตรงไปขึ้นลิฟท์ขึ้นไปชั้น 4 ที่ Genius Bar เลย ออกจากลิฟท์มาผมยื่นเอกสารให้พนักงานหญิงชาวญี่ปุ่นที่รออยู่หน้าลิฟท์ พนักงานรับเอกสารไปดูแล้วพาผมไปนั่งรอที่เคาน์เตอร์ยาวๆ ทางซ้าย บอกว่าเดี๋ยวจะมีพนักงานมาให้บริการ รอไม่นานนักมีพนักงานชายอีกคนเป็นฝรั่งผิวขาวเดินมาที่เคาน์เตอร์ เขายิ้มให้แล้วสอบถามว่า mr.apichat ใช่ไหม ผมตอบว่าใช่ เขาวางของลงบนเคาน์เตอร์ มีซองโฟมสีขาวกับกล่องกระดาษสีขาวอย่างละอัน พร้อมอธิบายว่าทางเจ้าหน้าที่ของ genius bar ได้ทำการเปลี่ยนแบตเตอรี่ให้แล้ว แต่ปรากฏว่าหลังจากเปลี่ยนแบตเตอรี่เสร็จกลับเปิดเครื่องไม่ติด ทางเขาเลยเสนอว่าจะให้ผมเปลี่ยนเป็นเครื่องใหม่ รุ่นเดิม ความจุ และสีเหมือนเดิมเลยในราคาเดียวกันที่ 8800 Yen ตกลงไหม!  ผมตอบปฏิเสธทันที... เดี๋ยวครับ เดี๋ยว เมื่อกี้ล้อเล่น ตกลงสิครับ พนักงานดึง iPhone เครื่องเก่าของผมออกมาจากซองโฟม แล้วแกะกล่องกระดาษหยิบเอา iPhone เครื่องใหม่ออกมา จากนั้น เขาย้าย SIM มาใส่เครื่องใหม่ แล้วให้ผมแกะกันรอยกระจกจากเครื่องเก่าไปยังเครื่องใหม่ด้วยตัวเอง ผมสอบถามพนักงานว่าเครื่องเก่านั้นเขาจะเอาไปทำอะไร เขาแจ้งว่าทาง Apple จะส่งไปบดทำลาย เพื่อความชัวร์ผมเลยขอให้เขาลบข้อมูลออกจากเครื่อง iPhone ตัวเก่าก่อน ซึ่งพนักงานก็ทำการ reset data & setting ให้เรียบร้อย (สังเกตุว่าเครื่องยังเปิดติดได้ เข้าใจว่าทาง genius bar คงเอาแบตก้อนเดิมกลับมาใส่คืนให้ เพราะพอแบตมันเหลือ 25% ก็ดับวูบไปเลย ซึ่งเป็นอาการเดิมของมันอยู่แล้ว) จากนั้นผมชำระเงินค่าซ่อมและรับเครื่องใหม่มาใส่กระเป๋าไว้เพราะพนักงานแจ้งว่าให้ activate เครื่องหลังจากนั้นอีก 30นาที เพื่อให้เป็นเครื่อง SIM Unlock  ผมขอบคุณพนักงานแล้วออกจาก Apple Store ด้วยความรู้สึกประทับใจกับบริการของ Apple เพราะความจริงเมื่อเปลี่ยนแบตแล้วมันใช้ไม่ได้เขาก็อาจจะเพียงแค่เอาแบตเดิมใส่คืนให้ แล้วจบลงด้วยการคืนเครื่องให้โดยบอกว่าซ่อมไม่ได้ หรือมีอาการเสียที่เมนบอร์ด บลา บลา บลา แล้วเสนอให้เปลี่ยนเครื่องในราคาแพงๆ อย่างที่มีบางคนเจอเวลาเอาไปรับบริการในบ้านเราก็ได้ แต่เขายังเสนอให้เปลี่ยนเครื่องใหม่ในราคาเท่าเดิมทำให้ได้ใจมากจริงๆ ครับ

แกะกล่องมาให้ใหม่เลย

ให้ดูหน้าพนักงานใจดีครับ

ผมไม่คิดว่าทุกคนที่เอามือถือไปเปลี่ยนแบตเตอรี่ใน Apple Store แล้วจะโชคดีได้รับข้อเสนอแบบนี้ทุกคน ก็ถือว่าเป็นการแชร์ประสบการณ์เฉยๆ ละกันนะครับ ^^
ชื่อสินค้า:   Apple Store Ginza
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่