สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
๙. อุ้มบาตรเดินร้องไห้ การออกบิณฑบาตในกรุงเทพฯ แตกต่างจากที่บ้านนอก ที่กรุงเทพฯ ไม่ได้เดินออกเป็นสายรวมกันแต่จะออก “บินเดี่ยว” บางรูปออกตั้งแต่ตีห้า บางรูปออกเจ็ดโมงหรือแปดโมงเช้า บางรูป “มีขาประจำ” ถ้าไม่ออกบิณฑบาตโยมก็จะหิ้วปิ่นโตมาถวายที่วัดให้ ส่วนสามเณรนี่ออกจะลำบากนิ๊ดหนึ่งเรื่องการบิณฑบาต คือผมมีความรู้สึกส่วนตัวว่าคนกรุงฯ ไม่ใคร่จะนิยมใส่บาตรสามเณรกันเท่าไหร่ ส่วนใหญ่เห็จแต่นิยมจะใส่บาตรพระที่สูงอายุและพระแก่ๆ ท่าทางขรึมเวลาออกบิณฑบาต(แต่เวลาอยู่ในวัดกลับเป็นอีกแบบ) แต่ก็ไม่รู้ว่านั่น “ทำบุญ” หรือ “ทำบาป” คนแก่กันแน่ล่ะนะครับ เพราะผมมักจะเห็นพระแก่ๆ ที่ยังโลภรับของใส่บาตรเกินความจำเป็นชนิดที่เต็มบาตรแล้วยังสะพายย่ามชนิดเดินเอียงแอ่นยังไม่พอ เอาลูกศิษย์วัดคนสองคนเดินตามไปด้วย บางรายนี่ใช้รถเข็นก็มี บางรูปเอาอาหารเหล่านั้นไปขายต่อราคาถูกๆ หรืออาหารบางอย่างที่ไม่ถูกปากพระเดชพระคุณท่านก็โยนทิ้งกันก็มี(ย้ำว่าไม่ใช่ทุกรูปนะครับ) สามเณรหน้าตาเด็กๆ อย่างผมเคยเจอประเภทที่บางบ้านเอาสำรับข้าวออกมาตั้งไว้หน้าบ้าน เมื่อผมเดินอุ้มบาตรเข้าไปหา แต่ก็เจอเจ้าของบ้านบอกตรงๆ ว่าเขารอใส่บาตรพระก็มี หรือโดนถามก่อนใส่บาตรว่าบวชมานานหรือยังก็มี ปรกติผมไม่เคยเอาย่ามไปใส่อาหารเวลาเดินบิณฑบาตรเลย หรืออย่างมากก็เอาแค่ถุงก็อปแก๊ปขนาดกลางเหน็บสายประคตซ่อนไว้ข้างในเฉพาะในวันพระที่อาจจะมีอาหารล้นบาตร ปรกติได้เต็มบาตรหรือพูนบาตรขึ้นมานิดๆ ก็เดินกลับวัดแล้ว เช้าวันนั้น...ไม่รู้ว่าเทวดาแกล้งหรือไรไม่ทราบ เดินบิณฑบาตวนไปวนมาในตลาดสามรอบก็ไม่มีญาติโยมคนไหนใส่บาตรให้เลย เห็นว่าเวลาเริ่มสายแล้วจึงเดินกลับวัด..ในระหว่างทางมีผู้หญิงคนหนึ่งนิมนต์ให้ไปรับบาตร ผมลังเลใจว่าจะรับหรือไม่รับดี สารภาพตรงๆ ว่าตอนนั้นอายเพราะหากเปิดฝาบาตรไปแล้วไม่เห็นมีอะไรในบาตร แต่สุดท้ายก็เดินไปรับบาตร จริงดังคาด...เมื่อเปิดฝาบาตรให้โยมเห็น โยมตกใจปนแปลกใจที่เห็นบาตรว่างเปล่า ถามว่าเณรไม่ได้รับข้าวอะไรเลยหรือ? สามเณรไม่กล้ามองหน้าโยมเพราะเริ่มรู้สึกอุ่นๆ ที่เบ้าตาทั้งสองข้างได้แต่ก้มมองฝาบาตรพยักหน้าให้โยม โยมคงรู้สึกสงสาร หลังจากใส่ข้าวร้อนถุงหนึ่งกับไข่เค็มเสร็จ เธอควักธนบัตรสิบบาทจากกระเป๋าวางบนฝาบาตร “โยมก็ไม่มีอะไรมากเจ้าค่ะ ถ้าข้าวที่โยมใส่ไม่พอฉัน โยมถวายปัจจัยให้เณรไปซื้ออาหารเพิ่มเอานะคะ” เธอนั่งหยองๆ ก้มกราบ เณรให้พรสั้นๆ อายุ วรรณะ สุขัง พะลัง เดินจากออกมาไม่กี่ก้าว พลันทำนบน้ำตาที่ฝืนกลั้นไว้ก็ทะลายลง น้ำตาร่วงพรูอาบแก้ม รีบยกชายจีวรขึ้นปาด กลัวคนอื่นและลูกศิษย์วัดที่มารอรับบาตรจะเห็น ตลอดทาง...เสียงไข่เค็มที่กลิ่งขลุกขลิกไปมาที่ก้นบาตร และเสียงนั้นยังดังก้องหูทุกครั้งที่นึกถึงเหตุการณ์เช้าวันนั้น
๑๐. ลาทีเมืองกรุงฯ ผมใช้ชีวิตเป็นสามเณรในวัดที่เมืองกรุงฯ ได้เกือบสี่ปี และได้รับเกียรติจากพี่ๆ และน้องๆ สามเณรภายในวัดเลือกให้เป็นรองประธานฯ สามเณรในวัด ผมและประธานฯ มีจริตตรงกันหลายอย่าง และความที่เราเป็นมหาเปรียญทั้งคู่ จึงได้รับความเอ็นดูจากพระผู้ใหญ่ในวัด แต่ยิ่งใกล้ชิดพระผู้ใหญ่มากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้อะไรมากเท่านั้น เกิดความเบื่อหน่ายและรังเกียจในจริยวัตรของเจ้าอาวาส และนั่นทำให้ผมกับท่านประธานสามเณรได้ทำการที่เรียกว่า “ไม้ซีกงัดไม้ซุง”(ขออนุญาตไม่เล่ารายละเอียด) ที่ส่งผลให้ผมและพี่เณรประธานฯ ต้องกระเด็นกระดอนออกจากวัดพร้อมกับคำครหาว่า “กินบนเรือน คี้รดบนหลังคา” ถูกสั่งให้ขนของออกจากวัด ในที่สุดก็หิ้วบาตรสะพายย่ามนั่งรถไฟ.....กลับบ้านเก่า
๑๑. ถ่ายรูปครั้งแรกในชีวิต มีเพื่อนๆ หลายคนขอดูรูปถ่ายตอนที่ยังเป็นเด็ก (คงจะสงสัยในความหล่อกระมัง ว่ามีมาตั้งแต่เด็กหรือพึ่งจะมามีเอาตอนนี้ อิ อิ) ตั้งแต่จำความได้ ผมไม่เคยมีรูปถ่ายตั้งแต่เป็นเด็กเลย อย่าถามถึงวาสนาที่จะได้อยู่หน้ากล้องกับเขาเลย แม้แต่กล้องจริงๆ ก็ไม่เคยเห็น เคยเห็นแต่ในรูป......ได้มาถ่ายรูปครั้งแรกในชีวิตก็ตอนบวชเป็นสามเณรนี่แหละครับ คือจำเป็นต้องทำหนังสือสุทธิ(ของนักบวช เหมือนบัตรประชาชนนั่นแหละครับ) เมื่อรู้ว่าจะ “เข้าหน้ากล้อง” ครั้งแรก นี่ก็เล่นถึงกับนอนไม่หลับเหมือนกัน วันนั้น ต้องออกจากหมู่บ้านตั้งแต่ตีห้า อาศัยติดรถกระบะเก่าๆ ของผู้ใหญ่บ้านที่นำชาวบ้านไปขายของที่ตลาดสดทุกๆ เช้า (สมัยก่อนการเดินทางจากชนบทเข้าตัวเมืองก็จะเป็นลักษณะนี้ ถ้าหมู่บ้านไหนไม่มีรถ ก็ต้องไปอาศัยหมู่บ้านอื่น) โยมแม่อุตส่าห์ตื่นตั้งแต่ตอนดึกต้มข้าวต้มร้อนๆ มาถวาย พร้อมกับห่อข้าวเหนียวใส่ถุงย่ามไว้กันฉุกเฉิน ดูเอาเถิด....แค่จะไปนั่งให้ช่างเขาถ่ายรูปแก๊กเดียวนี่เป็นพิธีรีตองเดือดร้อนคนอื่นเอาการพอสมควรเลยล่ะ เช่นว่าหน้าที่ประจำคือปูอาสนะให้พระทำวัตรเช้าก็โอนไปให้น้องเณรคนอื่นทำ พื้นที่บริเวณที่ต้องกวาดวิหารลานเจดีย์หลังทำวัตรเช้าก็ต้องเป็นภาระน้องเณรอีกคน และปรกติสามเณรทุกรูปต้องอุปฐากพระแต่ละองค์ช่วงเช้า เช่นถวายบาตรและรับบาตรตอนเช้าก่อนและหลังออกบิณฑบาต แล้วนำบาตรของท่านไปล้างหลังฉันเช้าเสร็จ หน้าที่นี้ก็ต้องโอนไปให้น้องๆ เณรคนอื่นทำ.....ถ่ายรูปในสตูดิโอสมัยนั้นไม่มีการนัดแนะ ไปบอกช่างว่าจะถ่ายรูปทำหนังสือสุทธิพระเณรเขาก็รู้ กว่าจะตกลงราคากันได้ก็เหนื่อยทั้งเณรเหนื่อยทั้งช่าง เขาถามว่าจะเอารูปกี่ใบ? ผมบอกว่าาเอาใบเดียว ช่างบอกว่าไม่ได้ อย่างน้อยๆ ก็ต้องสั่งครึ่งโหล หรือโหลหนึ่งขึ้นไป ผมก็ไปบอกว่าผมต้องการแค่ใบเดียวเท่านั้นเอง กว่าจะเข้าใจว่านั่นเป็นธุรกิจของเขาช่างภาพก็เกาหัวหงิกๆ ผมหล่นไปหลายเส้นเหมือนกัน แต่ตอนนี้ก็นึกขอบคุณช่างอยู่เหมือนกันที่ตอนนั้นผมสั่งครึ่งก็อปปี้ไว้หกใบ. ปัจจุบันนี้ภาพเหล่านั้นหายไปไหนหมดก็ไม่รู้ เหลือเพียงใบเดียวที่ติดตัวมา(ตามที่เห็นข้างล่าง) ซึ่งเป็นภาพที่ถ่ายครั้งแรกในชีวิต
๑๐. ลาทีเมืองกรุงฯ ผมใช้ชีวิตเป็นสามเณรในวัดที่เมืองกรุงฯ ได้เกือบสี่ปี และได้รับเกียรติจากพี่ๆ และน้องๆ สามเณรภายในวัดเลือกให้เป็นรองประธานฯ สามเณรในวัด ผมและประธานฯ มีจริตตรงกันหลายอย่าง และความที่เราเป็นมหาเปรียญทั้งคู่ จึงได้รับความเอ็นดูจากพระผู้ใหญ่ในวัด แต่ยิ่งใกล้ชิดพระผู้ใหญ่มากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้อะไรมากเท่านั้น เกิดความเบื่อหน่ายและรังเกียจในจริยวัตรของเจ้าอาวาส และนั่นทำให้ผมกับท่านประธานสามเณรได้ทำการที่เรียกว่า “ไม้ซีกงัดไม้ซุง”(ขออนุญาตไม่เล่ารายละเอียด) ที่ส่งผลให้ผมและพี่เณรประธานฯ ต้องกระเด็นกระดอนออกจากวัดพร้อมกับคำครหาว่า “กินบนเรือน คี้รดบนหลังคา” ถูกสั่งให้ขนของออกจากวัด ในที่สุดก็หิ้วบาตรสะพายย่ามนั่งรถไฟ.....กลับบ้านเก่า
๑๑. ถ่ายรูปครั้งแรกในชีวิต มีเพื่อนๆ หลายคนขอดูรูปถ่ายตอนที่ยังเป็นเด็ก (คงจะสงสัยในความหล่อกระมัง ว่ามีมาตั้งแต่เด็กหรือพึ่งจะมามีเอาตอนนี้ อิ อิ) ตั้งแต่จำความได้ ผมไม่เคยมีรูปถ่ายตั้งแต่เป็นเด็กเลย อย่าถามถึงวาสนาที่จะได้อยู่หน้ากล้องกับเขาเลย แม้แต่กล้องจริงๆ ก็ไม่เคยเห็น เคยเห็นแต่ในรูป......ได้มาถ่ายรูปครั้งแรกในชีวิตก็ตอนบวชเป็นสามเณรนี่แหละครับ คือจำเป็นต้องทำหนังสือสุทธิ(ของนักบวช เหมือนบัตรประชาชนนั่นแหละครับ) เมื่อรู้ว่าจะ “เข้าหน้ากล้อง” ครั้งแรก นี่ก็เล่นถึงกับนอนไม่หลับเหมือนกัน วันนั้น ต้องออกจากหมู่บ้านตั้งแต่ตีห้า อาศัยติดรถกระบะเก่าๆ ของผู้ใหญ่บ้านที่นำชาวบ้านไปขายของที่ตลาดสดทุกๆ เช้า (สมัยก่อนการเดินทางจากชนบทเข้าตัวเมืองก็จะเป็นลักษณะนี้ ถ้าหมู่บ้านไหนไม่มีรถ ก็ต้องไปอาศัยหมู่บ้านอื่น) โยมแม่อุตส่าห์ตื่นตั้งแต่ตอนดึกต้มข้าวต้มร้อนๆ มาถวาย พร้อมกับห่อข้าวเหนียวใส่ถุงย่ามไว้กันฉุกเฉิน ดูเอาเถิด....แค่จะไปนั่งให้ช่างเขาถ่ายรูปแก๊กเดียวนี่เป็นพิธีรีตองเดือดร้อนคนอื่นเอาการพอสมควรเลยล่ะ เช่นว่าหน้าที่ประจำคือปูอาสนะให้พระทำวัตรเช้าก็โอนไปให้น้องเณรคนอื่นทำ พื้นที่บริเวณที่ต้องกวาดวิหารลานเจดีย์หลังทำวัตรเช้าก็ต้องเป็นภาระน้องเณรอีกคน และปรกติสามเณรทุกรูปต้องอุปฐากพระแต่ละองค์ช่วงเช้า เช่นถวายบาตรและรับบาตรตอนเช้าก่อนและหลังออกบิณฑบาต แล้วนำบาตรของท่านไปล้างหลังฉันเช้าเสร็จ หน้าที่นี้ก็ต้องโอนไปให้น้องๆ เณรคนอื่นทำ.....ถ่ายรูปในสตูดิโอสมัยนั้นไม่มีการนัดแนะ ไปบอกช่างว่าจะถ่ายรูปทำหนังสือสุทธิพระเณรเขาก็รู้ กว่าจะตกลงราคากันได้ก็เหนื่อยทั้งเณรเหนื่อยทั้งช่าง เขาถามว่าจะเอารูปกี่ใบ? ผมบอกว่าาเอาใบเดียว ช่างบอกว่าไม่ได้ อย่างน้อยๆ ก็ต้องสั่งครึ่งโหล หรือโหลหนึ่งขึ้นไป ผมก็ไปบอกว่าผมต้องการแค่ใบเดียวเท่านั้นเอง กว่าจะเข้าใจว่านั่นเป็นธุรกิจของเขาช่างภาพก็เกาหัวหงิกๆ ผมหล่นไปหลายเส้นเหมือนกัน แต่ตอนนี้ก็นึกขอบคุณช่างอยู่เหมือนกันที่ตอนนั้นผมสั่งครึ่งก็อปปี้ไว้หกใบ. ปัจจุบันนี้ภาพเหล่านั้นหายไปไหนหมดก็ไม่รู้ เหลือเพียงใบเดียวที่ติดตัวมา(ตามที่เห็นข้างล่าง) ซึ่งเป็นภาพที่ถ่ายครั้งแรกในชีวิต

แสดงความคิดเห็น
..."ชีวิตในดงขมิ้น" บันทึกไดอารี่ของอดีตสามเณรน้อยรูปหนึ่ง...
ทุกๆ คนมี "ครั้งแรก" ในชีวิตหลายอย่างและแตกต่างกันออกไป ผมมี "ครั้งแรก" หลายๆ อย่างที่เมื่อมองย้อนกลับไปแล้วก็อดขำในความไร้เดียงสา และซื้อบื้อ ของตัวเองไม่ได้ ขออนุญาตเล่าใหัฟังพอสังเขป:-
๑. มีไฟฟ้าในบ้านครั้งแรก ที่บ้านใช้ตะเกียงให้แสงสว่างมานาน เมื่อเรามีไฟฟ้าใช้ครั้งแรก ผมกับน้องชายจะนั่งเฝ้าสวิชไฟตั้งแต่หัวค่ำเพื่อรอแย่งกันเปิดไฟให้แสงสว่างในบ้าน เมื่อก่อนต้องเตรียมน้ำมันใส่ตะเกียง เช็ดหลอดตะเกียงก่อนอะไรอีกจิปาถะ ตอนนี้แค่กดสวิช...ไฟสว่างจ้าทันที! โหอะไรจะสะดวกสบายง่ายขนาดนั้น!!
๒. รองเท้าแตะคู่แรกในชีวิต เดินเท้าเปล่ามาหลายปี ก็มีบ้างที่บางครั้งที่ไปหาเก็บรองเท้าแตะจากกองขยะมาใส่ข้างละสีบ้าง บ้างละไซส์บ้าง และมาได้รองเท้าแตะคู่แรกที่สีเดียวกัน ไซส์เดียวกัน และยี่ห้อเดียวกันเมื่อตอนบวชสามเณรแม่ซื้อให้ไว้เป็นบริขาร คราวนี้...หนาม เสี้ยนและเศษแก้วหมดสิทธิ์ที่จะชอกเนื้อเรียมสงวนเลย อ้อ...ตรงนี้บวกแปรงสีฟันเข้าไปด้วย ตลอดมา..อาศัยอมเกลือบ้าง สีฟันจากกิ่งไม้ข่อยบ้าง แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้สีฟันอะไรหรอก พอตอนบวชเณรนี่ได้ครบทั้งชุดเลย รองเท้าแตะ แปรงสีฟัน และยาสีฟัน....ดีใจสุดๆ
๓. ขึ้นธรรมาสน์เทศน์ครั้งแรก วัดตามบ้านนอกจะมีพระเณรไม่มาก ปีที่ผมบวชมีพระสี่รูปสามเณรห้ารูป ช่วงเข้าพรรษาหลวงปู่เจ้าอาวาสจะจัดพระเณรทุกรูปขึ้นเทศน์ในทุกวันพระ เพื่อจะไม่สร้างความเบื่อหน่ายให้ญาติโยมที่ฟังแต่พระรูปเดิมเทศน์ประการหนึ่ง และสร้างความกล้าและการแตกฉานด้านธรรมให้กับพระเณรหนึ่ง พระที่มีชั่วโมงบินสูงแล้วก็ขึ้นธรรมาสน์เทศน์ปากเปล่าไปเรื่อยๆ ส่วนพระนวกะและเณรต้องอ่านใบลานเพื่อความแม่นยำ ใบลานตับหนึ่งจะมีสักยี่สิบสี่ถึงสามสิบหน้า...พิมพ์สองหน้า...อ่านใบลานไม่ใช่ปัญหาเพราะพิมพ์เป็นภาษาไทย แต่การ “เปิดใบลาน” ไม่เหมือนเปิดหนังสือทั่วๆ ไปที่อ่านเสร็จก็พลิกจากขวาไปซ้าย แต่ใบลานจะมีเชือกรัดตรงกลาง เวลาอ่านหน้าหนึ่งเสร็จก็จะพลิกใบลานไปกลับไปด้านหลังของผู้อ่าน จากนั้นก็จะพลิกด้านหลังรวมทั้งใบลานทั้งตับเข้ามาด้านหน้าเพื่อที่อ่านหน้าที่สองครั้นจะอ่านหน้าที่สามก็ต้องพลิกใบลานทั้งตับย้อนกลับมาเมื่ออ่านหน้าสามเสร็จก็จะพลิกใบลานใบเดียวไปด้านหลังแล้วพลิกด้านหลังทั้งหมดกลับเข้ามาเพื่ออ่านหน้าสี่ อย่างนี้ๆ ไปจนจบ...คนที่ไม่คุ้นเคยก็สับสนพอสมควร ผมต้องฝึกพลิกใบลานให้ช่ำชองอยู่หลายวันทีเดียว วันเข้าพรรษาหลวงปู่จะแจ้งรายชื่อพระเณรที่จะเทศน์ในแต่ละวันพระให้ญาติโยมที่ศรัทธาร่วมเป็นเจ้าภาพถวายกัณฑ์เทศน์ เมือถึงวันที่ผมต้องขึ้นเทศน์....วันนั้นฉันข้าวไม่ได้เยอะเลย ตื่นเต้นมาก...แถมเทศน์ใส่เครื่องกระจายเสียงด้วย!! ก้าวขึ้นไปนั่งบนธรรมมาสน์เสร็จ เกิดอาการตาพล่า และหูอื้อ มองไม่เห็นไม่ได้ยินอะไรไปสักครึ่งนาทีเห็นจะได้ จน “สังกะลีวัด” ที่นั่งบนพื้นศาลาข้างๆ ธรรมาสน์ถามว่าเณรพร้อมหรือยัง? ถ้าพร้อมผมจะอาราธนาเทศน์เลยนะ นั่นแหละ..จึงทำให้สามเณรหลุดจากภวังค์ พอสังกะลีวัดกล่าวอาราธนาเสร็จ สามเณรน้อยอายุสิบสองขวบกว่าๆ ก็ตั้งนะโมสามจบด้วยเสียงสั่นเครือ นะโม อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ...ยังไม่ทันจะขึ้นนะโมที่สอง เสียงหลวงพี่ที่อยู่ด้านหลังกระซิบมาหลังธรรมมาสน์ว่า เณรตกคำว่า “ตัสสะ ภะคะวะโต” ไป ดังนั้นนะโมที่สองและสามจึงเป็น “นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ...”อย่างสมบูรณ์ ที่นี้ก็มาจุดไฮไลต์! คือการเปิดใบลาน เทศน์ไปได้สักสี่สิบกว่าเปอร์เซ็นต์...ก็เริ่มรู้สึกว่าเอ๊ะ..สำนวนนี้เราเคยอ่านมาแล้วนี่น่า? ปรากฏว่าผมเปิดใบลานสับสนผิดหน้าไปหมด จนพระอาจารย์ต้องมายืนคอยกำกับการเทศน์ข้างธรรมาสน์ไปจนจบประโยคสุดท้ายว่า เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้ฯ เกือบเผลอตัวอ่าน บรรทัดต่อมาที่พิมพ์กำกับบนใบลานว่า พิมพ์ที่โรงพิมพ์เลี่ยงเซียง (ฮา) วันนั้นได้ “กัณฑเทศน์” มากองใหญ่พร้อมปัจจัยอีกยี่สิบบาท
๔. เข้ากรุงเทพฯ ครั้งแรก หอบของพะรุงพะรังขึ้นรถไฟ ตื่นเต้นเพราะจะได้นั่งรถไฟครั้งแรกและเห็นเมืองกรุงครั้งแรก ชนิดนอนไม่หลับตลอดเส้นทาง ชะเง้อหน้ามองผ่านกระจกอ่านป้ายสถานีแทบทุกสถานี ตอนนั้นเป็นเณรน้อยบวชได้สามพรรษาแล้ว สะพายย่าม หิ้วบาตร พร้อมลังหนังสือหลายเล่ม(กะจะลงมาเรียนต่อ) ถึงหัวลำโพงก็ตระเวณหาวัดในกรุงฯ อยู่ ผมไม่ได้ทำการบ้านอะไรมาเลย เลยไม่รู้การที่จะหาวัดในกรุงเทพฯ อยู่นั้นไม่ได้ทำกันง่ายๆ เลย แต่ละวัดมีข้อจำกัดมากมาย เช่นว่า จบนักธรรมเอกยัง? ได้เปรียญธรรมชั้นไหน? ท่องพระสูตรได้ระดับไหน? และที่สำคัญก็จะถูกถามว่ารู้จักใครในวัดนี้ไหม? (ประมาณว่ามี "เส้น" หรือเปล่า) คุณสมบัติที่เอ่ยมาผมมีหมดเว้นอย่างเดียวคือไม่รู้จักใครเลย หัวเดียวกระเทียมลีบลุยกรุงคิดว่า “ขึ้นชื่อว่าวัดแล้วก็คงจะต้อนรับทุกคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นพระเป็นเณรเหมือนกัน เหมือนวัดตามบ้านนอกทั่วไป ขนาดคนจรจัดไม่มีหัวนอนปลายตีนก็ให้ที่อยุ่อาศัย(ชั่วคราว) สรุปว่า ผมไม่มีเส้น...สุดท้ายก็ลงเอยที่ตีรถไฟกลับบ้านในเย็นวันนั้นเอง หลังจากพยายามติดต่อวัดแถวๆ หัวลำโพงสี่วัด....ขากลับนี่หลับปุ๋ยไปตลอดทางเลย
๕. ขึ้นรถเมล์ในกรุงฯ ครั้งแรก คือหลังจากตีตั๋วกลับบ้านเกิด(ด้วยความอับอายญาติโยม เพราะญาติโยมอุตส่าห์รวบรวมปัจจัยส่งเป็นค่ารถไฟลงไปเรียนกทม. แต่หาวัดอยู่ไม่ได้ก็ต้องบากหน้ากลับบ้านในวันถัดมา) กลับมาเรียนที่สำนักเรียนที่บ้านนอก ไม่ของ้อแล้วเมืองกรุงฯ ขอเป็นหนึ่งในหมู่บ้านดีกว่าเป็นสองในตำบลอะไรประมาณเนี๊ยะ... แต่ก็เหมือนฟ้าลิขิตนะ.....บทที่จะได้กลับไปเรียนในกทม.ง่ายๆ มันก็ง่ายซะเหลือเกิน คือเผอิญมีพระอาจารย์จากกรุงเทพฯ เป็น “แมวมอง” หาพระเณรที่กำลังรุ่งทางด้านบาลีพอดี แสงรัศมีผมฉายโชนไปแยงตาท่านอย่างไรไม่ทราบ ท่านมาถามว่าเณรไปเรียนที่กรุงเทพฯกับพระอาจารย์ไหม แหม..นึกถึงตอนผมหิ้วบาตรสะพายย่ามพะรุงพะรังไปงอนง้อขอวัดต่างๆ ในกทม. แต่ละวัดนี่ กราบแล้วกราบอีกมือนิ้วแทบจะหงิกแล้วก็โดนปฏิเสธทุกราย จู่ๆ ก็มีพระอาจารย์จากกรุงเทพฯ มาขอตัว อย่างนี้เล่นตัวซะหน่อยจะดีไหม(ฮา)?? จริงๆ ...ผมไม่มีเวลาเล่นองค์อะไรหรอกครับ พอพระอาจารย์ท่านเอ่ยปากชวน ผมรีบรับปากหิ้วบาตรสะพายย่ามลงกทม. เลย สองอาทิตย์ต่อมาโยมแม่อุตส่าห์ส่งปัจจัย (ธนาณัติ)ตามมาจำนวนห้าสิบบาท แต่ท่านส่งไปนู่น....ที่ไปรษณีย์เขตบางแค ส่วนผมจำวัดอยู่แถวๆ บุคคโล!! ซึ่งมาทราบเอาภายหลังว่า โยมแม่ไม่รู้จักอะไรเลยในกรุงเทพฯ เคยได้ยินแต่ชื่อ “บางแคๆ “ คุ้นหูว่าอยู่ในกรุงเทพฯ ท่านก็บอกให้พนักงานไปรษณีย์ส่งไปตามนั้น พระอาจารย์ที่วัดแนะนำว่าต้องนั่งเมล์หลายต่อเลยล่ะจากบุคคโลไปบางแค ท่านเมตตาว่าไม่ต้องลำบากหรอกเณร พระอาจารย์ควักย่ามจ่ายให้ก็ได้แค่ห้าสิบบาทเอง....ผมบอกไม่ได้ โยมแม่ต้องเก็บผักบุ้งขายกว่าจะได้ขนาดนี้...จะมากจะน้อยขนาดไหน ยังไงๆ เสียก็ต้องไปบางแคเพื่อขึ้นเอาเงินให้ได้ ต้องยอมรับว่านั่นเป็นการเดินทางที่โหดร้ายสำหรับสามเณรจากบ้านนอกอยู่พอสมควรกว่าจะไปถึงบางแค เพราะผมไม่รู้ว่าบางแคอยู่ทิศไหนของกรุงเทพฯ เมือไปถึงวงเวียนใหญ่เพื่อต่อรถเมล์อีกสายก็ยังไม่รู้ว่าต้องไปขึ้นรถฝั่งไหนของถนน ที่สำคัญกว่าจะได้ขึ้นก็ต้องรอรถเมล์ที่มี่ที่นั่งข้างหลัง(พระเณรนั่งได้เฉพาะข้างหลัง)ว่าง ที่วงเวียนใหญ่ก็คราครั่งไปด้วยผู้คนเบียดเสียดกันขึ้นอีกต่างหาก...ตอนเปลี่ยนรถเมล์ที่วงเวียนใหญ่ แทนที่จะมุ่งไปบางแคกลับหนีห่างจากบางแคไปเรื่อยจนสุดสาย นั่นแหละถึงรู้ตัวว่าขึ้นเมล์ผิดฝั่ง คะเนเอาก็แล้วว่าจะทุลักทะเลขนาดไหน ออกจากวัดเก้าโมงเช้า...กลับถึงวัดเกือบจะปาเข้าห้าโมงเย็น!!
๖. ใช้ไปรษณีย์ครั้งแรก หลังจากนั้นก็เขียนจดหมายไปถึงโยมพ่อโยมแม่ว่าลูกเณรถึงกทม.แล้วและได้รับปัจจัยที่ส่งให้แล้ว เขียนเสร็จก็เตร่หาตู้ไปรษณีย์ที่หน้าวัด ไปเจอตู้ๆ หนึ่ง(สีเขียว)เดินอ้อมตู้หา “ปล่อง” ที่จะหย่อนจดหมายอยู่หลายรอบ..หายังไงๆ ก็ไม่เจอ เลยถามโยมที่เดินผ่านมาว่าปล่องหย่อนจดหมายอยู่ตรงไหนโยม....โยมยิ้มเอ็นดูบอกว่านี่ไม่ใช่ตู้ไปรษณีย์ครับพ่อเณร นี่เป็นตู้วงจรสายโทรศัพท์ครับ...อ้าว?? ยืนถือจดหมายหน้าแดงตรงนั้นเลยผม นึกถึงวันนั้นยังขำไม่หาย
๗. ใช้โทรศัพท์ครั้งแรก จำได้ว่ามือไม้นี่สั่นเลยครับ ตอนนั้นเริ่มคุ้นเคยกับกรุงเทพฯ แล้ว แต่ไม่เคยใช้โทรศัพท์เลยสักที มีเหตุต้องต้องโทรฯ ไปที่วัดมหาธาตุ (มหาวิทยาลัยสงฆ์)ครั้งแรก เครื่องโทรฯ สมัยนั้นใช้นิ้วสอดเข้ารู(อย่าคิดลึกๆ )ตามเบอร์แล้วแล้วหมุนๆ เคยเห็นแต่คนอื่นๆ ทำกัน ตอนนี้ต้องทำเอง...ตอนสอดนิ้วนี่แหละผมเห็นนิ้วผมสั่นได้ชัดเจนเลย แล้วก็เกิดความสงสัยว่า หมุนไปด้านซ้าย? ด้านขวา? หมุนไปไกลสุดขนาดไหน? ยังไง? ผมยืนงกๆ เงิ่นๆ เก้ๆ กังๆ ในตู้โทรศัพท์ที่ปากซอยหน้าวัดสัก เกรงจะอับอายคนที่ผ่านมาไปเห็นเข้า สุดท้ายก็ไปวานศิษย์วัดนั่นแหละมาช่วยสอนหมุนให้ แต่ตอนนี้ ผมใช้ iPhone 6s นะฮ้า.....
๘. รับซองปัจจัยมากที่สุดในชีวิต ชีวิตการเป็นพระกับสามเณรในกรุงเทพฯ บางทีก็แตกต่างกันราวฟ้ากับดินโดยเฉพาะในวัดใหญ่ๆ ที่มีศาลาสวดศพเยอะ พระแต่ละรูปเรียกว่าเป็นเจ้าสัวน้อยก็ยังได้ อย่าว่าผมกำลังเอาความในมาเล่าให้คนข้างนอกฟังเลยนะครับ ที่ผมกำลังจะเล่าให้ฟังตรงนี้คือเรื่องจริง คือผมพึ่งจะมาถึง “บางอ้อ” ว่าทำไมวัดแห่งหนึ่งแถวๆ ใกล้หัวลำโพงถึงไม่รับผมเข้าไปอยู่ในวัดในตอนที่ผมลงกรุงเทพฯ มาตระเวณหาวัดอยู่ในครั้งแรก ทราบมาภายหลังว่าวัดแห่งนั้นมีศาลาสวดศพเยอะมาก และพระเณรที่จะไปอยู่ ไม่ใช่ไปอยู่กันได้ง่ายๆ บางวัดมีการ “เซ้ง” ห้องในกุฏิกันในหลักที่สูงมากๆๆ สูงชนิดที่สมัยนั้นสร้างบ้านหลังใหญ่ที่สุดหรือซื้อที่นาในหมู่บ้านผมได้หลายสิบไร่เลยล่ะ อันนี้เล่าเป็นเกร็ดให้ความแตกต่างของสถานะการเป็นพระและเณรในกรุงเทพฯ ให้ฟังว่าเณรส่วนใหญ่จะไม่ค่อยได้รับการนิมนต์ แต่ที่กรุงเทพฯ มี “มหาเศรษฐี” ที่ท่านหนึ่ง ในวันเกิด แกจะนิมนต์พระและเณรทั่วกรุงเทพฯ และจังหวัดปริมณฑล ไปสวดมนต์และฉันอาหารในพื้นที่ๆ แกจัด(เสียดายผมจำไม่ได้ เพราะเคยไปครั้งเดียว) นั่นผมพึ่งเคยเห็นครั้งแรกมีพระเณรเรือนพันหรืออาจจะถึงหมื่นไปร่วมฉันภัตตาหารเพล เสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าเงินปัจจัยที่ใช้จ่ายแค่เฉพาะด้านนี้ประมาณว่าเกือบสองล้าน(สมัยเกือบจะสามสิบปีมาแล้วนะครับ) คือไหนจะค่ารถที่ไปรับพระแต่ละวัด ไหนจะค่าอาหาร ฯลฯ และท่านให้ลูกน้องถือซองมาถวายพระเณรทุกรูป เมื่อผมเปิดซองออกมา หัวใจหล่นตุ๊บไปตาตุ่นนู่นเลย แบงค์ร้อยสีแดงสองใบ....โห!...ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยจับเงินถึงสองร้อยสักที มือไม้นี่สั่นไปหมดเลยตอนนั้น แบบว่ามันเยอะไปจนกลัวไปต่างๆ นานา กลัวว่าจะหล่นหาย กลัวจะมีคนมาขโมย เก็บใส่ถุงพลาสติคยางรัดใส่ย่ามติดตัวตลอดเวลา เงินจำนวนนั้นจ่ายค่าน้ำค่าไฟให้ห้องตัวเองกับลูกศิษย์วัดได้เกือบปี