ในระหว่างที่นั่งถ่างตารอดูการชกของศรีสะเกษกับโรมันกอนซาเลส(ราวๆ ตีห้าที่บ้านผม) ผมฆ่าเวลาด้วยการเขียนถึงอดีตและความทรงจำเก่าๆ ไปเรื่อยเปื่อยครับ....
หลังจากที่ได้อ่านกระทู้ของคุณรักจริงฯ ที่เฮียแกไปพนันกับเพื่อนเรื่องวงเวียนในกทม. เราเองไม่ใช่คนกทม. อ่านไปก็พลอยตื่นตาตื่นใจไปด้วย บอกตรงๆ ชอบอ่านเรื่องราวคนกทม. เล่าเรื่องราวในกทม. บ้านน๊อกบ้านนอก.. เว้ากันซื่อๆ....คนบ้านนอกอย่างผมมีอาการ “หลงกรุง” ตั้งแต่ก่อนเข้าโรงเรียนนู่นล่ะครับ กรุงเทพในจินตนาการของคนบ้านนอกอย่างผม มันเลิศเลอเปอร์เฟ็คไปซะหมด เวลาคนในหมู่บ้านกลับมาเยี่ยมบ้านในหน้าเทศกาลแล้วหิ้วชะลอมผลไม้มาฝากญาติๆ ก็ยิ่งให้รู้สึกคลั่งไคล้เมืองกรุงเป็นทวี ตอน“บักhumแหล่” เพื่อนร่วมรุ่นสมัยเด็กได้มีโอกาสลงกรุงเทพฯ กับพี่สาวช่วงปิดเทอม พอมันกลับมาหมู่บ้าน พวกเราเด็กๆ รุ่นเดียวกันก็วิ่งกรูไปถามว่า กรุงเทพฯ เป็นไง? หัวลำโพงใหญ่ไหม? แล้วเอ็งเจอดารากี่คน??
มีสิ่งหนึ่งที่เด็กบ้านนอกโดยเฉพาะทางแถบอีสานแอบหนักใจก็คือความยากลำบากในการพูดภาษาคนกรุงเทพฯ (ไทยกลาง) แม้ปัจจุบันจะไม่ค่อยมีแล้ว แต่อย่างน้อยๆ ในยุคของผมนี่ เพื่อนผมบางคนไม่กล้าไปโรงเรียนเพราะกลัวพูดภาษาไทยกลางไม่ชัดในห้องเรียน ผมจำได้ดีว่า ตอนอายุหกขวบ(ก่อนเข้าชั้นประถม) ผมกับเพื่อนๆ รวมกลุ่มกันหัดพูดภาษาไทยกลางโดยมีรุ่นพี่ที่ตอนนั้นเรียนอยู่ชั้นป.๒ คอยกำกับว่าพวกเราพูดถูก(คำและสำเนียง)ไหม? คนที่คอยกำกับก็พูดภาษาไทยกลางไม่ค่อยคล่อง กลายเป็นเตี้ยอุ้มค่อมไป.... ฮ่า ฮ่า ฮ่า นึกแล้วก็อดขำไม่ได้
เวลาอยู่ในห้องเรียน ครูจะห้ามพูดภาษาท้องถิ่นถ้าใครพูดจะถูกตัดคะแนน! และผมพอจะทราบมาว่าบางโรงเรียนในภาคอีสานเขาปรับเป็นเงินด้วย ผะอืดผะอมสิครับ! เวลาครูถามปัญหาอะไร บางทีปัญหาที่ถามนั้นมันตอบได้ไม่ยาก แต่การที่จะต้องตอบเป็นภาษาไทยกลางนี่สิ...ยากกว่าปัญหาซะอีก!! ที่จริงผมเคยเล่าไว้ที่นี่เกี่ยวกับความล้มเหลวในการพูดภาษาไทยของผมนานแล้ว....แต่ขอมาเล่าให้ฟังสั้นๆ อีกครั้ง ตอนที่ผมกระโดดขึ้นบนเวทีใน “วันเด็ก” เพื่อเล่านิทานเอารางวัล เล่าด้วยภาษาไทยกลางผสมภาษพื้นบ้าน(ซะส่วนใหญ่)เล่าจบลงเวทีมานึกว่าจะได้รางวัลและคำชมจากครู ที่ไหนได้!!....โดนเอ็ดขนานใหญ่ว่าพูดภาษาไทยกลางไม่ชัดยังกล้า(ขึ้นเวที) สูญเสียความมั่นใจไปหลายกระบุงโกยเลยครับ ใช้เวลาหลายปีกว่าจะเยียวยาความรู้สึกตรงนั้นที่สูญเสียไป แต่จนป่านนี้ผมก็ยังพูดภาษาไทยกลางไม่ชัดถ้อยชัดคำนะครับ....
ย้อนกลับมาที่กทม..... ผมมีโอกาสได้ลงกทม. ตอนอายุสิบห้า เป็นสามเณรน้อยสะพายย่ามตระเวณหาวัดเรียน นั่งรถไฟครั้งแรกในชีวิต ตื่นตาตื่นใจไปหมด นอนไม่หลับตลอดทาง... ตอนรถไฟพ้นเขตอยุธยากำลังจะเข้ากรุงเทพฯ นี่แหละครับตื่นเต้นมว๊ากก!! เห็นป้ายสถานีรถไฟ “รังสิต” ปานประหนึ่งว่ากำลังเข้าสู่แดนสรวงสวรรค์ คือรู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งว่ากำลังอยู่ในเขตกรุงเทพแล้ว “ดอนเมือง” “สามเสน” “บางซื่อ” ชื่อเหล่านี้คุ้นหูคุ้นตามาตั้งแต่เด็ก....แค่ได้เห็นป้ายชื่อเหล่านั้นก็ตื่นเต้นจริงๆ ครับ และไฮไลต์สุดก็อยู่ปลายทางคือ “หัวลำโพง”.....โอแม่เจ้า...เรากำลังอยู่ในสถานีหัวลำโพงหรือเนี๊ยะ???? ฝันไปหรือเปล่า??? เป็นความรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ
สุดท้าย...เพราะความตื่นเต้นและแสดงความเป็น “บ้านนอก” ได้อย่างเด่นชัด โดนแท็กซี่หลอกซะเข็ด ผม(เป็นสามเณร)บอกแท็กซี่ว่าพาไปส่งวัดใหนก็ได้ที่ใกล้ที่สุด (ตอนนั้นเคยเชื่ออย่างคนบ้านนอกๆ ว่าวัดที่ไหนเขาก็คงรับพระเณรเข้าพัก วัดตามบ้านนอกขนาดคนบ้า คนจรจัดยังสงเคราะห์ให้พักพิงในวัดได้ เราเป็นพระเป็นเณรศิษย์ตถาคตเหมือนกันก็คงได้รับการต้อนรับล่ะน่า?) แท็กซี่พาขับวนไปวนมาชั่วโมงครึ่งกว่าๆ สุดท้ายก็มาปล่อยเราไว้ที่วัดราชนัดดาราม สามเณรบ้านนอกอย่างผมก็สะพายย่ามหิ้วบาตรพะรุงพะรังไปขอกราบท่านเจ้าอาวาส โหย...นึกว่าจะเจอตัวเจ้าอาวาสได้ง่ายๆ เหมือนที่วัดบ้านนอก ปรากฏว่าเจอหลวงพี่ๆ หลวงพี่พาไปหาเจ้าคณะกุฏิ เจ้าคณะกุฏิถามว่ามาจากบ้านนอกเหรอ(คงจะเดาได้จากท่าทาง) ผมกราบนมัสการไปว่าขอรับและกำลังจะมาหาวัดเข้าพัก เท่านั้นแหละ....ผมก็ถูกถามว่าเณรรู้จักใครในวัดนี้ไหม? จบนักธรรมชั้นไหน? เป็นมหาเปรียญหรือเปล่า? ฯลฯ สุดท้ายผมก็หิ้วของพะรุงพะรังออกจากวัดราชนัดดารามมา (ทีแรกตื่นเต้นนึกว่าจะได้จำพรรษาอยู่ที่วัดที่ท่านสุนทรภู่เคยอยู่) จากนั้นก็ตระเวณเข้าไปถามวัดต่างๆ ที่อยู่ใกล้ๆ เช่นวัดปรินายก วัดสิตาราม วัดสระเกศ ไม่มีวัดไหนรับสามเณรน้อยจากบ้านนอกเลยสักวัด สุดท้ายก็ต้องตีตั๋วรถไฟกลับกลับบ้านนอกในเย็นวันนั้น สูดอากาศกรุงเทพฯ ยังไม่ทันได้เต็มปอดเล้ย...555 และมาทราบเอาในภายหลังว่า วัดในกรุงส่วนใหญ่ต้อง “มีเส้น” ถึงจะเข้าไปอยู่ได้ หรือไม่ก็เป็นมหาเปรียญสูงๆ หน่อย บางวัดบางกุฏิมีการเซ้งห้องกันราคาเหยียบแสนโดยเฉพาะวัดที่มีศาลาสวดศพเยอะๆ ว่าแล้วเชียว! ไปขออยู่วัดไหนก็โดนปฏิเสธ
ขากลับ...ผมตีตั๋วรถไฟไปลงหนองคาย แทนที่จะลงอุดรฯ บ้านเกิด เพราะรู้สึกอับอายญาติโยม/ผู้ใหญ่บ้าน/ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน/อดีตครูประจำชั้น/โยมพ่อโยมแม่และโยมพี่สาวที่อุตส่าห์รวบรวมเงินและปัจจัยเล็กๆ น้อยๆ ถวายเป็นค่าเดินทางลงไปเรียนหนังสือที่กทม. แอบไปหลบเลียแผลใจอยู่ที่หนองคาย เข็ดแล้วกทม. ไม่กล้าไปมันอีกแล้ว จวบจนมีพระ “แมวมอง” จากวัดในกทม. มาเห็นเข้าในพิธีงานถวายพัดยศเณรและพระมหาเปรียญที่หนองคายจึงถูกทาบทามให้ลงไปเรียนในวัดที่กทม. บทมันจะได้...มันก็ช่างง่ายแสนง่ายซะเหลือเกินโอกาสมาเกยถึงบันไดกุฏิ แล้วอีตอนที่อุตส่าห์ดั้นด้นลงไปตระเวณหาวัดอยู่นั้น กราบมือแทบหงิกแล้วหงิกอีกก็โดนปฏิเสธๆ เล่นเอาสามเณรน้ำตาเล็ดไปเหมือนกัน......ชีวิตมันก็เยี่ยงนี่แหละครับ
…."หลงกรุง"..../วัชรานนท์
หลังจากที่ได้อ่านกระทู้ของคุณรักจริงฯ ที่เฮียแกไปพนันกับเพื่อนเรื่องวงเวียนในกทม. เราเองไม่ใช่คนกทม. อ่านไปก็พลอยตื่นตาตื่นใจไปด้วย บอกตรงๆ ชอบอ่านเรื่องราวคนกทม. เล่าเรื่องราวในกทม. บ้านน๊อกบ้านนอก.. เว้ากันซื่อๆ....คนบ้านนอกอย่างผมมีอาการ “หลงกรุง” ตั้งแต่ก่อนเข้าโรงเรียนนู่นล่ะครับ กรุงเทพในจินตนาการของคนบ้านนอกอย่างผม มันเลิศเลอเปอร์เฟ็คไปซะหมด เวลาคนในหมู่บ้านกลับมาเยี่ยมบ้านในหน้าเทศกาลแล้วหิ้วชะลอมผลไม้มาฝากญาติๆ ก็ยิ่งให้รู้สึกคลั่งไคล้เมืองกรุงเป็นทวี ตอน“บักhumแหล่” เพื่อนร่วมรุ่นสมัยเด็กได้มีโอกาสลงกรุงเทพฯ กับพี่สาวช่วงปิดเทอม พอมันกลับมาหมู่บ้าน พวกเราเด็กๆ รุ่นเดียวกันก็วิ่งกรูไปถามว่า กรุงเทพฯ เป็นไง? หัวลำโพงใหญ่ไหม? แล้วเอ็งเจอดารากี่คน??
มีสิ่งหนึ่งที่เด็กบ้านนอกโดยเฉพาะทางแถบอีสานแอบหนักใจก็คือความยากลำบากในการพูดภาษาคนกรุงเทพฯ (ไทยกลาง) แม้ปัจจุบันจะไม่ค่อยมีแล้ว แต่อย่างน้อยๆ ในยุคของผมนี่ เพื่อนผมบางคนไม่กล้าไปโรงเรียนเพราะกลัวพูดภาษาไทยกลางไม่ชัดในห้องเรียน ผมจำได้ดีว่า ตอนอายุหกขวบ(ก่อนเข้าชั้นประถม) ผมกับเพื่อนๆ รวมกลุ่มกันหัดพูดภาษาไทยกลางโดยมีรุ่นพี่ที่ตอนนั้นเรียนอยู่ชั้นป.๒ คอยกำกับว่าพวกเราพูดถูก(คำและสำเนียง)ไหม? คนที่คอยกำกับก็พูดภาษาไทยกลางไม่ค่อยคล่อง กลายเป็นเตี้ยอุ้มค่อมไป.... ฮ่า ฮ่า ฮ่า นึกแล้วก็อดขำไม่ได้
เวลาอยู่ในห้องเรียน ครูจะห้ามพูดภาษาท้องถิ่นถ้าใครพูดจะถูกตัดคะแนน! และผมพอจะทราบมาว่าบางโรงเรียนในภาคอีสานเขาปรับเป็นเงินด้วย ผะอืดผะอมสิครับ! เวลาครูถามปัญหาอะไร บางทีปัญหาที่ถามนั้นมันตอบได้ไม่ยาก แต่การที่จะต้องตอบเป็นภาษาไทยกลางนี่สิ...ยากกว่าปัญหาซะอีก!! ที่จริงผมเคยเล่าไว้ที่นี่เกี่ยวกับความล้มเหลวในการพูดภาษาไทยของผมนานแล้ว....แต่ขอมาเล่าให้ฟังสั้นๆ อีกครั้ง ตอนที่ผมกระโดดขึ้นบนเวทีใน “วันเด็ก” เพื่อเล่านิทานเอารางวัล เล่าด้วยภาษาไทยกลางผสมภาษพื้นบ้าน(ซะส่วนใหญ่)เล่าจบลงเวทีมานึกว่าจะได้รางวัลและคำชมจากครู ที่ไหนได้!!....โดนเอ็ดขนานใหญ่ว่าพูดภาษาไทยกลางไม่ชัดยังกล้า(ขึ้นเวที) สูญเสียความมั่นใจไปหลายกระบุงโกยเลยครับ ใช้เวลาหลายปีกว่าจะเยียวยาความรู้สึกตรงนั้นที่สูญเสียไป แต่จนป่านนี้ผมก็ยังพูดภาษาไทยกลางไม่ชัดถ้อยชัดคำนะครับ....
ย้อนกลับมาที่กทม..... ผมมีโอกาสได้ลงกทม. ตอนอายุสิบห้า เป็นสามเณรน้อยสะพายย่ามตระเวณหาวัดเรียน นั่งรถไฟครั้งแรกในชีวิต ตื่นตาตื่นใจไปหมด นอนไม่หลับตลอดทาง... ตอนรถไฟพ้นเขตอยุธยากำลังจะเข้ากรุงเทพฯ นี่แหละครับตื่นเต้นมว๊ากก!! เห็นป้ายสถานีรถไฟ “รังสิต” ปานประหนึ่งว่ากำลังเข้าสู่แดนสรวงสวรรค์ คือรู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งว่ากำลังอยู่ในเขตกรุงเทพแล้ว “ดอนเมือง” “สามเสน” “บางซื่อ” ชื่อเหล่านี้คุ้นหูคุ้นตามาตั้งแต่เด็ก....แค่ได้เห็นป้ายชื่อเหล่านั้นก็ตื่นเต้นจริงๆ ครับ และไฮไลต์สุดก็อยู่ปลายทางคือ “หัวลำโพง”.....โอแม่เจ้า...เรากำลังอยู่ในสถานีหัวลำโพงหรือเนี๊ยะ???? ฝันไปหรือเปล่า??? เป็นความรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ
สุดท้าย...เพราะความตื่นเต้นและแสดงความเป็น “บ้านนอก” ได้อย่างเด่นชัด โดนแท็กซี่หลอกซะเข็ด ผม(เป็นสามเณร)บอกแท็กซี่ว่าพาไปส่งวัดใหนก็ได้ที่ใกล้ที่สุด (ตอนนั้นเคยเชื่ออย่างคนบ้านนอกๆ ว่าวัดที่ไหนเขาก็คงรับพระเณรเข้าพัก วัดตามบ้านนอกขนาดคนบ้า คนจรจัดยังสงเคราะห์ให้พักพิงในวัดได้ เราเป็นพระเป็นเณรศิษย์ตถาคตเหมือนกันก็คงได้รับการต้อนรับล่ะน่า?) แท็กซี่พาขับวนไปวนมาชั่วโมงครึ่งกว่าๆ สุดท้ายก็มาปล่อยเราไว้ที่วัดราชนัดดาราม สามเณรบ้านนอกอย่างผมก็สะพายย่ามหิ้วบาตรพะรุงพะรังไปขอกราบท่านเจ้าอาวาส โหย...นึกว่าจะเจอตัวเจ้าอาวาสได้ง่ายๆ เหมือนที่วัดบ้านนอก ปรากฏว่าเจอหลวงพี่ๆ หลวงพี่พาไปหาเจ้าคณะกุฏิ เจ้าคณะกุฏิถามว่ามาจากบ้านนอกเหรอ(คงจะเดาได้จากท่าทาง) ผมกราบนมัสการไปว่าขอรับและกำลังจะมาหาวัดเข้าพัก เท่านั้นแหละ....ผมก็ถูกถามว่าเณรรู้จักใครในวัดนี้ไหม? จบนักธรรมชั้นไหน? เป็นมหาเปรียญหรือเปล่า? ฯลฯ สุดท้ายผมก็หิ้วของพะรุงพะรังออกจากวัดราชนัดดารามมา (ทีแรกตื่นเต้นนึกว่าจะได้จำพรรษาอยู่ที่วัดที่ท่านสุนทรภู่เคยอยู่) จากนั้นก็ตระเวณเข้าไปถามวัดต่างๆ ที่อยู่ใกล้ๆ เช่นวัดปรินายก วัดสิตาราม วัดสระเกศ ไม่มีวัดไหนรับสามเณรน้อยจากบ้านนอกเลยสักวัด สุดท้ายก็ต้องตีตั๋วรถไฟกลับกลับบ้านนอกในเย็นวันนั้น สูดอากาศกรุงเทพฯ ยังไม่ทันได้เต็มปอดเล้ย...555 และมาทราบเอาในภายหลังว่า วัดในกรุงส่วนใหญ่ต้อง “มีเส้น” ถึงจะเข้าไปอยู่ได้ หรือไม่ก็เป็นมหาเปรียญสูงๆ หน่อย บางวัดบางกุฏิมีการเซ้งห้องกันราคาเหยียบแสนโดยเฉพาะวัดที่มีศาลาสวดศพเยอะๆ ว่าแล้วเชียว! ไปขออยู่วัดไหนก็โดนปฏิเสธ
ขากลับ...ผมตีตั๋วรถไฟไปลงหนองคาย แทนที่จะลงอุดรฯ บ้านเกิด เพราะรู้สึกอับอายญาติโยม/ผู้ใหญ่บ้าน/ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน/อดีตครูประจำชั้น/โยมพ่อโยมแม่และโยมพี่สาวที่อุตส่าห์รวบรวมเงินและปัจจัยเล็กๆ น้อยๆ ถวายเป็นค่าเดินทางลงไปเรียนหนังสือที่กทม. แอบไปหลบเลียแผลใจอยู่ที่หนองคาย เข็ดแล้วกทม. ไม่กล้าไปมันอีกแล้ว จวบจนมีพระ “แมวมอง” จากวัดในกทม. มาเห็นเข้าในพิธีงานถวายพัดยศเณรและพระมหาเปรียญที่หนองคายจึงถูกทาบทามให้ลงไปเรียนในวัดที่กทม. บทมันจะได้...มันก็ช่างง่ายแสนง่ายซะเหลือเกินโอกาสมาเกยถึงบันไดกุฏิ แล้วอีตอนที่อุตส่าห์ดั้นด้นลงไปตระเวณหาวัดอยู่นั้น กราบมือแทบหงิกแล้วหงิกอีกก็โดนปฏิเสธๆ เล่นเอาสามเณรน้ำตาเล็ดไปเหมือนกัน......ชีวิตมันก็เยี่ยงนี่แหละครับ