ใครที่กำลังท้อให้อ่านโพสต์นี้นะคะ เผื่อจะเป็นกำลังใจให้ได้ เป็นเรื่องราวการสู้ชีวิตของเราเอง มีความทุกข์เข้ามาขนาดไหน หรือกี่ครั้ง เราก็ไม่เคยที่จะยอมแพ้ให้กับชะตาชีวิต
เรื่องราวทั้งหมดผ่านมา 13 ปี เราสู้ตลอดมา จนถึงตอนนี้เราก็ยังสู้อยู่ เราเหลือแม่ และน้องชาย ที่คุยกันตลอด และพี่ชาย
ตอนแรกบ้านเรามีทั้งหมด 7 คน ได้แก่ ปู่ พ่อ ป้า แม่ พี่ชายเรา น้องชายเรา และเรา (ป้าเราไม่ได้อยู่ด้วยประจำเพราะไปทำงานเป็นแม่บ้านที่จ.นครนายก)
1. พ่อ เสียชีวิตเพราะไตวาย พร้อมกับเจอนิ่วเป็นจำนวนมาก ตอนนั้นเราอยู่ ม.2 อายุ 14 ปี เราต้องสู้นับตั้งแต่นั้นมา
2. ปู่ เริ่มป่วยเป็นวัณโรคตั้งแต่ก่อนพ่อเสีย แล้วมาอาการหนักขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่พ่อเสียมา เพราะชรามากแล้วด้วย 1-2 ปีก่อนเสียชีวิตปู่เดินไม่ได้ ตอนนั้นน่าจะอายุ 19 ปี อยู่ปี 1
3. ป้า ไม่มีลูกหรือสามี จึงมาอาศัยอยู่ด้วยกัน ป้าเป็นมะเร็งรังไข่ตั้งแต่เราอยู่ ม.4-ม.5 จึงกลับมาสู้ชีวิตอยู่บ้าน เป็นผู้มีพระคุณของเราที่สุดอีกคนหนึ่ง เมื่อท่านเป็นมะเร็งรังไข่หมอผ่าตัดเอามดลูกและรังไข่ทั้งหมดออก อาการดีขึ้นมา จึงทำอาชีพถักไม้กวาดและรับจ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ทั่วไป แต่สุดท้ายโรคมะเร็งก็กลับมา รอบนี้เป็นที่ตับ เริ่มทำคีโมอีกครั้ง และเสียชีวิตลงในที่สุด ตอนนั้นเราเรียนจบป.ตรีแล้ว ทำงานได้ 1 ปี อายุ 23 ปี
4. แม่ มีอาชีพเลี้ยงวัวเนื้อพันธุ์พื้นบ้าน ปลูกผักเล็ก ๆ น้อย ๆ ขายบ้าง ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าหลังคลอดตั้งแต่มีลูกคนแรก มีอาการทางจิต แต่ก็อาการดีขึ้นจนเป็นปกติ ก่อนพ่อจะตายแม่ก็ป่วยเป็นโรคลมชัก หมอให้ยาขนานแรกแม่เกิดอาการแพ้ปางตาย แต่ก็รอดมาได้ ช่วงเราอยู่ประมาณ ม.5 แม่ไปทำบุญที่ต่างจังหวัดคนเดียว ลืมเอายาโรคจิตเวชกับลมชักไปกินด้วย พักผ่อนไม่เพียงพอ กลับมามีอาการทางจิตอีก เราทุกข์ใจมาก แต่ยังดีที่มีป้าช่วยดูแล จนปีนี้แม่มาช่วยเลี้ยงลูกให้เรา ช่วงหลังพักผ่อนไม่เพียงพอ นอนไม่ค่อยหลับ เลยมีอาการทางจิตอีก
5. พี่ชายเรา มีครอบครัวที่ดีแล้ว เรียนม.ปลายก็โดนข้อหาค้ายา ช่วงที่เขาฆ่าตัดตอนกันเยอะ ๆ เรากลัวมาก แต่ผ่านพ้นมาได้แล้ว ตอนจบม.6 พ่อไม่มีเงินส่งเรียน แต่มันก็แอบไปสอบ และลงทะเบียนเรียนไว้ พ่อก็ขัดไม่ได้ เลยต้องหาเงินเพื่อส่งเรียนต่อ จนตอนใกล้จะเรียนจบพ่อตายก่อน จึงมาขอเงินกับแม่ แม่ไม่มีจะให้เลยเอาทองที่เก็บไว้ให้เรา 2 สลึงไปขาย เรียนจบพอดี ทองนั้นได้มาจากการส่งซองมาม่าชิงโชครายการชิงร้อยชิงล้าน (แม่บอกว่าเรามีโชคดี เพราะเขียนชื่อทุกคนในบ้านไป กลับจับได้แต่ชื่อเราคนเดียวตั้ง 2 ครั้ง รอบละ 1 สลึง) ตอนแรกเราโกรธมากว่าทำไมต้องเอาไปขายด้วย แต่ตอนนี้ไม่โกรธแล้ว เพราะพี่มันเรียนจบมาก็ส่งเงินให้แม่ ป้า ที่บ้านหลายปีอยู่
6. น้องชายเรา ตั้งแต่พ่อตาย น้องชายเราก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากคนขยันขันแข็งช่วยพ่อแม่ทำงานขยันไปโรงเรียน กลายเป็นคนขี้เกียจ เกเรขาดเรียนประจำ จนเรียนไม่จบม.3 ติดดมกาว ต้องไปเข้าเรือนจำเยาวชนข้อหาเมาแล้วขับ แม่ต้องพาไปรายงานตัวที่ศาลทุกเดือน บางทีก็ได้ไปอบรม มีแอบขโมยเงินป้าด้วย มีทั้งเรื่องผู้หญิงต้องไปเสียเงินให้เขา เคสล่าสุดไปทำเขาท้องด้วย เราเสียใจทุกข์ใจมาก แต่ตอนนี้คิดได้แล้วเอาวุฒิป.6 ไปต่อกศน.จนตอนนี้จบม.6 และมีงานทำเป็นหลักแหล่ง พอที่จะเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียได้ เราก็ดีใจขึ้นมาบ้าง ตอนนี้ช่วยดูแลบ้านที่เป็นมรดกของพ่อให้
7. เราเอง ข้อเสียของเราคือมีแฟนตั้งแต่เด็ก ตอนช่วงม.3 ใกล้ ๆ ม.4 เราก็มีแฟนแล้วนะ ตามประสาวัยรุ่น ยิ่งไม่มีพ่อห้ามเราก็คบตามสบาย แม่กับป้าก็เป็นห่วงมาก แต่เราคิดว่าตัวเองไม่ผิดเพราะไม่ได้ทำเรื่องเสื่อมเสียอะไร การเรียนก็ไม่เสียหาย มีบางคนนินทาให้แม่กับป้าฟังว่าพากันไปเที่ยวไหนบ้าง สุดท้ายลูกหลานเขาดันตั้งท้องเสียเอง แต่เราก็ไม่เคยโกรธเขาที่เขามานินทา เราไม่ได้ใส่ใจ ม.2 พ่อเสียชีวิต ตอนนั้นเราเคว้งคว้างมาก คิดว่าชีวิตจากนี้ไปเราจะทำยังไงต่อ แต่สิ่งที่คิดอย่างแรกคือต้องเรียนให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะลำบากแค่ไหนก็ต้องสู้ เพราะไม่อย่างนั้นเราต้องกลับมาวนลูปเดิมที่ต้องลำบากเหมือนพ่อแม่ หาเช้ากินค่ำ แต่บ้านเรายังโชคดีที่มีบ้าน และที่ดินเป็นของตัวเอง พอพ่อเสีย ที่นาก็ให้ญาติพี่น้องทำให้ แล้วค่อยมาแบ่งข้าวกัน เพราะไม่ได้คิดค่าเช่าเป็นเงิน ปู่เรายังอยู่นะตอนนั้น เราน้อยใจอย่างหนึ่งที่ลูก ๆ ของปู่ไม่ค่อยมาสนใจช่วยป้า กับแม่ดูแลปู่เลย แต่เราก็คิดว่าช่างมันเถอะ ต่อไปใครทำยังไงไว้ก็ยังจะเห็นเอง พอปู่ตายก็ถือว่าพ้นเวรกรรมไปอีก 1 คน ตั้งแต่ ม.2-ม.6 เราโชคดีมากเพราะได้ทุนการศึกษาปีละเป็นหมื่น เราก็เก็บไว้ใช้ยามจำเป็น แทบไม่เคยขอเงินแม่กับป้าเลย ถ้าขอก็นับครั้งได้ นอกจากนั้นเรายังได้ทุนของโรงเรียนเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้างเป็นครั้งคราว บางทีเป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่งวิชาการได้เงินรางวัลเราก็เก็บไว้ตลอด ตอนม.3 เรามีโอกาสได้ไปเป็นเด็กแลกเปลี่ยนที่โรงเรียนราชวินิตมัธยม ในเขตดุสิต กทม. ตั้ง 1 เทอม เราดีใจนะ แต่ที่ดีใจมากกว่านั้นคือเขามีเบี้ยเลี้ยงให้ทุกวัน จำไม่ได้ว่าเท่าไหร่ แต่เป็นร้อยขึ้น เราก็เก็บไว้อีกแล้ว มีเงินอะไรมาเก็บหมด อ้อมีไปทำงานพิเศษตอนปิดเทอมม.อะไรจำไม่ได้ อันนั้นก็ได้ตังค์หมื่นกว่าอยู่ ก็เก็บไว้อีกแล้ว
พอจบม.6 เราจะไปเรียนต่อปริญญาตรี เราเสียใจมากเพราะแม่กับป้าบอกว่าเราคงไม่ได้เรียนต่อ ไม่มีเงินส่ง เราคิดจะทำยังไงต่อ สุดท้ายเราไปเจอศูนย์นมเปรี้ยวแห่งนึงในเมืองสกลนคร เขารับเรา และขายได้อยู่ 2 เดือน มือขึ้นและขายเก่งมาก ได้เงินเป็นกอบเป็นกำน่าจะเกือบ ๆ 3 หมื่น เราเอาไปลงทะเบียนเรียนกับเสียค่าหอพักสบาย ๆ ป้าเราเห็นความตั้งใจของเราก็ไม่ว่าอะไรอีก เพราะไม่ได้ให้ป้ากับแม่มีภาระเรื่องเงินมากมาย แล้วเราก็แบ่งเงินไปดาวน์รถเครื่อง เพราะเดินทางไปคณะเรียน และกลับบ้านลำบาก ตอนแรกป้าเราโกรธมาก แล้วใครจะไปส่งไหว เดือนละ 1,200 บาท เราบอกว่าเราส่งเอง ตอนหลังเราไม่ได้ส่ง พี่ชายเราส่งให้แต่สุดท้ายพี่มันส่งไม่ไหว ป้าเลยส่งต่อจนหมดงวด และป้าก็เข้าใจ ตอนเข้าปี 1 เพื่อน ๆ จะเห็นว่าปุ้มปุ้ยประหยัดมาก ก็เพราะอย่างนี้แหละจ้า เพราะเรามีแต่เงินเก็บ และกยศ. บางทีตอนเย็นก็รีบอาบน้ำเข้านอนเลยจะได้ไม่ต้องเปิดไฟ ประหยัดค่าไฟไปได้เยอะ ส่วนมากกับข้าวก็ทำกินเอง ข้าวสารก็ขนมาจากบ้าน ประหยัดจริง ๆ ตอนนั้น แต่เรื่องเรียน หรือเรื่องอื่นที่เราพอช่วยเพื่อน ๆ ได้เราก็ช่วยเต็มที่ ช่วยงานอาจารย์บ้างเป็นครั้งคราว ขยันเข้าเรียนแทบทุกคาบ การบ้านรอส่งพร้อมเพื่อน ๆ พอถึงปี 3 เงินเก็บเริ่มร่อยหลอ โชคดีที่ไปฝึกงานฟาร์ม แล้วฟาร์มให้เงินด้วย เรทเท่ากับคนงานที่เขาจ้างเลย ได้กลับมาพอสมควรเพราะกลับมาเรียนปี 4 อีกแค่ 2 เทอม เราก็จะจบแล้ว ความรู้สึกเหมือนเราจนมากนะ แต่ก็เหมือนเทวดาประจำตัวเราช่วยตลอด เงินเราไม่มีเยอะ แต่เราประหยัดใช้ พอจะขาดมือก็มีเงินเข้ามาอีก เราลืมเล่าคือมีแฟนอีกแล้วตั้งแต่ปี 1 เชื่อมั้ยนั่นล่ะคือสามีตามกฏหมายในทุกวันนี้ของเรา เราคบกัน เขาเรียนจบก่อนเพราะเรียน ปวส. ตอนนั้นทางบ้านเขากำลังลำบากพอจบแล้วเขาก็มาทำงานเลย บางทีเราไม่มีเงิน เราก็ขอยืมเขา ซึ่งส่วนมากไม่ได้คืน แต่จะสลับให้กันมากกว่า เพราะช่วงปี 3-4 เราใช้เงินมากขึ้น ตอนนั้นบางทีพี่ชายเราก็ช่วยด้วย แต่บางทีก็ได้ให้มันยืม ตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยมามันช่างทุลักทุเลมาก เราก็ไม่รู้ว่ามันผ่านมาได้ยังไง เรารู้แค่ว่าเราต้องสู้เพื่อแม่กับป้าเท่านั้น สุดท้ายเราจบปริญญาตรีวิทยาศาสตรบัณฑิตสัตวศาสตร์ เกียรตินิยมอันดับ 1 เหรียญทอง เราดีใจจนไม่รู้จะดีใจยังไง เพราะในที่สุดเราก็ทำสำเร็จ
เราเรียนจบมา ตอนแรกส่งเงินให้แม่กับป้าเดือนละ 8,000 บาท จนถึงช่วงใกล้รับปริญญาส่งให้เหลือแค่ 5,000 บาท เพราะอยากเก็บตังค์ไว้รับปริญญา เราทำงานฟาร์มได้ปีเดียว แม่เรียกกลับบ้านเพราะป้าอาการมะเร็งตับทรุดหนักมากแล้ว จึงขอเจ้านายกลับบ้านซึ่งท่านก็เข้าใจ ตอนนั้นวันที่กลับบ้านจำได้เลยเพราะคสช.เข้ามายึดอำนาจรัฐบาลพอดี กลับไปไม่รู้จะทำยังไงต่อ เงินก็ยังต้องกินต้องใช้ ประเหมาะกับโรงพยาบาลใกล้บ้านรับคนเข้าทำงานตำแหน่งพนักงานบริการเป็นผู้ช่วยทันตแพทย์ เราไปสอบผ่านทั้งข้อเขียนและสัมภาษณ์ได้ลำดับ 1 เข้าทำงานได้ เราดีใจมาก แต่เราก็ต้องเสียใจมากเพราะป้าเราเสียชีวิตในวันที่จัดงานศพให้ป้าพอดี สมบัติเงินเก็บ ทองคำเล็ก ๆ น้อย ๆ รวมถึงโฉนดที่ดินทุกอย่างป้าเขียนในพินัยกรรมยกให้เราหมด เพราะป้าบอกว่าไม่เห็นใครแล้วจริง ๆ ที่จะรักษาไว้ได้ ถ้าเราจะเอาไปให้ใครหลังจากนี้ก็แล้วแต่เรา ความจริงเราอยากกลับมาทำงานฟาร์มอีกทันที เพราะเงินเดือนผู้ช่วยทันตแพทย์มันน้อย เราไม่มีเงินเก็บเลย พอได้แต่ค่ากับข้าว แต่ก็ยังไปไม่ได้
ถึงปี 58 เราจะแต่งงานแล้วก็ตาม เพราะแม่จะต้องอยู่คนเดียว เพราะน้องชายยังติดทหารอยู่ เราก็รอจนน้องได้ออกจากทหารถึงได้กลับมาทำงานฟาร์ม นับจากที่เราออกรอบก่อน แล้วเจ้านายใจดีให้เรากลับมาทำงานได้เลยเป็นเวลา 1 ปีพอดี แต่เราก็ยังไม่สบายใจเพราะสุดท้ายน้องเราตอนกลางคืนก็ไม่ได้กลับมานอนบ้านทุกวันอยู่ดี อาทิตย์นึงกลับแค่วันหรือสองวัน มันทำงานอยู่ในเมืองแล้วเช่าห้องไว้กับเมีย แม่กับยายก็ได้อยู่กันกลางคืน 2 คน ช่วงนั้นยายมาอยู่หลังจากป้าเสียได้พักนึงแล้ว
สุดท้ายเรามีลูก 5 เดือนแรกหลังจากลาคลอดเราจึงเอาแม่กับยายมาช่วยเลี้ยงลูกที่ฟาร์ม และเอายายกลับไปส่งให้ลูกชายเพราะแกแก่มากแล้ว เดินทางไกลลำบาก พอแม่กลับมาที่ฟาร์มคนเดียวประมาณ 2 เดือน แม่ก็ป่วยมีอาการทางประสาทอีก จนตอนนี้ต้องอยู่กับน้องสาว ถามว่าเราท้อกับชีวิตมั้ยที่เดี๋ยวก็มีเรื่องทุกข์เรื่องสุขเข้ามาตลอด เราท้อนะแต่เราก็ไม่เคยถอย ไม่งั้นเราคงไม่มาถึงทุกวันนี้ได้ ทุกวันนี้เรามีรถ มีที่นาของตัวเอง มีบ้านที่กำลังรอปลูกสร้างเพราะซื้อไว้ครบหมดแล้ว แต่เราไม่มีทุนเองเพียงพอ ก็ต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาจ่ายก่อน ถ้าจ่ายหมดแล้วอีกไม่นานเราคงได้กลับไปสู้ชีวิตต่อที่บ้านอีก ได้รับแม่มาอยู่ด้วยดูแลเต็มที่เสียที อยู่กันพร้อมหน้าพ่อแม่ลูก ถึงแม้จะไม่ตลอดไปก็ตาม เราต้องเตรียมใจรับทุกสถานการณ์ตลอดเวลา ตราบใดที่ยังไม่ตายมันต้องมีปัญหาแบบนี้เข้ามาอีกเรื่อย ๆ ขอแค่เราเข้าใจสัจธรรมของชีวิตเราก็จะผ่านมันไปได้ เพราะความสุขไม่ได้อยู่กับเราไปตลอดฉันใด ความทุกข์ก็ไม่ได้อยู่กับเราไปตลอดฉันนั้น บุญกุศลความดีต่างหากที่จะอยู่กับเราตลอดไปทุกภพทุกชาติ
โพสต์นี้ยาวหน่อยนะคะ ขอบคุณที่อ่านถึงตรงนี้ค่ะ
ประสบการณ์ชีวิตสำหรับผู้ที่ท้อแท้ในชีวิตอ่านแล้วอาจได้กำลังใจ
เรื่องราวทั้งหมดผ่านมา 13 ปี เราสู้ตลอดมา จนถึงตอนนี้เราก็ยังสู้อยู่ เราเหลือแม่ และน้องชาย ที่คุยกันตลอด และพี่ชาย
ตอนแรกบ้านเรามีทั้งหมด 7 คน ได้แก่ ปู่ พ่อ ป้า แม่ พี่ชายเรา น้องชายเรา และเรา (ป้าเราไม่ได้อยู่ด้วยประจำเพราะไปทำงานเป็นแม่บ้านที่จ.นครนายก)
1. พ่อ เสียชีวิตเพราะไตวาย พร้อมกับเจอนิ่วเป็นจำนวนมาก ตอนนั้นเราอยู่ ม.2 อายุ 14 ปี เราต้องสู้นับตั้งแต่นั้นมา
2. ปู่ เริ่มป่วยเป็นวัณโรคตั้งแต่ก่อนพ่อเสีย แล้วมาอาการหนักขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่พ่อเสียมา เพราะชรามากแล้วด้วย 1-2 ปีก่อนเสียชีวิตปู่เดินไม่ได้ ตอนนั้นน่าจะอายุ 19 ปี อยู่ปี 1
3. ป้า ไม่มีลูกหรือสามี จึงมาอาศัยอยู่ด้วยกัน ป้าเป็นมะเร็งรังไข่ตั้งแต่เราอยู่ ม.4-ม.5 จึงกลับมาสู้ชีวิตอยู่บ้าน เป็นผู้มีพระคุณของเราที่สุดอีกคนหนึ่ง เมื่อท่านเป็นมะเร็งรังไข่หมอผ่าตัดเอามดลูกและรังไข่ทั้งหมดออก อาการดีขึ้นมา จึงทำอาชีพถักไม้กวาดและรับจ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ทั่วไป แต่สุดท้ายโรคมะเร็งก็กลับมา รอบนี้เป็นที่ตับ เริ่มทำคีโมอีกครั้ง และเสียชีวิตลงในที่สุด ตอนนั้นเราเรียนจบป.ตรีแล้ว ทำงานได้ 1 ปี อายุ 23 ปี
4. แม่ มีอาชีพเลี้ยงวัวเนื้อพันธุ์พื้นบ้าน ปลูกผักเล็ก ๆ น้อย ๆ ขายบ้าง ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าหลังคลอดตั้งแต่มีลูกคนแรก มีอาการทางจิต แต่ก็อาการดีขึ้นจนเป็นปกติ ก่อนพ่อจะตายแม่ก็ป่วยเป็นโรคลมชัก หมอให้ยาขนานแรกแม่เกิดอาการแพ้ปางตาย แต่ก็รอดมาได้ ช่วงเราอยู่ประมาณ ม.5 แม่ไปทำบุญที่ต่างจังหวัดคนเดียว ลืมเอายาโรคจิตเวชกับลมชักไปกินด้วย พักผ่อนไม่เพียงพอ กลับมามีอาการทางจิตอีก เราทุกข์ใจมาก แต่ยังดีที่มีป้าช่วยดูแล จนปีนี้แม่มาช่วยเลี้ยงลูกให้เรา ช่วงหลังพักผ่อนไม่เพียงพอ นอนไม่ค่อยหลับ เลยมีอาการทางจิตอีก
5. พี่ชายเรา มีครอบครัวที่ดีแล้ว เรียนม.ปลายก็โดนข้อหาค้ายา ช่วงที่เขาฆ่าตัดตอนกันเยอะ ๆ เรากลัวมาก แต่ผ่านพ้นมาได้แล้ว ตอนจบม.6 พ่อไม่มีเงินส่งเรียน แต่มันก็แอบไปสอบ และลงทะเบียนเรียนไว้ พ่อก็ขัดไม่ได้ เลยต้องหาเงินเพื่อส่งเรียนต่อ จนตอนใกล้จะเรียนจบพ่อตายก่อน จึงมาขอเงินกับแม่ แม่ไม่มีจะให้เลยเอาทองที่เก็บไว้ให้เรา 2 สลึงไปขาย เรียนจบพอดี ทองนั้นได้มาจากการส่งซองมาม่าชิงโชครายการชิงร้อยชิงล้าน (แม่บอกว่าเรามีโชคดี เพราะเขียนชื่อทุกคนในบ้านไป กลับจับได้แต่ชื่อเราคนเดียวตั้ง 2 ครั้ง รอบละ 1 สลึง) ตอนแรกเราโกรธมากว่าทำไมต้องเอาไปขายด้วย แต่ตอนนี้ไม่โกรธแล้ว เพราะพี่มันเรียนจบมาก็ส่งเงินให้แม่ ป้า ที่บ้านหลายปีอยู่
6. น้องชายเรา ตั้งแต่พ่อตาย น้องชายเราก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากคนขยันขันแข็งช่วยพ่อแม่ทำงานขยันไปโรงเรียน กลายเป็นคนขี้เกียจ เกเรขาดเรียนประจำ จนเรียนไม่จบม.3 ติดดมกาว ต้องไปเข้าเรือนจำเยาวชนข้อหาเมาแล้วขับ แม่ต้องพาไปรายงานตัวที่ศาลทุกเดือน บางทีก็ได้ไปอบรม มีแอบขโมยเงินป้าด้วย มีทั้งเรื่องผู้หญิงต้องไปเสียเงินให้เขา เคสล่าสุดไปทำเขาท้องด้วย เราเสียใจทุกข์ใจมาก แต่ตอนนี้คิดได้แล้วเอาวุฒิป.6 ไปต่อกศน.จนตอนนี้จบม.6 และมีงานทำเป็นหลักแหล่ง พอที่จะเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียได้ เราก็ดีใจขึ้นมาบ้าง ตอนนี้ช่วยดูแลบ้านที่เป็นมรดกของพ่อให้
7. เราเอง ข้อเสียของเราคือมีแฟนตั้งแต่เด็ก ตอนช่วงม.3 ใกล้ ๆ ม.4 เราก็มีแฟนแล้วนะ ตามประสาวัยรุ่น ยิ่งไม่มีพ่อห้ามเราก็คบตามสบาย แม่กับป้าก็เป็นห่วงมาก แต่เราคิดว่าตัวเองไม่ผิดเพราะไม่ได้ทำเรื่องเสื่อมเสียอะไร การเรียนก็ไม่เสียหาย มีบางคนนินทาให้แม่กับป้าฟังว่าพากันไปเที่ยวไหนบ้าง สุดท้ายลูกหลานเขาดันตั้งท้องเสียเอง แต่เราก็ไม่เคยโกรธเขาที่เขามานินทา เราไม่ได้ใส่ใจ ม.2 พ่อเสียชีวิต ตอนนั้นเราเคว้งคว้างมาก คิดว่าชีวิตจากนี้ไปเราจะทำยังไงต่อ แต่สิ่งที่คิดอย่างแรกคือต้องเรียนให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะลำบากแค่ไหนก็ต้องสู้ เพราะไม่อย่างนั้นเราต้องกลับมาวนลูปเดิมที่ต้องลำบากเหมือนพ่อแม่ หาเช้ากินค่ำ แต่บ้านเรายังโชคดีที่มีบ้าน และที่ดินเป็นของตัวเอง พอพ่อเสีย ที่นาก็ให้ญาติพี่น้องทำให้ แล้วค่อยมาแบ่งข้าวกัน เพราะไม่ได้คิดค่าเช่าเป็นเงิน ปู่เรายังอยู่นะตอนนั้น เราน้อยใจอย่างหนึ่งที่ลูก ๆ ของปู่ไม่ค่อยมาสนใจช่วยป้า กับแม่ดูแลปู่เลย แต่เราก็คิดว่าช่างมันเถอะ ต่อไปใครทำยังไงไว้ก็ยังจะเห็นเอง พอปู่ตายก็ถือว่าพ้นเวรกรรมไปอีก 1 คน ตั้งแต่ ม.2-ม.6 เราโชคดีมากเพราะได้ทุนการศึกษาปีละเป็นหมื่น เราก็เก็บไว้ใช้ยามจำเป็น แทบไม่เคยขอเงินแม่กับป้าเลย ถ้าขอก็นับครั้งได้ นอกจากนั้นเรายังได้ทุนของโรงเรียนเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้างเป็นครั้งคราว บางทีเป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่งวิชาการได้เงินรางวัลเราก็เก็บไว้ตลอด ตอนม.3 เรามีโอกาสได้ไปเป็นเด็กแลกเปลี่ยนที่โรงเรียนราชวินิตมัธยม ในเขตดุสิต กทม. ตั้ง 1 เทอม เราดีใจนะ แต่ที่ดีใจมากกว่านั้นคือเขามีเบี้ยเลี้ยงให้ทุกวัน จำไม่ได้ว่าเท่าไหร่ แต่เป็นร้อยขึ้น เราก็เก็บไว้อีกแล้ว มีเงินอะไรมาเก็บหมด อ้อมีไปทำงานพิเศษตอนปิดเทอมม.อะไรจำไม่ได้ อันนั้นก็ได้ตังค์หมื่นกว่าอยู่ ก็เก็บไว้อีกแล้ว
พอจบม.6 เราจะไปเรียนต่อปริญญาตรี เราเสียใจมากเพราะแม่กับป้าบอกว่าเราคงไม่ได้เรียนต่อ ไม่มีเงินส่ง เราคิดจะทำยังไงต่อ สุดท้ายเราไปเจอศูนย์นมเปรี้ยวแห่งนึงในเมืองสกลนคร เขารับเรา และขายได้อยู่ 2 เดือน มือขึ้นและขายเก่งมาก ได้เงินเป็นกอบเป็นกำน่าจะเกือบ ๆ 3 หมื่น เราเอาไปลงทะเบียนเรียนกับเสียค่าหอพักสบาย ๆ ป้าเราเห็นความตั้งใจของเราก็ไม่ว่าอะไรอีก เพราะไม่ได้ให้ป้ากับแม่มีภาระเรื่องเงินมากมาย แล้วเราก็แบ่งเงินไปดาวน์รถเครื่อง เพราะเดินทางไปคณะเรียน และกลับบ้านลำบาก ตอนแรกป้าเราโกรธมาก แล้วใครจะไปส่งไหว เดือนละ 1,200 บาท เราบอกว่าเราส่งเอง ตอนหลังเราไม่ได้ส่ง พี่ชายเราส่งให้แต่สุดท้ายพี่มันส่งไม่ไหว ป้าเลยส่งต่อจนหมดงวด และป้าก็เข้าใจ ตอนเข้าปี 1 เพื่อน ๆ จะเห็นว่าปุ้มปุ้ยประหยัดมาก ก็เพราะอย่างนี้แหละจ้า เพราะเรามีแต่เงินเก็บ และกยศ. บางทีตอนเย็นก็รีบอาบน้ำเข้านอนเลยจะได้ไม่ต้องเปิดไฟ ประหยัดค่าไฟไปได้เยอะ ส่วนมากกับข้าวก็ทำกินเอง ข้าวสารก็ขนมาจากบ้าน ประหยัดจริง ๆ ตอนนั้น แต่เรื่องเรียน หรือเรื่องอื่นที่เราพอช่วยเพื่อน ๆ ได้เราก็ช่วยเต็มที่ ช่วยงานอาจารย์บ้างเป็นครั้งคราว ขยันเข้าเรียนแทบทุกคาบ การบ้านรอส่งพร้อมเพื่อน ๆ พอถึงปี 3 เงินเก็บเริ่มร่อยหลอ โชคดีที่ไปฝึกงานฟาร์ม แล้วฟาร์มให้เงินด้วย เรทเท่ากับคนงานที่เขาจ้างเลย ได้กลับมาพอสมควรเพราะกลับมาเรียนปี 4 อีกแค่ 2 เทอม เราก็จะจบแล้ว ความรู้สึกเหมือนเราจนมากนะ แต่ก็เหมือนเทวดาประจำตัวเราช่วยตลอด เงินเราไม่มีเยอะ แต่เราประหยัดใช้ พอจะขาดมือก็มีเงินเข้ามาอีก เราลืมเล่าคือมีแฟนอีกแล้วตั้งแต่ปี 1 เชื่อมั้ยนั่นล่ะคือสามีตามกฏหมายในทุกวันนี้ของเรา เราคบกัน เขาเรียนจบก่อนเพราะเรียน ปวส. ตอนนั้นทางบ้านเขากำลังลำบากพอจบแล้วเขาก็มาทำงานเลย บางทีเราไม่มีเงิน เราก็ขอยืมเขา ซึ่งส่วนมากไม่ได้คืน แต่จะสลับให้กันมากกว่า เพราะช่วงปี 3-4 เราใช้เงินมากขึ้น ตอนนั้นบางทีพี่ชายเราก็ช่วยด้วย แต่บางทีก็ได้ให้มันยืม ตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยมามันช่างทุลักทุเลมาก เราก็ไม่รู้ว่ามันผ่านมาได้ยังไง เรารู้แค่ว่าเราต้องสู้เพื่อแม่กับป้าเท่านั้น สุดท้ายเราจบปริญญาตรีวิทยาศาสตรบัณฑิตสัตวศาสตร์ เกียรตินิยมอันดับ 1 เหรียญทอง เราดีใจจนไม่รู้จะดีใจยังไง เพราะในที่สุดเราก็ทำสำเร็จ
เราเรียนจบมา ตอนแรกส่งเงินให้แม่กับป้าเดือนละ 8,000 บาท จนถึงช่วงใกล้รับปริญญาส่งให้เหลือแค่ 5,000 บาท เพราะอยากเก็บตังค์ไว้รับปริญญา เราทำงานฟาร์มได้ปีเดียว แม่เรียกกลับบ้านเพราะป้าอาการมะเร็งตับทรุดหนักมากแล้ว จึงขอเจ้านายกลับบ้านซึ่งท่านก็เข้าใจ ตอนนั้นวันที่กลับบ้านจำได้เลยเพราะคสช.เข้ามายึดอำนาจรัฐบาลพอดี กลับไปไม่รู้จะทำยังไงต่อ เงินก็ยังต้องกินต้องใช้ ประเหมาะกับโรงพยาบาลใกล้บ้านรับคนเข้าทำงานตำแหน่งพนักงานบริการเป็นผู้ช่วยทันตแพทย์ เราไปสอบผ่านทั้งข้อเขียนและสัมภาษณ์ได้ลำดับ 1 เข้าทำงานได้ เราดีใจมาก แต่เราก็ต้องเสียใจมากเพราะป้าเราเสียชีวิตในวันที่จัดงานศพให้ป้าพอดี สมบัติเงินเก็บ ทองคำเล็ก ๆ น้อย ๆ รวมถึงโฉนดที่ดินทุกอย่างป้าเขียนในพินัยกรรมยกให้เราหมด เพราะป้าบอกว่าไม่เห็นใครแล้วจริง ๆ ที่จะรักษาไว้ได้ ถ้าเราจะเอาไปให้ใครหลังจากนี้ก็แล้วแต่เรา ความจริงเราอยากกลับมาทำงานฟาร์มอีกทันที เพราะเงินเดือนผู้ช่วยทันตแพทย์มันน้อย เราไม่มีเงินเก็บเลย พอได้แต่ค่ากับข้าว แต่ก็ยังไปไม่ได้
ถึงปี 58 เราจะแต่งงานแล้วก็ตาม เพราะแม่จะต้องอยู่คนเดียว เพราะน้องชายยังติดทหารอยู่ เราก็รอจนน้องได้ออกจากทหารถึงได้กลับมาทำงานฟาร์ม นับจากที่เราออกรอบก่อน แล้วเจ้านายใจดีให้เรากลับมาทำงานได้เลยเป็นเวลา 1 ปีพอดี แต่เราก็ยังไม่สบายใจเพราะสุดท้ายน้องเราตอนกลางคืนก็ไม่ได้กลับมานอนบ้านทุกวันอยู่ดี อาทิตย์นึงกลับแค่วันหรือสองวัน มันทำงานอยู่ในเมืองแล้วเช่าห้องไว้กับเมีย แม่กับยายก็ได้อยู่กันกลางคืน 2 คน ช่วงนั้นยายมาอยู่หลังจากป้าเสียได้พักนึงแล้ว
สุดท้ายเรามีลูก 5 เดือนแรกหลังจากลาคลอดเราจึงเอาแม่กับยายมาช่วยเลี้ยงลูกที่ฟาร์ม และเอายายกลับไปส่งให้ลูกชายเพราะแกแก่มากแล้ว เดินทางไกลลำบาก พอแม่กลับมาที่ฟาร์มคนเดียวประมาณ 2 เดือน แม่ก็ป่วยมีอาการทางประสาทอีก จนตอนนี้ต้องอยู่กับน้องสาว ถามว่าเราท้อกับชีวิตมั้ยที่เดี๋ยวก็มีเรื่องทุกข์เรื่องสุขเข้ามาตลอด เราท้อนะแต่เราก็ไม่เคยถอย ไม่งั้นเราคงไม่มาถึงทุกวันนี้ได้ ทุกวันนี้เรามีรถ มีที่นาของตัวเอง มีบ้านที่กำลังรอปลูกสร้างเพราะซื้อไว้ครบหมดแล้ว แต่เราไม่มีทุนเองเพียงพอ ก็ต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาจ่ายก่อน ถ้าจ่ายหมดแล้วอีกไม่นานเราคงได้กลับไปสู้ชีวิตต่อที่บ้านอีก ได้รับแม่มาอยู่ด้วยดูแลเต็มที่เสียที อยู่กันพร้อมหน้าพ่อแม่ลูก ถึงแม้จะไม่ตลอดไปก็ตาม เราต้องเตรียมใจรับทุกสถานการณ์ตลอดเวลา ตราบใดที่ยังไม่ตายมันต้องมีปัญหาแบบนี้เข้ามาอีกเรื่อย ๆ ขอแค่เราเข้าใจสัจธรรมของชีวิตเราก็จะผ่านมันไปได้ เพราะความสุขไม่ได้อยู่กับเราไปตลอดฉันใด ความทุกข์ก็ไม่ได้อยู่กับเราไปตลอดฉันนั้น บุญกุศลความดีต่างหากที่จะอยู่กับเราตลอดไปทุกภพทุกชาติ
โพสต์นี้ยาวหน่อยนะคะ ขอบคุณที่อ่านถึงตรงนี้ค่ะ