..."ชีวิตในดงขมิ้น" บันทึกไดอารี่ของอดีตสามเณรน้อยรูปหนึ่ง...

ครั้งแรกในชีวิต


ทุกๆ คนมี "ครั้งแรก" ในชีวิตหลายอย่างและแตกต่างกันออกไป   ผมมี "ครั้งแรก" หลายๆ อย่างที่เมื่อมองย้อนกลับไปแล้วก็อดขำในความไร้เดียงสา และซื้อบื้อ  ของตัวเองไม่ได้   ขออนุญาตเล่าใหัฟังพอสังเขป:-

๑. มีไฟฟ้าในบ้านครั้งแรก  ที่บ้านใช้ตะเกียงให้แสงสว่างมานาน  เมื่อเรามีไฟฟ้าใช้ครั้งแรก  ผมกับน้องชายจะนั่งเฝ้าสวิชไฟตั้งแต่หัวค่ำเพื่อรอแย่งกันเปิดไฟให้แสงสว่างในบ้าน    เมื่อก่อนต้องเตรียมน้ำมันใส่ตะเกียง  เช็ดหลอดตะเกียงก่อนอะไรอีกจิปาถะ  ตอนนี้แค่กดสวิช...ไฟสว่างจ้าทันที!  โหอะไรจะสะดวกสบายง่ายขนาดนั้น!!


๒. รองเท้าแตะคู่แรกในชีวิต  เดินเท้าเปล่ามาหลายปี  ก็มีบ้างที่บางครั้งที่ไปหาเก็บรองเท้าแตะจากกองขยะมาใส่ข้างละสีบ้าง  บ้างละไซส์บ้าง    และมาได้รองเท้าแตะคู่แรกที่สีเดียวกัน  ไซส์เดียวกัน และยี่ห้อเดียวกันเมื่อตอนบวชสามเณรแม่ซื้อให้ไว้เป็นบริขาร  คราวนี้...หนาม เสี้ยนและเศษแก้วหมดสิทธิ์ที่จะชอกเนื้อเรียมสงวนเลย   อ้อ...ตรงนี้บวกแปรงสีฟันเข้าไปด้วย  ตลอดมา..อาศัยอมเกลือบ้าง  สีฟันจากกิ่งไม้ข่อยบ้าง แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้สีฟันอะไรหรอก   พอตอนบวชเณรนี่ได้ครบทั้งชุดเลย รองเท้าแตะ  แปรงสีฟัน  และยาสีฟัน....ดีใจสุดๆ


๓. ขึ้นธรรมาสน์เทศน์ครั้งแรก วัดตามบ้านนอกจะมีพระเณรไม่มาก   ปีที่ผมบวชมีพระสี่รูปสามเณรห้ารูป   ช่วงเข้าพรรษาหลวงปู่เจ้าอาวาสจะจัดพระเณรทุกรูปขึ้นเทศน์ในทุกวันพระ   เพื่อจะไม่สร้างความเบื่อหน่ายให้ญาติโยมที่ฟังแต่พระรูปเดิมเทศน์ประการหนึ่ง  และสร้างความกล้าและการแตกฉานด้านธรรมให้กับพระเณรหนึ่ง   พระที่มีชั่วโมงบินสูงแล้วก็ขึ้นธรรมาสน์เทศน์ปากเปล่าไปเรื่อยๆ  ส่วนพระนวกะและเณรต้องอ่านใบลานเพื่อความแม่นยำ    ใบลานตับหนึ่งจะมีสักยี่สิบสี่ถึงสามสิบหน้า...พิมพ์สองหน้า...อ่านใบลานไม่ใช่ปัญหาเพราะพิมพ์เป็นภาษาไทย   แต่การ “เปิดใบลาน” ไม่เหมือนเปิดหนังสือทั่วๆ ไปที่อ่านเสร็จก็พลิกจากขวาไปซ้าย  แต่ใบลานจะมีเชือกรัดตรงกลาง  เวลาอ่านหน้าหนึ่งเสร็จก็จะพลิกใบลานไปกลับไปด้านหลังของผู้อ่าน   จากนั้นก็จะพลิกด้านหลังรวมทั้งใบลานทั้งตับเข้ามาด้านหน้าเพื่อที่อ่านหน้าที่สองครั้นจะอ่านหน้าที่สามก็ต้องพลิกใบลานทั้งตับย้อนกลับมาเมื่ออ่านหน้าสามเสร็จก็จะพลิกใบลานใบเดียวไปด้านหลังแล้วพลิกด้านหลังทั้งหมดกลับเข้ามาเพื่ออ่านหน้าสี่ อย่างนี้ๆ ไปจนจบ...คนที่ไม่คุ้นเคยก็สับสนพอสมควร    ผมต้องฝึกพลิกใบลานให้ช่ำชองอยู่หลายวันทีเดียว    วันเข้าพรรษาหลวงปู่จะแจ้งรายชื่อพระเณรที่จะเทศน์ในแต่ละวันพระให้ญาติโยมที่ศรัทธาร่วมเป็นเจ้าภาพถวายกัณฑ์เทศน์   เมือถึงวันที่ผมต้องขึ้นเทศน์....วันนั้นฉันข้าวไม่ได้เยอะเลย  ตื่นเต้นมาก...แถมเทศน์ใส่เครื่องกระจายเสียงด้วย!!   ก้าวขึ้นไปนั่งบนธรรมมาสน์เสร็จ  เกิดอาการตาพล่า  และหูอื้อ  มองไม่เห็นไม่ได้ยินอะไรไปสักครึ่งนาทีเห็นจะได้   จน “สังกะลีวัด” ที่นั่งบนพื้นศาลาข้างๆ ธรรมาสน์ถามว่าเณรพร้อมหรือยัง?  ถ้าพร้อมผมจะอาราธนาเทศน์เลยนะ   นั่นแหละ..จึงทำให้สามเณรหลุดจากภวังค์     พอสังกะลีวัดกล่าวอาราธนาเสร็จ   สามเณรน้อยอายุสิบสองขวบกว่าๆ ก็ตั้งนะโมสามจบด้วยเสียงสั่นเครือ  นะโม  อะระหะโต  สัมมา  สัมพุทธัสสะ...ยังไม่ทันจะขึ้นนะโมที่สอง  เสียงหลวงพี่ที่อยู่ด้านหลังกระซิบมาหลังธรรมมาสน์ว่า  เณรตกคำว่า “ตัสสะ  ภะคะวะโต” ไป   ดังนั้นนะโมที่สองและสามจึงเป็น “นะโม  ตัสสะ ภะคะวะโต  อะระหะโต  สัมมาสัมพุทธัสสะ...”อย่างสมบูรณ์    ที่นี้ก็มาจุดไฮไลต์!  คือการเปิดใบลาน  เทศน์ไปได้สักสี่สิบกว่าเปอร์เซ็นต์...ก็เริ่มรู้สึกว่าเอ๊ะ..สำนวนนี้เราเคยอ่านมาแล้วนี่น่า?  ปรากฏว่าผมเปิดใบลานสับสนผิดหน้าไปหมด  จนพระอาจารย์ต้องมายืนคอยกำกับการเทศน์ข้างธรรมาสน์ไปจนจบประโยคสุดท้ายว่า  เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้ฯ  เกือบเผลอตัวอ่าน  บรรทัดต่อมาที่พิมพ์กำกับบนใบลานว่า  พิมพ์ที่โรงพิมพ์เลี่ยงเซียง (ฮา)   วันนั้นได้ “กัณฑเทศน์” มากองใหญ่พร้อมปัจจัยอีกยี่สิบบาท
  

๔. เข้ากรุงเทพฯ ครั้งแรก   หอบของพะรุงพะรังขึ้นรถไฟ   ตื่นเต้นเพราะจะได้นั่งรถไฟครั้งแรกและเห็นเมืองกรุงครั้งแรก  ชนิดนอนไม่หลับตลอดเส้นทาง  ชะเง้อหน้ามองผ่านกระจกอ่านป้ายสถานีแทบทุกสถานี    ตอนนั้นเป็นเณรน้อยบวชได้สามพรรษาแล้ว  สะพายย่าม  หิ้วบาตร  พร้อมลังหนังสือหลายเล่ม(กะจะลงมาเรียนต่อ)  ถึงหัวลำโพงก็ตระเวณหาวัดในกรุงฯ อยู่  ผมไม่ได้ทำการบ้านอะไรมาเลย   เลยไม่รู้การที่จะหาวัดในกรุงเทพฯ อยู่นั้นไม่ได้ทำกันง่ายๆ เลย  แต่ละวัดมีข้อจำกัดมากมาย  เช่นว่า จบนักธรรมเอกยัง?  ได้เปรียญธรรมชั้นไหน?  ท่องพระสูตรได้ระดับไหน?  และที่สำคัญก็จะถูกถามว่ารู้จักใครในวัดนี้ไหม? (ประมาณว่ามี "เส้น" หรือเปล่า)  คุณสมบัติที่เอ่ยมาผมมีหมดเว้นอย่างเดียวคือไม่รู้จักใครเลย  หัวเดียวกระเทียมลีบลุยกรุงคิดว่า “ขึ้นชื่อว่าวัดแล้วก็คงจะต้อนรับทุกคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นพระเป็นเณรเหมือนกัน  เหมือนวัดตามบ้านนอกทั่วไป  ขนาดคนจรจัดไม่มีหัวนอนปลายตีนก็ให้ที่อยุ่อาศัย(ชั่วคราว)  สรุปว่า ผมไม่มีเส้น...สุดท้ายก็ลงเอยที่ตีรถไฟกลับบ้านในเย็นวันนั้นเอง  หลังจากพยายามติดต่อวัดแถวๆ หัวลำโพงสี่วัด....ขากลับนี่หลับปุ๋ยไปตลอดทางเลย



๕. ขึ้นรถเมล์ในกรุงฯ ครั้งแรก  คือหลังจากตีตั๋วกลับบ้านเกิด(ด้วยความอับอายญาติโยม เพราะญาติโยมอุตส่าห์รวบรวมปัจจัยส่งเป็นค่ารถไฟลงไปเรียนกทม. แต่หาวัดอยู่ไม่ได้ก็ต้องบากหน้ากลับบ้านในวันถัดมา) กลับมาเรียนที่สำนักเรียนที่บ้านนอก  ไม่ของ้อแล้วเมืองกรุงฯ  ขอเป็นหนึ่งในหมู่บ้านดีกว่าเป็นสองในตำบลอะไรประมาณเนี๊ยะ...  แต่ก็เหมือนฟ้าลิขิตนะ.....บทที่จะได้กลับไปเรียนในกทม.ง่ายๆ   มันก็ง่ายซะเหลือเกิน    คือเผอิญมีพระอาจารย์จากกรุงเทพฯ เป็น “แมวมอง” หาพระเณรที่กำลังรุ่งทางด้านบาลีพอดี   แสงรัศมีผมฉายโชนไปแยงตาท่านอย่างไรไม่ทราบ  ท่านมาถามว่าเณรไปเรียนที่กรุงเทพฯกับพระอาจารย์ไหม  แหม..นึกถึงตอนผมหิ้วบาตรสะพายย่ามพะรุงพะรังไปงอนง้อขอวัดต่างๆ ในกทม. แต่ละวัดนี่ กราบแล้วกราบอีกมือนิ้วแทบจะหงิกแล้วก็โดนปฏิเสธทุกราย  จู่ๆ ก็มีพระอาจารย์จากกรุงเทพฯ มาขอตัว   อย่างนี้เล่นตัวซะหน่อยจะดีไหม(ฮา)??  จริงๆ ...ผมไม่มีเวลาเล่นองค์อะไรหรอกครับ  พอพระอาจารย์ท่านเอ่ยปากชวน   ผมรีบรับปากหิ้วบาตรสะพายย่ามลงกทม. เลย    สองอาทิตย์ต่อมาโยมแม่อุตส่าห์ส่งปัจจัย (ธนาณัติ)ตามมาจำนวนห้าสิบบาท    แต่ท่านส่งไปนู่น....ที่ไปรษณีย์เขตบางแค  ส่วนผมจำวัดอยู่แถวๆ บุคคโล!!   ซึ่งมาทราบเอาภายหลังว่า  โยมแม่ไม่รู้จักอะไรเลยในกรุงเทพฯ  เคยได้ยินแต่ชื่อ “บางแคๆ “ คุ้นหูว่าอยู่ในกรุงเทพฯ ท่านก็บอกให้พนักงานไปรษณีย์ส่งไปตามนั้น   พระอาจารย์ที่วัดแนะนำว่าต้องนั่งเมล์หลายต่อเลยล่ะจากบุคคโลไปบางแค   ท่านเมตตาว่าไม่ต้องลำบากหรอกเณร  พระอาจารย์ควักย่ามจ่ายให้ก็ได้แค่ห้าสิบบาทเอง....ผมบอกไม่ได้  โยมแม่ต้องเก็บผักบุ้งขายกว่าจะได้ขนาดนี้...จะมากจะน้อยขนาดไหน ยังไงๆ เสียก็ต้องไปบางแคเพื่อขึ้นเอาเงินให้ได้    ต้องยอมรับว่านั่นเป็นการเดินทางที่โหดร้ายสำหรับสามเณรจากบ้านนอกอยู่พอสมควรกว่าจะไปถึงบางแค  เพราะผมไม่รู้ว่าบางแคอยู่ทิศไหนของกรุงเทพฯ  เมือไปถึงวงเวียนใหญ่เพื่อต่อรถเมล์อีกสายก็ยังไม่รู้ว่าต้องไปขึ้นรถฝั่งไหนของถนน  ที่สำคัญกว่าจะได้ขึ้นก็ต้องรอรถเมล์ที่มี่ที่นั่งข้างหลัง(พระเณรนั่งได้เฉพาะข้างหลัง)ว่าง   ที่วงเวียนใหญ่ก็คราครั่งไปด้วยผู้คนเบียดเสียดกันขึ้นอีกต่างหาก...ตอนเปลี่ยนรถเมล์ที่วงเวียนใหญ่  แทนที่จะมุ่งไปบางแคกลับหนีห่างจากบางแคไปเรื่อยจนสุดสาย  นั่นแหละถึงรู้ตัวว่าขึ้นเมล์ผิดฝั่ง    คะเนเอาก็แล้วว่าจะทุลักทะเลขนาดไหน  ออกจากวัดเก้าโมงเช้า...กลับถึงวัดเกือบจะปาเข้าห้าโมงเย็น!!
   

๖. ใช้ไปรษณีย์ครั้งแรก  หลังจากนั้นก็เขียนจดหมายไปถึงโยมพ่อโยมแม่ว่าลูกเณรถึงกทม.แล้วและได้รับปัจจัยที่ส่งให้แล้ว   เขียนเสร็จก็เตร่หาตู้ไปรษณีย์ที่หน้าวัด   ไปเจอตู้ๆ หนึ่ง(สีเขียว)เดินอ้อมตู้หา “ปล่อง” ที่จะหย่อนจดหมายอยู่หลายรอบ..หายังไงๆ ก็ไม่เจอ  เลยถามโยมที่เดินผ่านมาว่าปล่องหย่อนจดหมายอยู่ตรงไหนโยม....โยมยิ้มเอ็นดูบอกว่านี่ไม่ใช่ตู้ไปรษณีย์ครับพ่อเณร   นี่เป็นตู้วงจรสายโทรศัพท์ครับ...อ้าว??  ยืนถือจดหมายหน้าแดงตรงนั้นเลยผม   นึกถึงวันนั้นยังขำไม่หาย


๗. ใช้โทรศัพท์ครั้งแรก  จำได้ว่ามือไม้นี่สั่นเลยครับ  ตอนนั้นเริ่มคุ้นเคยกับกรุงเทพฯ แล้ว  แต่ไม่เคยใช้โทรศัพท์เลยสักที  มีเหตุต้องต้องโทรฯ ไปที่วัดมหาธาตุ (มหาวิทยาลัยสงฆ์)ครั้งแรก   เครื่องโทรฯ สมัยนั้นใช้นิ้วสอดเข้ารู(อย่าคิดลึกๆ )ตามเบอร์แล้วแล้วหมุนๆ  เคยเห็นแต่คนอื่นๆ ทำกัน  ตอนนี้ต้องทำเอง...ตอนสอดนิ้วนี่แหละผมเห็นนิ้วผมสั่นได้ชัดเจนเลย   แล้วก็เกิดความสงสัยว่า  หมุนไปด้านซ้าย? ด้านขวา?  หมุนไปไกลสุดขนาดไหน?  ยังไง?   ผมยืนงกๆ เงิ่นๆ เก้ๆ กังๆ  ในตู้โทรศัพท์ที่ปากซอยหน้าวัดสัก  เกรงจะอับอายคนที่ผ่านมาไปเห็นเข้า    สุดท้ายก็ไปวานศิษย์วัดนั่นแหละมาช่วยสอนหมุนให้   แต่ตอนนี้ ผมใช้ iPhone 6s นะฮ้า.....


๘. รับซองปัจจัยมากที่สุดในชีวิต  ชีวิตการเป็นพระกับสามเณรในกรุงเทพฯ บางทีก็แตกต่างกันราวฟ้ากับดินโดยเฉพาะในวัดใหญ่ๆ ที่มีศาลาสวดศพเยอะ  พระแต่ละรูปเรียกว่าเป็นเจ้าสัวน้อยก็ยังได้   อย่าว่าผมกำลังเอาความในมาเล่าให้คนข้างนอกฟังเลยนะครับ   ที่ผมกำลังจะเล่าให้ฟังตรงนี้คือเรื่องจริง  คือผมพึ่งจะมาถึง “บางอ้อ” ว่าทำไมวัดแห่งหนึ่งแถวๆ ใกล้หัวลำโพงถึงไม่รับผมเข้าไปอยู่ในวัดในตอนที่ผมลงกรุงเทพฯ มาตระเวณหาวัดอยู่ในครั้งแรก   ทราบมาภายหลังว่าวัดแห่งนั้นมีศาลาสวดศพเยอะมาก  และพระเณรที่จะไปอยู่  ไม่ใช่ไปอยู่กันได้ง่ายๆ  บางวัดมีการ “เซ้ง” ห้องในกุฏิกันในหลักที่สูงมากๆๆ  สูงชนิดที่สมัยนั้นสร้างบ้านหลังใหญ่ที่สุดหรือซื้อที่นาในหมู่บ้านผมได้หลายสิบไร่เลยล่ะ  อันนี้เล่าเป็นเกร็ดให้ความแตกต่างของสถานะการเป็นพระและเณรในกรุงเทพฯ ให้ฟังว่าเณรส่วนใหญ่จะไม่ค่อยได้รับการนิมนต์     แต่ที่กรุงเทพฯ มี “มหาเศรษฐี” ที่ท่านหนึ่ง  ในวันเกิด  แกจะนิมนต์พระและเณรทั่วกรุงเทพฯ และจังหวัดปริมณฑล ไปสวดมนต์และฉันอาหารในพื้นที่ๆ แกจัด(เสียดายผมจำไม่ได้  เพราะเคยไปครั้งเดียว)  นั่นผมพึ่งเคยเห็นครั้งแรกมีพระเณรเรือนพันหรืออาจจะถึงหมื่นไปร่วมฉันภัตตาหารเพล   เสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าเงินปัจจัยที่ใช้จ่ายแค่เฉพาะด้านนี้ประมาณว่าเกือบสองล้าน(สมัยเกือบจะสามสิบปีมาแล้วนะครับ) คือไหนจะค่ารถที่ไปรับพระแต่ละวัด  ไหนจะค่าอาหาร  ฯลฯ  และท่านให้ลูกน้องถือซองมาถวายพระเณรทุกรูป   เมื่อผมเปิดซองออกมา   หัวใจหล่นตุ๊บไปตาตุ่นนู่นเลย  แบงค์ร้อยสีแดงสองใบ....โห!...ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยจับเงินถึงสองร้อยสักที    มือไม้นี่สั่นไปหมดเลยตอนนั้น    แบบว่ามันเยอะไปจนกลัวไปต่างๆ นานา  กลัวว่าจะหล่นหาย  กลัวจะมีคนมาขโมย   เก็บใส่ถุงพลาสติคยางรัดใส่ย่ามติดตัวตลอดเวลา   เงินจำนวนนั้นจ่ายค่าน้ำค่าไฟให้ห้องตัวเองกับลูกศิษย์วัดได้เกือบปี
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
๙. อุ้มบาตรเดินร้องไห้  การออกบิณฑบาตในกรุงเทพฯ แตกต่างจากที่บ้านนอก  ที่กรุงเทพฯ ไม่ได้เดินออกเป็นสายรวมกันแต่จะออก “บินเดี่ยว” บางรูปออกตั้งแต่ตีห้า  บางรูปออกเจ็ดโมงหรือแปดโมงเช้า  บางรูป “มีขาประจำ” ถ้าไม่ออกบิณฑบาตโยมก็จะหิ้วปิ่นโตมาถวายที่วัดให้  ส่วนสามเณรนี่ออกจะลำบากนิ๊ดหนึ่งเรื่องการบิณฑบาต   คือผมมีความรู้สึกส่วนตัวว่าคนกรุงฯ ไม่ใคร่จะนิยมใส่บาตรสามเณรกันเท่าไหร่   ส่วนใหญ่เห็จแต่นิยมจะใส่บาตรพระที่สูงอายุและพระแก่ๆ ท่าทางขรึมเวลาออกบิณฑบาต(แต่เวลาอยู่ในวัดกลับเป็นอีกแบบ)   แต่ก็ไม่รู้ว่านั่น “ทำบุญ” หรือ “ทำบาป” คนแก่กันแน่ล่ะนะครับ   เพราะผมมักจะเห็นพระแก่ๆ ที่ยังโลภรับของใส่บาตรเกินความจำเป็นชนิดที่เต็มบาตรแล้วยังสะพายย่ามชนิดเดินเอียงแอ่นยังไม่พอ  เอาลูกศิษย์วัดคนสองคนเดินตามไปด้วย   บางรายนี่ใช้รถเข็นก็มี บางรูปเอาอาหารเหล่านั้นไปขายต่อราคาถูกๆ  หรืออาหารบางอย่างที่ไม่ถูกปากพระเดชพระคุณท่านก็โยนทิ้งกันก็มี(ย้ำว่าไม่ใช่ทุกรูปนะครับ)    สามเณรหน้าตาเด็กๆ อย่างผมเคยเจอประเภทที่บางบ้านเอาสำรับข้าวออกมาตั้งไว้หน้าบ้าน  เมื่อผมเดินอุ้มบาตรเข้าไปหา  แต่ก็เจอเจ้าของบ้านบอกตรงๆ ว่าเขารอใส่บาตรพระก็มี   หรือโดนถามก่อนใส่บาตรว่าบวชมานานหรือยังก็มี   ปรกติผมไม่เคยเอาย่ามไปใส่อาหารเวลาเดินบิณฑบาตรเลย  หรืออย่างมากก็เอาแค่ถุงก็อปแก๊ปขนาดกลางเหน็บสายประคตซ่อนไว้ข้างในเฉพาะในวันพระที่อาจจะมีอาหารล้นบาตร   ปรกติได้เต็มบาตรหรือพูนบาตรขึ้นมานิดๆ ก็เดินกลับวัดแล้ว   เช้าวันนั้น...ไม่รู้ว่าเทวดาแกล้งหรือไรไม่ทราบ  เดินบิณฑบาตวนไปวนมาในตลาดสามรอบก็ไม่มีญาติโยมคนไหนใส่บาตรให้เลย   เห็นว่าเวลาเริ่มสายแล้วจึงเดินกลับวัด..ในระหว่างทางมีผู้หญิงคนหนึ่งนิมนต์ให้ไปรับบาตร   ผมลังเลใจว่าจะรับหรือไม่รับดี   สารภาพตรงๆ ว่าตอนนั้นอายเพราะหากเปิดฝาบาตรไปแล้วไม่เห็นมีอะไรในบาตร   แต่สุดท้ายก็เดินไปรับบาตร  จริงดังคาด...เมื่อเปิดฝาบาตรให้โยมเห็น  โยมตกใจปนแปลกใจที่เห็นบาตรว่างเปล่า  ถามว่าเณรไม่ได้รับข้าวอะไรเลยหรือ?     สามเณรไม่กล้ามองหน้าโยมเพราะเริ่มรู้สึกอุ่นๆ ที่เบ้าตาทั้งสองข้างได้แต่ก้มมองฝาบาตรพยักหน้าให้โยม     โยมคงรู้สึกสงสาร หลังจากใส่ข้าวร้อนถุงหนึ่งกับไข่เค็มเสร็จ เธอควักธนบัตรสิบบาทจากกระเป๋าวางบนฝาบาตร   “โยมก็ไม่มีอะไรมากเจ้าค่ะ  ถ้าข้าวที่โยมใส่ไม่พอฉัน  โยมถวายปัจจัยให้เณรไปซื้ออาหารเพิ่มเอานะคะ”  เธอนั่งหยองๆ ก้มกราบ   เณรให้พรสั้นๆ อายุ วรรณะ สุขัง พะลัง  เดินจากออกมาไม่กี่ก้าว  พลันทำนบน้ำตาที่ฝืนกลั้นไว้ก็ทะลายลง  น้ำตาร่วงพรูอาบแก้ม  รีบยกชายจีวรขึ้นปาด   กลัวคนอื่นและลูกศิษย์วัดที่มารอรับบาตรจะเห็น   ตลอดทาง...เสียงไข่เค็มที่กลิ่งขลุกขลิกไปมาที่ก้นบาตร   และเสียงนั้นยังดังก้องหูทุกครั้งที่นึกถึงเหตุการณ์เช้าวันนั้น


๑๐. ลาทีเมืองกรุงฯ ผมใช้ชีวิตเป็นสามเณรในวัดที่เมืองกรุงฯ ได้เกือบสี่ปี   และได้รับเกียรติจากพี่ๆ และน้องๆ สามเณรภายในวัดเลือกให้เป็นรองประธานฯ สามเณรในวัด   ผมและประธานฯ มีจริตตรงกันหลายอย่าง   และความที่เราเป็นมหาเปรียญทั้งคู่  จึงได้รับความเอ็นดูจากพระผู้ใหญ่ในวัด   แต่ยิ่งใกล้ชิดพระผู้ใหญ่มากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้อะไรมากเท่านั้น   เกิดความเบื่อหน่ายและรังเกียจในจริยวัตรของเจ้าอาวาส   และนั่นทำให้ผมกับท่านประธานสามเณรได้ทำการที่เรียกว่า “ไม้ซีกงัดไม้ซุง”(ขออนุญาตไม่เล่ารายละเอียด)  ที่ส่งผลให้ผมและพี่เณรประธานฯ ต้องกระเด็นกระดอนออกจากวัดพร้อมกับคำครหาว่า “กินบนเรือน  คี้รดบนหลังคา”  ถูกสั่งให้ขนของออกจากวัด ในที่สุดก็หิ้วบาตรสะพายย่ามนั่งรถไฟ.....กลับบ้านเก่า  
  

๑๑. ถ่ายรูปครั้งแรกในชีวิต   มีเพื่อนๆ หลายคนขอดูรูปถ่ายตอนที่ยังเป็นเด็ก (คงจะสงสัยในความหล่อกระมัง ว่ามีมาตั้งแต่เด็กหรือพึ่งจะมามีเอาตอนนี้ อิ อิ)  ตั้งแต่จำความได้  ผมไม่เคยมีรูปถ่ายตั้งแต่เป็นเด็กเลย    อย่าถามถึงวาสนาที่จะได้อยู่หน้ากล้องกับเขาเลย  แม้แต่กล้องจริงๆ ก็ไม่เคยเห็น  เคยเห็นแต่ในรูป......ได้มาถ่ายรูปครั้งแรกในชีวิตก็ตอนบวชเป็นสามเณรนี่แหละครับ  คือจำเป็นต้องทำหนังสือสุทธิ(ของนักบวช  เหมือนบัตรประชาชนนั่นแหละครับ)   เมื่อรู้ว่าจะ “เข้าหน้ากล้อง” ครั้งแรก  นี่ก็เล่นถึงกับนอนไม่หลับเหมือนกัน     วันนั้น  ต้องออกจากหมู่บ้านตั้งแต่ตีห้า   อาศัยติดรถกระบะเก่าๆ ของผู้ใหญ่บ้านที่นำชาวบ้านไปขายของที่ตลาดสดทุกๆ เช้า (สมัยก่อนการเดินทางจากชนบทเข้าตัวเมืองก็จะเป็นลักษณะนี้  ถ้าหมู่บ้านไหนไม่มีรถ  ก็ต้องไปอาศัยหมู่บ้านอื่น)    โยมแม่อุตส่าห์ตื่นตั้งแต่ตอนดึกต้มข้าวต้มร้อนๆ มาถวาย  พร้อมกับห่อข้าวเหนียวใส่ถุงย่ามไว้กันฉุกเฉิน   ดูเอาเถิด....แค่จะไปนั่งให้ช่างเขาถ่ายรูปแก๊กเดียวนี่เป็นพิธีรีตองเดือดร้อนคนอื่นเอาการพอสมควรเลยล่ะ  เช่นว่าหน้าที่ประจำคือปูอาสนะให้พระทำวัตรเช้าก็โอนไปให้น้องเณรคนอื่นทำ    พื้นที่บริเวณที่ต้องกวาดวิหารลานเจดีย์หลังทำวัตรเช้าก็ต้องเป็นภาระน้องเณรอีกคน    และปรกติสามเณรทุกรูปต้องอุปฐากพระแต่ละองค์ช่วงเช้า  เช่นถวายบาตรและรับบาตรตอนเช้าก่อนและหลังออกบิณฑบาต  แล้วนำบาตรของท่านไปล้างหลังฉันเช้าเสร็จ   หน้าที่นี้ก็ต้องโอนไปให้น้องๆ เณรคนอื่นทำ.....ถ่ายรูปในสตูดิโอสมัยนั้นไม่มีการนัดแนะ   ไปบอกช่างว่าจะถ่ายรูปทำหนังสือสุทธิพระเณรเขาก็รู้    กว่าจะตกลงราคากันได้ก็เหนื่อยทั้งเณรเหนื่อยทั้งช่าง    เขาถามว่าจะเอารูปกี่ใบ?  ผมบอกว่าาเอาใบเดียว   ช่างบอกว่าไม่ได้  อย่างน้อยๆ ก็ต้องสั่งครึ่งโหล หรือโหลหนึ่งขึ้นไป    ผมก็ไปบอกว่าผมต้องการแค่ใบเดียวเท่านั้นเอง กว่าจะเข้าใจว่านั่นเป็นธุรกิจของเขาช่างภาพก็เกาหัวหงิกๆ ผมหล่นไปหลายเส้นเหมือนกัน    แต่ตอนนี้ก็นึกขอบคุณช่างอยู่เหมือนกันที่ตอนนั้นผมสั่งครึ่งก็อปปี้ไว้หกใบ.   ปัจจุบันนี้ภาพเหล่านั้นหายไปไหนหมดก็ไม่รู้   เหลือเพียงใบเดียวที่ติดตัวมา(ตามที่เห็นข้างล่าง)  ซึ่งเป็นภาพที่ถ่ายครั้งแรกในชีวิต  

            
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่