ทู้นี้เป็นคำถามเดิมในใจเราเมื่อประมาณ2ปีที่ผ่านมาแต่เพิ่งสมัครพันทิปเป็นค่ะ--". ถึงวันนี้คำถามตามหัวเรื่องก็ยังเป๋นเหมือนเดิมและยิ่งอัดอั้นมากขึ้นด้วยซ้ำคนโลว์เทคอย่างเราจึงพยายามสมัครให้ได้เพียงแค่หวังหาพื้นที่ระบายและหาคำตอบให้ตัวเองเกริ่นไว้ก่อนเลยนะคะเรื่องมันอาจจะยาวมากเพราะต้องการคำแนะนำหรือข้อคิดเห็นที่เข้าใจเรื่องราวจึงเล่าเริ่มตั้งแต่เกิดปัญหาจนถึงปัจจุบัน เริ่มเลยนะคะ
เราเป็นผู้หญิงคนนึงที่เติบโตมาในครอบครัวที่มีพ่อแม่คอยอบรมสั่งสอนแบบใกล้ชิดมาตลอดจนถึงวันที่เราแต่งงานมีครอบครัวของตัวเองพ่อแม่ก็เริ่มถอยให้เราเรียนรู้การใช้ชีวิตครอบครัวดัวยตัวเอง เรากับสามีเห็นกันมาตั้งแต่สมัยเรียนชั้นอนุบาลจนจบปวส. แต่เพิ่งมาเริ่มคุยกัน(ในฐานะเพื่อนนะคะ)ตอนเรียนปวส.นี่เองค่ะ. พอไปต่อปริญญาตรีเพื่อนเกือบทุกคนของเรารวมทั้งเค้าก็เข้ากรุงส่วนเราแยกไปเชียงใหม่คนเดียว. เราเรียนเอกก่อสร้างนะคะ. สมัยนั้นไม่ค่อยมีผู้หญิงเรียนหรอกค่ะรุ่นเรามีแค่3คนฉะนั้นเพื่อนเราก็จะมีแต่ผู้ชายนั่นหมายถึงเราและสามีก็จะมีเพื่อนกลุ่มเดียวกัน. เด็กสายช่างจะรู้ดีว่ารักเพื่อนมากแค่ไหน ถึงแม้เราจะแยกไปเชียงใหม่คนเดียวแต่เพื่อนก็ยังเป็นกลุ่มเดิมอยู่ เราเรียนจบก่อนใครเพราะเราเลือกเรียนในคณะที่ใช้เวลาเรียนแค่2ปีส่วนเพื่อนๆรวมถึงสามีเราเรียนวิศวะยังไม่จบกันค่ะ. พอเราจบที่บ้านก็ให้อิสระเต็มที่เราเลือกไปเที่ยวหาเพื่อนที่ กทม.ตอนนั้นเราเสียใจเรื่องเลิกกับแฟนเก่า(จริงๆเลิกกันได้ปีกว่าก่อนเรียนจบแล้วแต่เรายังทำใจไม่ได้)อารมณ์วัยรุ่นเฮิร์ทๆไปหาเพื่อนดีกว่า. เมื่ออยู่ในแวดวงของเพื่อนเดิมๆเรามีความสุขมากเพื่อนผู้ชายทุกคนดูแลเราดีมากทั้งทำกับข้าวให้พาเที่ยวพากินทุกคนมีเรียนแต่ก็สลับกับมาอยู่กับเราแบบไม่มีเหงาเลยแหละค่ะช่วงนี้แหละที่ทำให้เราสนิทกับสามีแบบก้าวกระโดดและตอนนั้นก็รู้ข่าวว่าสามีก็เลิกกับแฟนมาเหมือนกันระยะเวลาใกล้เคียงกับเราเลยค่ะเลยเหมือนเข้าใจกันมากเป็นพิเศษ เราไปอยู่กับเพื่อนๆประมาณ10วัน ไปๆมาๆ2รอบ. มีรอบนึงที่เรานั่งรถทัวร์กลับบ้านพร้อมสามีที่เพิ่งเรียนจบพอดีตอนนั้นรู้สึกแปลกๆเหมือนไอ้เพื่อนคนนี้มันชอบเราป่ะว่ะ.แต่ก็บอกตัวเองแกนี่คิดเยอะไปนะจู่ๆระหว่างรอรถทัวร์สามียื่นตั๋วรถให้เราแล้วถามเราว่าหนีไปด้วยกันไหม. นี่คือเฮ้ยตลกไรว่ะแก. ขาไปกทม.เราก็นั่งรถไปกับเค้าค่ะตอนนั้นพ่อแม่เค้ามาส่งเราก็ไหว้ตามปกติแต่ดูแม่เค้าทำบึ้งๆเราก็กูคงคิดมากไป. (เพิ่งมาทราบตอนหลังว่าแม่เค้าได้ยินมาว่าเราเป็นแฟนลูกเค้าค่ะข่าวมาจากแฟนเก่าสามีเรานั่นแหละ แม่สามีเรารักแฟนเก่าลูกเค้ามาก) ตอนนั้นเราก็ยังแอบขำว่าเออคิดกันไปได้ไงเนี่ย. คงเพราะเราเป็นผู้หญิง(โสด)คนเดียวในกลุ่ม. ลืมเล่าว่าสาเหตุที่สามีเลิกกับแฟนเพราะผู้หญิงมีคนอื่นแต่สามีเราไม่เคยบอกทางบ้าน. จังหวะที่เราเข้ามาสนิทพอดีแฟนเก่าเลยสร้างเรื่องบอกทางบ้านว่าเราเป็นมือที่3!!!พอกลับมาอยู่บ้านก็มีเรากับสามีที่เรียนจบก่อนใคร เราเปิดร้านเค้กค่ะทำเองดูแลเองทุกอย่างร้านจะปิด2ทุ่มบ้านนอกอ่ะค่ะ2ทุ่มนี่ก็ค่อนข้างดึกล่ะเพื่อนๆก็แลดูเป็นห่วงเราก็เห็นดีที่สามีเราจะมาอยู่เป็นเพื่อนที่ร้านจนถึงช่วยปิดร้านเกือบทุกวัน. ช่วงนี้แหละค่ะใครไปใครมาก็ต้องมาปักอยู่ที่ร้านเราเพราะมีสามีเราสแตนบายรอสังสรรค์กันตลอด. เราก็สนุกสนานกับการได้เที่ยวกับเพื่อนจนดึกดื่นแทบทุกคืน(จากที่เคยเป็นลูกที่พ่อแม่ห่วงมากตามรับส่งที่รร.ตลอดพอเรียนจบพ่อแม่ให้อิสระเต็มที่เลยค่ะจะแค่คอยเตือนเวลานอกลู่นอกทางเช่นกลับบ้านตี1-2😁)ระหว่างที่เจอสามีทุกวันเราก็เห็นสามีติดต่อกับแฟนเก่าอยู่บ้างแต่เราไม่ได้ถามอะไรไปทางสงสารมากกว่าค่ะทุกครั้งที่เที่ยวด้วยกันเพื่อนๆก็จะเล่าให้เราฟังบ้างแต่เพื่อนทุกคนไม่มีใครทราบสาเหตุที่เค้าเลิกกันจริงๆนะคะเราก็เออสงสารหว่ะ. จนแฟนเก่าเค้าโทรหาเราเชิงต่อว่าเราเป็นมือที่3เราก็หัวเราะบอกว่าเข้าใจผิดอย่างแรง แฟนเก่าเค้าก็เลยขอให้เราช่วยเป็นกาวใจเราก็ยินดีค่ะเพราะสงสารเพื่อนเราก็มีไปแยบๆช่วยเป็นกาวใจให้บ้างแต่ไม่ได้ยุ่งมากนักจนสามีเล่าว่าแฟนเก่านอกใจเค้ามาเกือบ2ปีแล้วและตอนนี้มาขอคืนดีซึ่งสามีเราไม่ดีด้วยแล้วค่ะ. ตอนนั้นเราก็พยายามช่วยเกลี้ยกล่อมแต่เค้ายืนยันหนักแน่นว่าไม่หันหลังกลับ จนมาถึงงานบวชของสามีเราก็ไปกับเพื่อนผู้ชายเราปกติแต่รู้สึกบรรยากาศในงานกับตัวเราแปลกๆจนมาได้ยินญาติเค้ามายืนพูดข้างหลังเราว่านี่เหรอแฟนใหม่ไม่สวยเลยเรากับเพื่อนได้ยินก็หลบมาหัวเราะกันเพื่อนบอกเค้าว่าแกเป็นแฟนพระที่สำคัญไม่สวยเว้ย5555ยังตลกกันไป.จนโป๊ะแตกแฟนเก่าสามีเดินเข้ามาในงานตอนที่กำลังจะแห่นาคกันค่ะ.เพื่อนที่ไปกับเราไปเป็นม้าให้นาคขี่คอเลยเหลือเรายืนเก้ๆกังๆแบบไม่รู้จักใครเลยอยู่คนเดียวเราเลยไปห้อยท้ายขบวนตอนนั้นเริ่มอึดอัดเพราะเหมือนทุกคนจับตาเรา จนถึงพิธีเสร็จเราเลิกไปไหว้แม่เค้าลากลับแต่ท่านยกมือรับไหว้แบบไม่มองหน้าเราและหันไปทักทายเพื่อนเราแทน นี่เราใจเสียล่ะค่ะขึ้นรถมาเพื่อนคงพอเดาสถานะการณ์ออกเลยปลอบว่าแค่คนเข้าใจผิดน่าอย่าคิดมากล่ะ. อ่อ. ในงานมีแฟนเก่าเราไปด้วยค่ะเราเพิ่งเห็นตอนนั่งรถกลับแล้วเค้าเป็นเพื่อนของพี่สามีเราค่ะ. พอรุ่งขึ้นแฟนเก่าสามีเราโทรมาด่ารัวเป็นชุดเลยค่ะว่าขอให้ช่วยเป็นกาวใจแต่นี่มาล่อซะเอง รู้ไหมในงานบวชคนเค้าด่าเราเยอะมากโดยเฉพาะแม่สามีเราด่าเราว่าหน้าด้านมากมาร่วมงานเจอผัวเก่าไม่ทักสักคำ.จะบอกไว้ให้เลยนะว่าไม่มีทางให้เราไปเหยียบบ้านเค้าเด็ดขาดอื่นๆอีกเยอะแยะประมาณพร่ำถึงความรักระหว่างเค้า2คนให้เราฟังตอนนั้นเราทั้งเสียใจที่คนมองเราผิดถูกด่าว่าแรงๆและยังมีใจมาสงสารคู่รักคู่นี้อี๊ก จนพระสึกเราก็เล่าว่าแฟนแกโทรหาเรานะเว้ยดีกันไหมล่ะสงสารว่ะแต่ไม่ได้เล่าว่ามีใครว่าอะไรเราบ้าง. และบ่นว่าเชิญแฟนมาน่าจะบอกเราจะได้ไม่ไป สามีเราพูดว่าเค้าต้องการให้เราไปร่วมงานสำคัญในชีวิตเค้าค่ะ. และไม่ได้อยากบอกแฟนเก่าแต่แม่เค้าให้ชวนมาตอนนั้นเรามั่นใจว่าสามีคิดไรกับกูแน่ล่ะ. ก็พยายามเฉยๆไว้ เรายังเที่ยวด้วยกันเค้าก็จะมาช่วยเราที่ร้านเกือบทุกวันจนคบกันแบบงงๆ. ระหว่างนั้นแฟนเก่าเค้าก็โทรมาด่าเราเป็นระยะ เราก็จะบอกสามีเราเกือบทุกครั้งและถามย้ำว่าดีกันไหมล่ะ. สามีก็ยังหนักแน่นที่จะไม่กลับไป จนถึงวันที่สามีต้องไปกทม. ตอนนั้นสามีเรายังไม่มีงานทำเราก็ใจดีตามนิสัยด้อยของเราแหละค่ะ ถามเค้าว่ามีตังค์ไปป่ะ ยืมได้นะ เค้าก็เอาค่ะ3พันบาท(สมัยนั้นอัตราเงินเดืนข้าราชบรรจุใหม่7พัน)พอไปถึงเค้าโทรหาเราทุกระยะจนวันที่2เบอร์เค้าโทรมาค่ะแต่เป็นแฟนเก่าเค้าพูดทีนี้ด่าเราหนักเลยค่ะ. เราเลยขอคุยกับสามี สามีเราไม่พูดอะไรเลย แฟนเค้าบอกเงินที่ให้มันมาน่ะมันเอามาให้กู คิดดูความเจ็บช้ำในใจเราเหอะ. แต่ตอนนั้นเราก็พอทำใจได้เพราะเราไม่เคยตกลงคบกับสามีจริงจัง จนอีกวันสามีเราโทรมาถามว่าจะคบกันได้ไหม. รักเค้าไหมแบบย้ำๆๆถ้าตอบว่าคบและรักเค้า เค้าจะกลับมาทันทีตอนนั้นเราทั้งเสียใจทั้งสับสนงง เราก็ตอบว่าแกตัดสินใจเองเถอะในเมื่อแกไปหาแฟนเก่านั่นก็น่าจะคือคำตอบในใจแกแล้ว. แต่เค้าบอกว่าไม่ใช่อย่างที่เราคิด. เค้าขอให้เราบอกว่าเรารักเค้าก็จะกลับมาทันที เราเลยตอบว่าเรารักนะแต่ขอให้แกตัดสินใจเอง. ทุกเหตุการณ์เพื่อนในกลุ่มเรารู้ตลอดค่ะแต่ไม่มีใครรู้ว่าสามีติดยังไงกับเราอาจมีสงสัยบ้างอย่างว่าแต่เพื่อนเลยค่ะจุดนั้นเราก็ยังงงๆอยู่ จนอีกวันมีปาร์ตี้กันที่บ้านเพื่อน. เพื่อนเราโทรมาชวนและบอกว่าไอ้...ก็มานะเจอหน้ากันได้ไหม. เราก็เฮ้ยยยเป็นไรล่ะเพื่อนก๊านนนน. จากนั้นเราก็เจอกันทุกวันเรื่อยๆเหมือนคบกันไปโดยปริยาย จนมีวันนึงเราโทรหาเค้าที่บ้านได้ยินเสียงเอ๊ะอะ สักพักเค้ารับสายน้ำเสียงหงุดหงิดมากบอกว่าแม่เค้าไม่ให้คบกับเราแต่ขอให้เรามั่นใจเค้านะตอนนี้แม่อาจยังไม่เข้าใจเราก็เออๆเราไม่คิดมากหรอกน่า. เข้าใจว่าผู้ใหญ่ท่านรู้จักเรามาจากแฟนเก่าแกเล่ากูคงไม่มีชิ้นดีอยู่แล้วแหละ5555. ส่วนทางบ้านเราก็เห็นเค้าทุกวันและยินดีที่มีเพื่อนคอยช่วยดูแลเวลาเราปิดร้านจนแม่เราฝากเค้าทำงานกับหน่วยงานราชการนึงเป็นลูกจ้างในตำแหน่งวิศวกรทีนี้ทางบ้านเค้าเหมือนจะรู้สึกดีกับเราขึ้นมาหน่อยๆผ่านไปประมาณ2ปีระหว่างนี้เค้าพูดกับเราเรื่องอยากแต่งงานมาเรื่อยๆแต่ไม่มีเงินและยังไม่มั่นคงและเกรงว่าทางบ้านเราจะรังเกียจ(บ้านเค้าอาชีพแม่ค้าตลาดค่ะ ส่วนบ้านเรารับราชการ)จนมาถึงวันเกิดเราซึ่งห่างจากวันเกิดเค้าไม่กี่วันและเป็นวันเกิดแม่เราด้วยเลยชวนบ้านเค้ามาทานข้าวด้วยกัน. ถึงจะคบกันมานานแต่เหมือนเป็นครั้งแรกที่บ้านเค้ามาทำความรู้จักครอบครัวเรา. เราก็เลยบอกเค้าว่าจะคุยเรื่องแต่งงานเลยไหมล่ะโอกาสที่จะพร้อมหน้ากันแบบนี้คงยากนะ เค้าก็ดูเหมือนดีใจแต่พูดเหมือนเดิมประมาณว่าพ่อแม่เราจะยินดีไหมที่เค้าไม่มีอะไรเลย เราคุยกับพ่อแม่เราท่านบอกว่าให้สามีเราสบายใจได้ขอให้ดูแลเราให้ดีก็ยินดีมากแล้วไม่เรียกร้องสินสอดใดๆ. จนถึงวันทานข้าวกันพ่อเราเป็นฝ่ายถามก่อนว่าจะแต่งงานกันใช่ไหมก็พูดถามรายละเอียดกันไป มีช่วงนึงแม่สามีเราหันมาพูดกับแม่เราว่าพี่ชายสามีเราก็คบกับแฟนมา7ปีล่ะ ยังไม่แต่งกันเลย(พี่ชายเค้าเลิกกับเมียมีลูก2คนให้ย่าเลี้ยงค่ะ)แม่เราก็หน้าเสียนิดๆแต่ก็ไม่คิดอะไรมากและมีการนัดทานข้าวกันอีกครั้งครอบครัวเค้าบอกจะให้พี่แม่มาคุยล่ะกัน(ประมาณว่าเฒ่าแก่เจรจาน่ะค่ะ)จนมาถึงวันที่ครอบครัวเค้าพาเฒ่าแก่มาคุยกันที่ร้านอาหารบรรยากาศสถานะการณ์ก็ดูอึดอัดๆสรุปทางบ้านเค้ากังวลเรื่องเราจะเรียกสินสอดพ่อเราเลยพูดว่าไม่เรียกอะไรนะขอให้มีเป็นประเพณี แค่อยู่ดูแลกันให้ดีที่สุดก็พอแล้ว ทางบ้านเค้าดูผ่อนคลายขึ้นมาชัดเจนค่ะ อาทิตย์ต่อมาก็มาเที่ยวบ้านเราเป็นครั้งแรก(บ้านห่างกันประมาณ10กิโลเองค่ะแต่ทางเค้าไม่เคยสนใจมาทำความรู้จักเลย)วันนี้พ่อแม่เค้าเพิ่งรู้ว่าเราจบปริญญาจากที่เคยคิดว่าเราเป็นแม่ค้าตลาดธรรมดาๆ--". ตั้งแต่นั้นดูเหมือนทัศนะคติแม่เค้าที่มองเราเปลี่ยนไปชัดเจน และรีบมีการหาฤกษ์วันแต่งซึ่งทางบ้านเค้าได้ฤกษ์มาคืออีก2เดือนข้างหน้าถ้าผ่านวันนั้นไปก็ต้องรอดูฤกษ์ใหม่ปีหน้าเลย สามีเราก็รีบตกลงเลยค่ะเพราะปีหน้าอาจจะไม่มีฤกษ์แต่งก็ได้ คิดดูนะคะมีเวลา2เดือนในการเตรียมทุกอย่าง เราเป็นคนง่ายๆก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรมากเท่าไหร่ สรุปแม่เค้าให้สินสอด50000บาท(สามีบอกว่าขอยืมแม่นะแล้วค่อยหาไปคืนท่าน)กับทอง5บาท(ตอนนั้นเราทำงานหาเงินเดือนนึงประมาณ1แสนบาท) แม่สามีให้เราไปรับเงินเพื่อไปซื้อทองเองค่ะ เราไปหาท่านที่แผงในตลาดแม่ค้าคนอื่นก็นั่งใกล้ๆกันนี่แหละค่ะพอสามีเราเดินห่างไปแว๊บนึงแม่เค้าก็ผลักเงินปึกนึงสไลด์มาตามโต๊ะที่เรายืนอยู่มาให้และพูดว่าอยากได้แบบไหนก็ไปเลือกเองเถอะซื้อมา5บาทนะนี่เงินก้อนสุดท้ายของเค้าล่ะ แต่บอกไว้ก่อนนะถ้าพี่ชายแต่งงานเมื่อไหร่เอามาคืนเค้าด้วยเค้าต้องให้พี่ชายต่อ จังหวะนี้สามีเราเดินมาพอดี แม่เค้าบอกซื้อทองเสร็จเอามาให้เค้าดูด้วยล่ะ. เราหน้าเสียและอายคนรอบข้างมากๆเลยค่ะเราไม่หยิบเงินนะคะ สามีเราเลยหยิบขึ้นมายื่นให้แล้วพาไปซื้อทอง5บาทโดยที่ได้เงินมา5หมื่นราคาทองตอนนั้นบาทละ17000และเราก็เพิ่งรู้ว่าทองรูปประพรรณมีค่าอะไรที่ต้องเพิ่มเงินอีกอ่ะค่ะสามีเอาเงินมา5หมื่นส่วนต่างล่ะค่ะ ก็เราก็ออกเองไงเหมือนเดิมค่ะ ไม่คิดอะไรมากเข้าใจทางบ้านเค้าค่ะ. มาถึงวันเตรียมงานแต่งสามีก็ยืมเงินแม่มาอีก5หมื่น ด้วยความที่เราเป็นคนเฉยๆไม่หวือหวาและเข้าใจสังคมทางบ้านเค้าเราเลยบอกขอจัดงานเล็กๆพอเชิญเฉพาะแขกผู้ใหญ่กับเพื่อนที่สนิทจริงๆ จุดนี้เลยค่ะที่เริ่มมีการเคืองใจกันลึกๆระหว่าง2ครอบครัวเพราะทางบ้านเค้าคือสังคมบ้านๆเลยค่ะมีงานทีต้องปิดหมู่บ้านเลี้ยงกันเลยทีเดียวแต่ทางครอบครัวเราจะเป็นแบบคนในเมืองงานเล็กก็ขอให้เป็นญาติผู้ใหญ่เท่านั้นพอ สรุปเรื่องงานแต่งละกันค่ะเดี๋ยวจะยาวไปม๊ากกกก เราได้สินสอดมา5หมื่น ทอง5บาท(ได้เงินมาซื้อ5หมื่น) เงินช่วยงาน5หมื่นสามีเอาไปซื้อของเลี้ยงญาติที่มาจาก ตจว.และเราบอกให้เคลียร์หนี้สินที่ติดตัวมาขอให้มาเริ่มสร้างฐานะด้วยกันใหม่เค้าก็เอาเงินส่วนนี้ไปค่ะ แต่งงานได้2เดือนเราก็ท้องแต่แท้งไปค่ะ หลังจากแท้งไปไม่กี่เดือนพี่ชายสามีก็แต่งงาน เครดิตตัวหนังสือหมดไว้มาต่อนะคะย๊าวยาวแฮ่!
เราใจแคบหรือโง่ตาบอดกันแน่คะ
เราเป็นผู้หญิงคนนึงที่เติบโตมาในครอบครัวที่มีพ่อแม่คอยอบรมสั่งสอนแบบใกล้ชิดมาตลอดจนถึงวันที่เราแต่งงานมีครอบครัวของตัวเองพ่อแม่ก็เริ่มถอยให้เราเรียนรู้การใช้ชีวิตครอบครัวดัวยตัวเอง เรากับสามีเห็นกันมาตั้งแต่สมัยเรียนชั้นอนุบาลจนจบปวส. แต่เพิ่งมาเริ่มคุยกัน(ในฐานะเพื่อนนะคะ)ตอนเรียนปวส.นี่เองค่ะ. พอไปต่อปริญญาตรีเพื่อนเกือบทุกคนของเรารวมทั้งเค้าก็เข้ากรุงส่วนเราแยกไปเชียงใหม่คนเดียว. เราเรียนเอกก่อสร้างนะคะ. สมัยนั้นไม่ค่อยมีผู้หญิงเรียนหรอกค่ะรุ่นเรามีแค่3คนฉะนั้นเพื่อนเราก็จะมีแต่ผู้ชายนั่นหมายถึงเราและสามีก็จะมีเพื่อนกลุ่มเดียวกัน. เด็กสายช่างจะรู้ดีว่ารักเพื่อนมากแค่ไหน ถึงแม้เราจะแยกไปเชียงใหม่คนเดียวแต่เพื่อนก็ยังเป็นกลุ่มเดิมอยู่ เราเรียนจบก่อนใครเพราะเราเลือกเรียนในคณะที่ใช้เวลาเรียนแค่2ปีส่วนเพื่อนๆรวมถึงสามีเราเรียนวิศวะยังไม่จบกันค่ะ. พอเราจบที่บ้านก็ให้อิสระเต็มที่เราเลือกไปเที่ยวหาเพื่อนที่ กทม.ตอนนั้นเราเสียใจเรื่องเลิกกับแฟนเก่า(จริงๆเลิกกันได้ปีกว่าก่อนเรียนจบแล้วแต่เรายังทำใจไม่ได้)อารมณ์วัยรุ่นเฮิร์ทๆไปหาเพื่อนดีกว่า. เมื่ออยู่ในแวดวงของเพื่อนเดิมๆเรามีความสุขมากเพื่อนผู้ชายทุกคนดูแลเราดีมากทั้งทำกับข้าวให้พาเที่ยวพากินทุกคนมีเรียนแต่ก็สลับกับมาอยู่กับเราแบบไม่มีเหงาเลยแหละค่ะช่วงนี้แหละที่ทำให้เราสนิทกับสามีแบบก้าวกระโดดและตอนนั้นก็รู้ข่าวว่าสามีก็เลิกกับแฟนมาเหมือนกันระยะเวลาใกล้เคียงกับเราเลยค่ะเลยเหมือนเข้าใจกันมากเป็นพิเศษ เราไปอยู่กับเพื่อนๆประมาณ10วัน ไปๆมาๆ2รอบ. มีรอบนึงที่เรานั่งรถทัวร์กลับบ้านพร้อมสามีที่เพิ่งเรียนจบพอดีตอนนั้นรู้สึกแปลกๆเหมือนไอ้เพื่อนคนนี้มันชอบเราป่ะว่ะ.แต่ก็บอกตัวเองแกนี่คิดเยอะไปนะจู่ๆระหว่างรอรถทัวร์สามียื่นตั๋วรถให้เราแล้วถามเราว่าหนีไปด้วยกันไหม. นี่คือเฮ้ยตลกไรว่ะแก. ขาไปกทม.เราก็นั่งรถไปกับเค้าค่ะตอนนั้นพ่อแม่เค้ามาส่งเราก็ไหว้ตามปกติแต่ดูแม่เค้าทำบึ้งๆเราก็กูคงคิดมากไป. (เพิ่งมาทราบตอนหลังว่าแม่เค้าได้ยินมาว่าเราเป็นแฟนลูกเค้าค่ะข่าวมาจากแฟนเก่าสามีเรานั่นแหละ แม่สามีเรารักแฟนเก่าลูกเค้ามาก) ตอนนั้นเราก็ยังแอบขำว่าเออคิดกันไปได้ไงเนี่ย. คงเพราะเราเป็นผู้หญิง(โสด)คนเดียวในกลุ่ม. ลืมเล่าว่าสาเหตุที่สามีเลิกกับแฟนเพราะผู้หญิงมีคนอื่นแต่สามีเราไม่เคยบอกทางบ้าน. จังหวะที่เราเข้ามาสนิทพอดีแฟนเก่าเลยสร้างเรื่องบอกทางบ้านว่าเราเป็นมือที่3!!!พอกลับมาอยู่บ้านก็มีเรากับสามีที่เรียนจบก่อนใคร เราเปิดร้านเค้กค่ะทำเองดูแลเองทุกอย่างร้านจะปิด2ทุ่มบ้านนอกอ่ะค่ะ2ทุ่มนี่ก็ค่อนข้างดึกล่ะเพื่อนๆก็แลดูเป็นห่วงเราก็เห็นดีที่สามีเราจะมาอยู่เป็นเพื่อนที่ร้านจนถึงช่วยปิดร้านเกือบทุกวัน. ช่วงนี้แหละค่ะใครไปใครมาก็ต้องมาปักอยู่ที่ร้านเราเพราะมีสามีเราสแตนบายรอสังสรรค์กันตลอด. เราก็สนุกสนานกับการได้เที่ยวกับเพื่อนจนดึกดื่นแทบทุกคืน(จากที่เคยเป็นลูกที่พ่อแม่ห่วงมากตามรับส่งที่รร.ตลอดพอเรียนจบพ่อแม่ให้อิสระเต็มที่เลยค่ะจะแค่คอยเตือนเวลานอกลู่นอกทางเช่นกลับบ้านตี1-2😁)ระหว่างที่เจอสามีทุกวันเราก็เห็นสามีติดต่อกับแฟนเก่าอยู่บ้างแต่เราไม่ได้ถามอะไรไปทางสงสารมากกว่าค่ะทุกครั้งที่เที่ยวด้วยกันเพื่อนๆก็จะเล่าให้เราฟังบ้างแต่เพื่อนทุกคนไม่มีใครทราบสาเหตุที่เค้าเลิกกันจริงๆนะคะเราก็เออสงสารหว่ะ. จนแฟนเก่าเค้าโทรหาเราเชิงต่อว่าเราเป็นมือที่3เราก็หัวเราะบอกว่าเข้าใจผิดอย่างแรง แฟนเก่าเค้าก็เลยขอให้เราช่วยเป็นกาวใจเราก็ยินดีค่ะเพราะสงสารเพื่อนเราก็มีไปแยบๆช่วยเป็นกาวใจให้บ้างแต่ไม่ได้ยุ่งมากนักจนสามีเล่าว่าแฟนเก่านอกใจเค้ามาเกือบ2ปีแล้วและตอนนี้มาขอคืนดีซึ่งสามีเราไม่ดีด้วยแล้วค่ะ. ตอนนั้นเราก็พยายามช่วยเกลี้ยกล่อมแต่เค้ายืนยันหนักแน่นว่าไม่หันหลังกลับ จนมาถึงงานบวชของสามีเราก็ไปกับเพื่อนผู้ชายเราปกติแต่รู้สึกบรรยากาศในงานกับตัวเราแปลกๆจนมาได้ยินญาติเค้ามายืนพูดข้างหลังเราว่านี่เหรอแฟนใหม่ไม่สวยเลยเรากับเพื่อนได้ยินก็หลบมาหัวเราะกันเพื่อนบอกเค้าว่าแกเป็นแฟนพระที่สำคัญไม่สวยเว้ย5555ยังตลกกันไป.จนโป๊ะแตกแฟนเก่าสามีเดินเข้ามาในงานตอนที่กำลังจะแห่นาคกันค่ะ.เพื่อนที่ไปกับเราไปเป็นม้าให้นาคขี่คอเลยเหลือเรายืนเก้ๆกังๆแบบไม่รู้จักใครเลยอยู่คนเดียวเราเลยไปห้อยท้ายขบวนตอนนั้นเริ่มอึดอัดเพราะเหมือนทุกคนจับตาเรา จนถึงพิธีเสร็จเราเลิกไปไหว้แม่เค้าลากลับแต่ท่านยกมือรับไหว้แบบไม่มองหน้าเราและหันไปทักทายเพื่อนเราแทน นี่เราใจเสียล่ะค่ะขึ้นรถมาเพื่อนคงพอเดาสถานะการณ์ออกเลยปลอบว่าแค่คนเข้าใจผิดน่าอย่าคิดมากล่ะ. อ่อ. ในงานมีแฟนเก่าเราไปด้วยค่ะเราเพิ่งเห็นตอนนั่งรถกลับแล้วเค้าเป็นเพื่อนของพี่สามีเราค่ะ. พอรุ่งขึ้นแฟนเก่าสามีเราโทรมาด่ารัวเป็นชุดเลยค่ะว่าขอให้ช่วยเป็นกาวใจแต่นี่มาล่อซะเอง รู้ไหมในงานบวชคนเค้าด่าเราเยอะมากโดยเฉพาะแม่สามีเราด่าเราว่าหน้าด้านมากมาร่วมงานเจอผัวเก่าไม่ทักสักคำ.จะบอกไว้ให้เลยนะว่าไม่มีทางให้เราไปเหยียบบ้านเค้าเด็ดขาดอื่นๆอีกเยอะแยะประมาณพร่ำถึงความรักระหว่างเค้า2คนให้เราฟังตอนนั้นเราทั้งเสียใจที่คนมองเราผิดถูกด่าว่าแรงๆและยังมีใจมาสงสารคู่รักคู่นี้อี๊ก จนพระสึกเราก็เล่าว่าแฟนแกโทรหาเรานะเว้ยดีกันไหมล่ะสงสารว่ะแต่ไม่ได้เล่าว่ามีใครว่าอะไรเราบ้าง. และบ่นว่าเชิญแฟนมาน่าจะบอกเราจะได้ไม่ไป สามีเราพูดว่าเค้าต้องการให้เราไปร่วมงานสำคัญในชีวิตเค้าค่ะ. และไม่ได้อยากบอกแฟนเก่าแต่แม่เค้าให้ชวนมาตอนนั้นเรามั่นใจว่าสามีคิดไรกับกูแน่ล่ะ. ก็พยายามเฉยๆไว้ เรายังเที่ยวด้วยกันเค้าก็จะมาช่วยเราที่ร้านเกือบทุกวันจนคบกันแบบงงๆ. ระหว่างนั้นแฟนเก่าเค้าก็โทรมาด่าเราเป็นระยะ เราก็จะบอกสามีเราเกือบทุกครั้งและถามย้ำว่าดีกันไหมล่ะ. สามีก็ยังหนักแน่นที่จะไม่กลับไป จนถึงวันที่สามีต้องไปกทม. ตอนนั้นสามีเรายังไม่มีงานทำเราก็ใจดีตามนิสัยด้อยของเราแหละค่ะ ถามเค้าว่ามีตังค์ไปป่ะ ยืมได้นะ เค้าก็เอาค่ะ3พันบาท(สมัยนั้นอัตราเงินเดืนข้าราชบรรจุใหม่7พัน)พอไปถึงเค้าโทรหาเราทุกระยะจนวันที่2เบอร์เค้าโทรมาค่ะแต่เป็นแฟนเก่าเค้าพูดทีนี้ด่าเราหนักเลยค่ะ. เราเลยขอคุยกับสามี สามีเราไม่พูดอะไรเลย แฟนเค้าบอกเงินที่ให้มันมาน่ะมันเอามาให้กู คิดดูความเจ็บช้ำในใจเราเหอะ. แต่ตอนนั้นเราก็พอทำใจได้เพราะเราไม่เคยตกลงคบกับสามีจริงจัง จนอีกวันสามีเราโทรมาถามว่าจะคบกันได้ไหม. รักเค้าไหมแบบย้ำๆๆถ้าตอบว่าคบและรักเค้า เค้าจะกลับมาทันทีตอนนั้นเราทั้งเสียใจทั้งสับสนงง เราก็ตอบว่าแกตัดสินใจเองเถอะในเมื่อแกไปหาแฟนเก่านั่นก็น่าจะคือคำตอบในใจแกแล้ว. แต่เค้าบอกว่าไม่ใช่อย่างที่เราคิด. เค้าขอให้เราบอกว่าเรารักเค้าก็จะกลับมาทันที เราเลยตอบว่าเรารักนะแต่ขอให้แกตัดสินใจเอง. ทุกเหตุการณ์เพื่อนในกลุ่มเรารู้ตลอดค่ะแต่ไม่มีใครรู้ว่าสามีติดยังไงกับเราอาจมีสงสัยบ้างอย่างว่าแต่เพื่อนเลยค่ะจุดนั้นเราก็ยังงงๆอยู่ จนอีกวันมีปาร์ตี้กันที่บ้านเพื่อน. เพื่อนเราโทรมาชวนและบอกว่าไอ้...ก็มานะเจอหน้ากันได้ไหม. เราก็เฮ้ยยยเป็นไรล่ะเพื่อนก๊านนนน. จากนั้นเราก็เจอกันทุกวันเรื่อยๆเหมือนคบกันไปโดยปริยาย จนมีวันนึงเราโทรหาเค้าที่บ้านได้ยินเสียงเอ๊ะอะ สักพักเค้ารับสายน้ำเสียงหงุดหงิดมากบอกว่าแม่เค้าไม่ให้คบกับเราแต่ขอให้เรามั่นใจเค้านะตอนนี้แม่อาจยังไม่เข้าใจเราก็เออๆเราไม่คิดมากหรอกน่า. เข้าใจว่าผู้ใหญ่ท่านรู้จักเรามาจากแฟนเก่าแกเล่ากูคงไม่มีชิ้นดีอยู่แล้วแหละ5555. ส่วนทางบ้านเราก็เห็นเค้าทุกวันและยินดีที่มีเพื่อนคอยช่วยดูแลเวลาเราปิดร้านจนแม่เราฝากเค้าทำงานกับหน่วยงานราชการนึงเป็นลูกจ้างในตำแหน่งวิศวกรทีนี้ทางบ้านเค้าเหมือนจะรู้สึกดีกับเราขึ้นมาหน่อยๆผ่านไปประมาณ2ปีระหว่างนี้เค้าพูดกับเราเรื่องอยากแต่งงานมาเรื่อยๆแต่ไม่มีเงินและยังไม่มั่นคงและเกรงว่าทางบ้านเราจะรังเกียจ(บ้านเค้าอาชีพแม่ค้าตลาดค่ะ ส่วนบ้านเรารับราชการ)จนมาถึงวันเกิดเราซึ่งห่างจากวันเกิดเค้าไม่กี่วันและเป็นวันเกิดแม่เราด้วยเลยชวนบ้านเค้ามาทานข้าวด้วยกัน. ถึงจะคบกันมานานแต่เหมือนเป็นครั้งแรกที่บ้านเค้ามาทำความรู้จักครอบครัวเรา. เราก็เลยบอกเค้าว่าจะคุยเรื่องแต่งงานเลยไหมล่ะโอกาสที่จะพร้อมหน้ากันแบบนี้คงยากนะ เค้าก็ดูเหมือนดีใจแต่พูดเหมือนเดิมประมาณว่าพ่อแม่เราจะยินดีไหมที่เค้าไม่มีอะไรเลย เราคุยกับพ่อแม่เราท่านบอกว่าให้สามีเราสบายใจได้ขอให้ดูแลเราให้ดีก็ยินดีมากแล้วไม่เรียกร้องสินสอดใดๆ. จนถึงวันทานข้าวกันพ่อเราเป็นฝ่ายถามก่อนว่าจะแต่งงานกันใช่ไหมก็พูดถามรายละเอียดกันไป มีช่วงนึงแม่สามีเราหันมาพูดกับแม่เราว่าพี่ชายสามีเราก็คบกับแฟนมา7ปีล่ะ ยังไม่แต่งกันเลย(พี่ชายเค้าเลิกกับเมียมีลูก2คนให้ย่าเลี้ยงค่ะ)แม่เราก็หน้าเสียนิดๆแต่ก็ไม่คิดอะไรมากและมีการนัดทานข้าวกันอีกครั้งครอบครัวเค้าบอกจะให้พี่แม่มาคุยล่ะกัน(ประมาณว่าเฒ่าแก่เจรจาน่ะค่ะ)จนมาถึงวันที่ครอบครัวเค้าพาเฒ่าแก่มาคุยกันที่ร้านอาหารบรรยากาศสถานะการณ์ก็ดูอึดอัดๆสรุปทางบ้านเค้ากังวลเรื่องเราจะเรียกสินสอดพ่อเราเลยพูดว่าไม่เรียกอะไรนะขอให้มีเป็นประเพณี แค่อยู่ดูแลกันให้ดีที่สุดก็พอแล้ว ทางบ้านเค้าดูผ่อนคลายขึ้นมาชัดเจนค่ะ อาทิตย์ต่อมาก็มาเที่ยวบ้านเราเป็นครั้งแรก(บ้านห่างกันประมาณ10กิโลเองค่ะแต่ทางเค้าไม่เคยสนใจมาทำความรู้จักเลย)วันนี้พ่อแม่เค้าเพิ่งรู้ว่าเราจบปริญญาจากที่เคยคิดว่าเราเป็นแม่ค้าตลาดธรรมดาๆ--". ตั้งแต่นั้นดูเหมือนทัศนะคติแม่เค้าที่มองเราเปลี่ยนไปชัดเจน และรีบมีการหาฤกษ์วันแต่งซึ่งทางบ้านเค้าได้ฤกษ์มาคืออีก2เดือนข้างหน้าถ้าผ่านวันนั้นไปก็ต้องรอดูฤกษ์ใหม่ปีหน้าเลย สามีเราก็รีบตกลงเลยค่ะเพราะปีหน้าอาจจะไม่มีฤกษ์แต่งก็ได้ คิดดูนะคะมีเวลา2เดือนในการเตรียมทุกอย่าง เราเป็นคนง่ายๆก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรมากเท่าไหร่ สรุปแม่เค้าให้สินสอด50000บาท(สามีบอกว่าขอยืมแม่นะแล้วค่อยหาไปคืนท่าน)กับทอง5บาท(ตอนนั้นเราทำงานหาเงินเดือนนึงประมาณ1แสนบาท) แม่สามีให้เราไปรับเงินเพื่อไปซื้อทองเองค่ะ เราไปหาท่านที่แผงในตลาดแม่ค้าคนอื่นก็นั่งใกล้ๆกันนี่แหละค่ะพอสามีเราเดินห่างไปแว๊บนึงแม่เค้าก็ผลักเงินปึกนึงสไลด์มาตามโต๊ะที่เรายืนอยู่มาให้และพูดว่าอยากได้แบบไหนก็ไปเลือกเองเถอะซื้อมา5บาทนะนี่เงินก้อนสุดท้ายของเค้าล่ะ แต่บอกไว้ก่อนนะถ้าพี่ชายแต่งงานเมื่อไหร่เอามาคืนเค้าด้วยเค้าต้องให้พี่ชายต่อ จังหวะนี้สามีเราเดินมาพอดี แม่เค้าบอกซื้อทองเสร็จเอามาให้เค้าดูด้วยล่ะ. เราหน้าเสียและอายคนรอบข้างมากๆเลยค่ะเราไม่หยิบเงินนะคะ สามีเราเลยหยิบขึ้นมายื่นให้แล้วพาไปซื้อทอง5บาทโดยที่ได้เงินมา5หมื่นราคาทองตอนนั้นบาทละ17000และเราก็เพิ่งรู้ว่าทองรูปประพรรณมีค่าอะไรที่ต้องเพิ่มเงินอีกอ่ะค่ะสามีเอาเงินมา5หมื่นส่วนต่างล่ะค่ะ ก็เราก็ออกเองไงเหมือนเดิมค่ะ ไม่คิดอะไรมากเข้าใจทางบ้านเค้าค่ะ. มาถึงวันเตรียมงานแต่งสามีก็ยืมเงินแม่มาอีก5หมื่น ด้วยความที่เราเป็นคนเฉยๆไม่หวือหวาและเข้าใจสังคมทางบ้านเค้าเราเลยบอกขอจัดงานเล็กๆพอเชิญเฉพาะแขกผู้ใหญ่กับเพื่อนที่สนิทจริงๆ จุดนี้เลยค่ะที่เริ่มมีการเคืองใจกันลึกๆระหว่าง2ครอบครัวเพราะทางบ้านเค้าคือสังคมบ้านๆเลยค่ะมีงานทีต้องปิดหมู่บ้านเลี้ยงกันเลยทีเดียวแต่ทางครอบครัวเราจะเป็นแบบคนในเมืองงานเล็กก็ขอให้เป็นญาติผู้ใหญ่เท่านั้นพอ สรุปเรื่องงานแต่งละกันค่ะเดี๋ยวจะยาวไปม๊ากกกก เราได้สินสอดมา5หมื่น ทอง5บาท(ได้เงินมาซื้อ5หมื่น) เงินช่วยงาน5หมื่นสามีเอาไปซื้อของเลี้ยงญาติที่มาจาก ตจว.และเราบอกให้เคลียร์หนี้สินที่ติดตัวมาขอให้มาเริ่มสร้างฐานะด้วยกันใหม่เค้าก็เอาเงินส่วนนี้ไปค่ะ แต่งงานได้2เดือนเราก็ท้องแต่แท้งไปค่ะ หลังจากแท้งไปไม่กี่เดือนพี่ชายสามีก็แต่งงาน เครดิตตัวหนังสือหมดไว้มาต่อนะคะย๊าวยาวแฮ่!