บาเคอร์ (บทที่ 2)

หายไปนานเลยค่ะเพราะงานยุ่ง กับกำลังปั่นเรื่อง เพียงเธอ ด้วย
พอดีกับวันนี้คือวันครบรอบ 16 ปีของเหตุการณ์วันที่ 11 กันยายน 2001 ก็เลยเอาบทที่ 2 ของเรื่องนี้มาลงเพราะมีพูดถึงเหตุการณ์นั้นนิดหนึ่ง ด้วยความสะเทือนใจเพราะยังจำเหตุการณ์ในเช้าวันนั้นได้ขึ้นใจ ก็เลยแทรกเอาไว้เพียงนิดเดียวเท่านั้นค่ะ

บทก่อนหน้านะคะ
บทนำ  https://pantip.com/topic/36454141
บทที่ 1  https://pantip.com/topic/36494421


บทที่ 2



    เป็นการเสนอผลงานค้นคว้าที่น่าหนักใจที่สุดเท่าที่ราณีเคยประสบมา เหตุก็เพราะคนที่นั่งอยู่หลังห้องสัมมนาขนาดใหญ่นี้เพียงคนเดียวเท่านั้นจริงๆ

    ความรู้สึกที่ว่ากำลังพูดถึงบรรพบุรุษของเขา ในดินแดนซึ่งคนเหล่านั้นมีชีวิตอยู่ และโดยที่ตัวเองก็ไม่เคยมีโอกาสได้ไปเห็นกับตาเลยสักครั้งว่าจริงๆ มีสภาพเช่นไร ความรู้สึกนึกคิดของคนเหล่านั้นเป็นอย่างไร จึงได้สร้างสถาปัตยกรรมยิ่งใหญ่ขนาดนั้นขึ้นมาได้ ทำให้เกรงอยู่ตลอดเวลาว่าจะอ้างถึงอะไรที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง หรือแสดงความคิดเห็นใดๆ ก็ตามในลักษณะที่ไม่เหมาะสม

    ไม่เพียงเท่านั้น เขายังเป็นคาทอลิกด้วยอีก นั่นยิ่งแล้วไปใหญ่ในเมื่อส่วนแรกของงานวิจัยนี้พูดถึงความเที่ยงตรงของข้อความในคัมภีร์ไบเบิ้ลที่ระบุไว้ว่าเมืองเออร์ตั้งชื่อตามคนที่ค้นพบ แต่มีการถกเถียงกันมากในระยะหลังๆ ว่าความเชื่อนั้นไม่ได้เที่ยงตรงเสียทีเดียว

    หรือส่วนที่ว่าอับราฮัมออกจากเมืองเออร์และไปตั้งถิ่นฐานที่คานาน บรรดานักวิชาการต่างมีความเห็นขัดแย้งกับเรื่องนั้นด้วยเช่นกัน ในเมื่อปรากฏหลักฐานในภายหลังว่าบ้านของอับราฮัมอยู่เหนือขึ้นไปกว่านั้น ในบริเวณซึ่งมีชื่อว่ายูรา ใกล้ๆ เมืองฮาร์ราน และผู้เล่าเรื่องราวในบทปฐมกาลอาจสับสนเรื่องชื่อของสองเมืองนั้นก็เป็นได้

    แล้วนี่เธอควรเริ่มอย่างไรในเมื่อลำบากใจที่จะเกริ่นนำด้วยเรื่องเหล่านั้นตามที่ได้เตรียมมา ดีที่พอหรี่ไฟทางตอนหน้าของห้องลงเพื่อให้ผู้เข้าฟังเห็นภาพบนจอดิจิตัลชัดเจนขึ้นก็พอช่วยบดบังนัยน์ตาคมกริบที่มองลงมาจากชั้นสูงสุดของอัฒจรรย์ได้บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงแรกๆ

    “เออร์เป็นเมืองท่าสำคัญบนอ่าวเปอร์เซีย ตัวเมืองตั้งอยู่ในดินแดนที่เรียกกันว่าซูเมอร์ ทางตอนใต้ของเมโสโปเตเมีย ที่ซึ่งปัจจุบันคือประเทศอิรัค” จึงเริ่มด้วยสภาพภูมิประเทศซึ่งเป็นส่วนที่สองของบทนำ

“เรารู้จักเออร์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1922 เมื่อ เซอร์ เลนาร์ด วูลีย์ ขุดพบซากปรักหักพังของสถานที่ซึ่งท่านเรียกว่าหลุมความตายขนาดใหญ่ เป็นเครือข่ายหลุมฝังศพที่สลับซับซ้อน รวมเอาราชวงศ์ซึ่งปกครองเออร์อยู่ในเวลานั้นด้วย”

    เธอชี้ไปที่รูปถ่ายบนจอภาพซึ่งแขวนชิดผนังห้อง เป็นภาพมุมสูงของเครือข่ายกำแพงขนาดใหญ่ก่อด้วยอิฐ ล้อมรอบสิ่งก่อสร้างทรงเหลี่ยมซึ่งมีบันไดนำขึ้นไปสู่ส่วนบนสุด

    “เออร์เป็นเมืองใหญ่ทั้งขนาด ขอบเขต และความหรูหรา ความมั่งคั่งมาจากสถานที่ตั้งบนอ่าวเปอร์เซีย ช่วยให้ค้าขายได้ไกลไปถึงอินเดีย จึงกลายเป็นศูนย์กลางการค้าในบริเวณที่แม่น้ำไทกริสบรรจบกับยูเฟรติส และไหลลงอ่าวเปอร์เซีย”

    เพิ่งรู้ตัวว่าทุกครั้งที่จบประโยค และไม่ว่าจะกวาดสายตาไปทางไหน ก็เป็นต้องจบลงที่เขาทุกครั้ง ราวต้องการคำยืนยันว่าไม่ได้เอ่ยอะไรผิดๆ ไป และทุกครั้งอีกเช่นกันที่พอตาสบกัน ยิ้มบางๆ จะผุดขึ้นที่มุมปากได้รูปสวยนั้นเสมอ น่าแปลกที่แม้เขาจะนั่งห่างออกไปขนาดนั้น แต่เมื่อไฟตอนหน้าของห้องจะมีเพียงสลัวๆ เพื่อให้ผู้เข้าฟังเห็นภาพบนจอชัดเจน เมื่อสายตาชินกับสภาพเหลื่อมล้ำของแสงไฟนั้นแล้ว เธอจึงเห็นตอนหลังของห้องได้ชัดเจนทีเดียว

    “ความรุ่งโรจน์ของเออร์อยู่ในยุคสมัยของราชวงศ์ที่สาม คือระยะปี 2047 ถึง 1750 ก่อนคริสตกาล อาคารหอคอยขั้นบันไดที่ยังคงอยู่มาถึงทุกวันนี้ก็สร้างในสมัยนั้น กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในราชวงศ์นี้คือ เออร์-นามมู กับ ชุลกี โอรสของพระองค์ ชุลกีคือผู้สร้างชุมชนเมืองซึ่งเป็นต้นแบบของสังคมเมืองในปัจจุบัน ยุคสมัยของ เออร์-นามมู และ ชุลกี เรียกกันว่า สุเมเรียนเรเนสซองส์”

    ภาพถ่ายบนจอเปลี่ยนตามบทพูดที่เตรียมมา พอถึงภาพสุดท้ายและย่อหน้าสุดท้ายก็ประสานสายตากับเขาแน่วนิ่ง ราวต้องการให้ได้ร่วมรับรู้ด้วยว่าเธอชื่นชมบรรพบุรุษของเขาเพียงไร

    “ความรุ่งโรจน์ของอารยธรรมสุเมเรียนสิ้นสุดลงก็เมื่อเออร์ล่มหลังถูกพวกอิราไมท์รุกราน แต่ถึงอย่างนั้นเออร์ก็ยังคงเป็นเมืองที่มีความสำคัญในฐานะเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้และวัฒนธรรม คำว่า เออร์บัน มีการสืบค้นกันไปไกลที่สุดก็เพียงศตวรรษที่สิบเจ็ด แล้วสรุปเพียงว่ามาจากภาษาละติน เออร์เบนัส หรือชุมชนแบบเมือง แต่ถ้าสืบค้นไปให้ไกลกว่านั้น คงไม่น่าแปลกใจเลยถ้าจะพบว่าต้นกำเนิดที่แท้จริงของคำนี้มาจากชื่อเมืองเออร์นี่เอง”

    ดูเหมือนประโยคสุดท้ายนั่นเองที่เรียกยิ้มละลายใจจากคนซึ่งเธอเฝ้าดูปฏิกริยามาตลอดเกือบห้าสิบนาทีของการเสนองานวิจัยนี้

    ยิ้มนั้นยังคงอยู่เมื่อพบเขาอีกครั้งที่สถานีรถไฟใต้ดินบนถนนสายร้อยสิบหก ราณีแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าเห็นทูตถาวรประจำสหประชาชาติของประเทศหนึ่งกำลังยืนโดดเดี่ยวพิจารณาแผ่นโมเสกที่ประกอบขึ้นเป็นตัวหนังสือ COLUMBIA UNIVERSITY สีขาวบนพื้นดำ ล้อมกรอบด้วยลวดลายงดงาม ตามที่เข้าใจ คนที่อยู่ในตำแหน่งนั้นควรมีรถประจำตำแหน่ง มีคนขับรถส่วนตัว มีองครักษ์ติดตามอย่างน้อยก็สองหรือสามคน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่