ชัดๆคำพิพากษาศาลฉบับเต็ม!ชำแหละพฤติการณ์‘ภูมิ-บุญทรง’คดีจีทูจีเก๊

ชำแหละให้เห็นชัด ๆ พฤติการณ์ ‘ภูมิ-บุญทรง’ คำพิพากษาฉบับเต็มศาลฎีกาฯ คดีทุจริตระบายข้าวจีทูจีเก๊ มัดรู้เห็นขบวนการเวียนขายในประเทศตั้งแต่ต้น ทั้งที่ข้อพิรุธเพียบ สัญญาการซื้อขายไม่มีที่มาที่ไป แต่ยังลงนามเห็นชอบ ตั้ง กก.สอบแค่ลดกระแสสังคมเท่านั้นณ ขณะนี้หลายคนคงทราบไปแล้วว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาจำคุกหนักบรรดาอดีตนักการเมือง อดีตข้าราชการระดับสูงในกระทรวงพาณิชย์ และกลุ่มเอกชนเครือข่ายบริษัท สยามอินดิก้า จำกัดและนายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือเสี่ยเปี๋ยง พร้อมกับให้ชดใช้ค่าเสียหายรวม 1.69 หมื่นล้านบาท (อ่านประกอบ : รูดม่านคดีจีทูจีเก๊ชาติเจ๊งหมื่นล.!คำพิพากษาชำแหละ‘ภูมิ-บุญทรง-บิ๊ก ขรก.-ก๊วนเปี๋ยง’, INFO:จำแนกครบ17จำเลย-โทษเรียงคนคดีทุจริตข้าวจีทูจีเจ๊งหมื่นล.ยกฟ้อง 8-ออกหมายจับ3)

สำหรับนายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ (จำเลยที่ 1) และนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ (จำเลยที่ 2) คือสองนักการเมืองชื่อดังที่ถูกกล่าวหาว่าเข้าไปพัวพันกับขบวนการทุจริตครั้งนี้ โดยคำพิพากษาศาลฎีกาฯ จำคุกนายภูมิ 36 ปี และนายบุญทรง 42 ปี ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และเป็นเจ้าหน้าที่จัดการทรัพย์ ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยทุจริต

ข้อเท็จจริงตามการไต่สวนเป็นอย่างไร ?

สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org สรุปคำพิพากษาคดีดังกล่าวฉบับเต็ม เฉพาะกรณีของนายภูมิ และนายบุญทรง ดังนี้

@ที่มาของสัญญาทั้ง 4 ฉบับ ไม่ชัดเจน

การทำสัญญาฉบับที่ 1-2 ของบริษัท กวางตุ้งฯ มีหนังสือลงวันที่ 28 ก.ย. 2554 ถึงอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ (นายมนัส สร้อยพลอย ขณะนั้น) ขอซื้อข้าวจากรัฐบาลไทย หลังจากนั้นเพียง 2 วัน บริษัท กวางตุ้งฯ มีหนังสือลงวันที่ 30 ก.ย. 2554 ถึงอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ขอนัดหมายเจรจาในวันที่ 5 ต.ค. 2554 โดยมอบหมายนายรัฐนิธ โสจิระกุล (ปาล์ม จำเลยที่ 8) เป็นผู้ประสานงาน แต่ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่ามีข้าราชการคนใดเป็นผู้ประสานงาน ไม่ปรากฏหลักฐานในการติดต่อเพื่อกำหนดวันนัดหมายเจรจา และที่มาของหนังสือดังกล่าวขัดแย้งกับคำชี้แจงของปลัดกระทรวงพาณิชย์ที่ระบุว่า หนังสือของบริษัท กวางตุ้งฯ ส่งผ่านมาทางไปรษณีย์ ทั้งที่การซื้อขายข้าวจีทูจีเป็นเรื่องระหว่างประเทศจำเป็นต้องมีที่มาที่ไป อาจเริ่มต้นพูดคุยในระดับรัฐมนตรีในเวทีระหว่างประเทศ แต่หนังสือดังกล่าวไม่มีที่มาที่ไปถือว่าเป็นเรื่องผิดปกติ ผิดไปจากแนวปฏิบัติที่ผ่านมา

สัญญาฉบับที่ 3 บริษัท กวางตุ้งฯ มีหนังสือลงวันที่ 13 มิ.ย. 2555 ถึงอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ขอทำสัญญาซื้อขายข้าว แต่ไม่ปรากฏว่าหนังสือถูกส่งมาโดยวิธีใด ข้าราชการผู้ใดเป็นผู้รับหนังสือ ไม่ปรากฏว่ามีการนำหนังสือไปลงเลขรับตามระเบียบงานสารบรรณทั้งที่เป็นหนังสือสำคัญ

สัญญาฉบับที่ 4 บริษัท ไห่หนานฯ มีหนังสือลงวันที่ 6 ส.ค. 2555 ถึง รมว.พาณิชย์ ขอซื้อข้าว แต่ปลัดกระทรวงพาณิชย์ชี้แจงว่า พ.ต.นพ.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ (จำเลยที่ 3 ปัจจุบันหลบหนี) เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเลขานุการ รมว.พาณิชย์ เป็นผู้ส่งหนังสือของบริษัท ไห่หนานฯ มาให้อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศพิจารณา

ดังนั้นการทำสัญญาทั้ง 4 ฉบับ นอกจากไม่มีการทาบทามเหมือนเช่นประเพณีที่เคยปฏิบัติแล้ว บริษัท กวางตุ้งฯ และบริษัท ไห่หนานฯ ก็ไม่ได้รับมอบหมายจากประเทศจีนด้วย

@ข้อตกลงการทำสัญญามีพิรุธเพียบ

ข้อตกลงตามสัญญาทั้ง 4 ฉบับดังกล่าว มีข้อพิรุธหลายประการ เช่น ตกลงขายเป็นเงินบาท ไม่ใช่สกุลเงินที่นิยมใช้ซื้อขายระหว่างประเทศ การส่งมอบสินค้าเป็นแบบหน้าคลังสินค้า (Ex-warehouse) แทนที่จะเป็นแบบการส่งมอบที่ท่าเรือของผู้ซื้อ (FOB) หรือส่งมอบที่เมืองท่าของผู้ขาย (CIF) และการส่งมอบแบบ Ex-warehouse เป็นการเปิดช่องทางให้นำข้าวมาเวียนขายภายในประเทศได้ เพราะการขายวิธีนี้ให้ผู้ประกอบการภายในประเทศเพื่อส่งออก ขณะเดียวกันการขายข้าวให้บริษัท กวางตุ้งฯ ไม่มีกำหนดส่งหลักฐานใด ๆ ที่แสดงว่ามีการส่งออก

ส่วนที่ฝ่ายจำเลยอ้างว่า กรมการค้าต่างประเทศเคยข้าวแบบจีทูจีให้เกาหลีเหนือ เมื่อปี 2544 กำหนดส่งมอบแบบ Ex-warehouse นั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่า เกาหลีเหนือมีเงินจ่ายเฉพาะค่าขนส่ง ส่วนค่าข้าวขอจ่ายเป็นเงินเชื่อภายใน 720 วัน รัฐบาลไทยขณะนั้นไม่ประสงค์ให้วงเงินสินเชื่อจำนวนมาก จึงตกลงขายแบบ Ex-warehouse แต่รัฐบาลไทยส่งมอบข้าวที่ท่าเรือหรือ FOB โดยรัฐบาลเกาหลีเหนือต้องชำระค่าใช้จ่ายปรับปรุงข้าวและค่าขนส่งจากหน้าคลังสินค้าไปที่ท่าเรือ จึงยังไม่อาจฟังยุติว่า สัญญาขายข้าวให้เกาหลีเหนือมีการส่งมอบแบบ Ex-warehouse หรือ FOB นอกจากนี้การชำระเงินของเกาหลีเหนือใช้วิธีเปิด L/C แตกต่างกับคดีนี้ที่ชำระเงินด้วยแคชเชียร์เช็ค

ขณะเดียวกันรัฐบาลขณะนั้นมีข้าวในสต็อก 2.189 ล้านตัน แต่ตกลงขายข้าวปริมาณ 2.195 ล้านตัน มากกว่าที่มีอยู่ในสต็อกจึงไม่น่าจะเกิดขึ้นสำหรับการขายแบบจีทูจีที่คู่สัญญาต้องมีความระมัดระวังพิเศษในการปฏิบัติตามสัญญา หากมีข้าวไม่เพียงพอส่งมอบอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ข้ออ้างของนายมนัส ว่าตามข้อตกลงสามารถเพิ่มหรือลดลงร้อยละ 10 จึงเป็นเหตุให้ตกลงขายข้าวเก่ามากกว่าที่มีอยู่ในสต็อกนั้นไม่มีน้ำหนักรับฟังได้

นอกจากนี้ตามสัญญาซื้อขายข้าวจีทูจีดังกล่าวไม่มีข้อตกลงชดใช้ค่าเสียหายกรณีผิดสัญญา และการระงับข้อพิพาทระหว่างคู่สัญญา แตกต่างจากสัญญาที่กรมการค้าต่างประเทศใช้ในกรณีทั่วไป ท้ายสุดราคาขายข้าวทั้ง 4 สัญญาต่ำกว่าราคาท้องตลาดโดยเฉลี่ยมากกว่าร้อยละ 20 เป็นราคาที่ต่ำผิดปกติ ทั้งนี้ประเทศจีนมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่กว่าไทย จึงไม่มีเหตุต้องขายข้าวในราคามิตรภาพ ดังจะเห็นได้จากการขายข้าวให้จีนผ่าน COFCO เมื่อวันที่ 5 พ.ย. 2556 สมัยนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาลเป็น รมว.พาณิชย์ ก็ตกลงขายในราคาตลาด

@พฤติการณ์ ภูมิ สาระผล

ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า นายภูมิ ทำหน้าที่เป็นประธานที่ประชุมอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว ครั้งที่ 1/2554 มีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์การระบายข้าวกรณีขายข้าวแบบจีทูจีให้รัฐวิสาหกิจ และในเรื่องหลักเกณฑ์ให้สามารถเจรจาขายเป็นราคา Ex-warehouse ซึ่งไม่เคยปรากฏในยุทธศาสตร์การระบายข้าวฉบับใดมาก่อน ที่ประชุมยังมีมติเสนอยุทธศาสตร์การระบายข้าวให้ประธานกรรมการ กขช. (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) เห็นชอบ แทนที่จะเสนอให้ที่ประชุม กขช. เห็นชอบเพื่อให้เกิดมุมมองหลากหลาย รอบคอบ รัดกุม รวมถึงไม่เสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญ

หลังจากประธาน กขช. (น.ส.ยิ่งลักษณ์) เห็นชอบเพียง 5 วัน บริษัท กวางตุ้งฯ มีหนังสือถึงอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศขอซื้อข้าว สอดรับกับยุทธศาสตร์การระบายข้าวดังกล่าวอย่างเหมาะเจาะพอดี ยิ่งกว่านั้นบริษัท กวางตุ้งฯ ขอซื้อข้าวในสต็อกปริมาณทั้งหมดมากกว่า 2 ล้านตันอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน พร้อมกับขอซื้อข้าวในท้องนาที่ยังไม่ถึงกำหนดเก็บเกี่ยวปริมาณ 2 ล้านตันด้วย ซึ่งตรงกับระยะเวลาการเริ่มต้นดำเนินโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลอย่างพอดิบพอดี ส่อแสดงให้เห็นว่ามีการเตรียมการจัดทำยุทธศาสตร์การระบายข้าวเพื่อรองรับรับรัฐวิสาหกิจของต่างประเทศให้มาซื้อข้าวรัฐบาลไทยได้โดยไม่ต้องได้รับมอบหมายจากรัฐบาลของตน

หลังจากนั้นเพียง 2 วัน บริษัท กวางตุ้งฯ มีหนังสือฉบับที่ 2 ถึงอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ขอนัดหมายเจรจาในวันที่ 5 ต.ค. 2554 โดยปกติแล้วกระบวนการและขั้นตอนทางปฏิบัติเกี่ยวกับการซื้อขายแบบจีทูจี ต้องเสนอขอความเห็นชอบกรอบการเจรจาในเรื่องปริมาณ ราคา เงื่อนไขอื่น ๆ ต่อนายภูมิก่อนเจรจา แต่ไม่มีการขออนุมัติกรอบการเจรจา ทั้งการเจรจาได้ข้อสรุปและขอความเห็นชอบผลภายในวันเดียว และนายภูมิ ได้ให้ความเห็นชอบเงื่อนไขดังกล่าว และมีการลงนามสัญญาในวันรุ่งขึ้น รวมใช้ระยะเวลาทั้งหมดเพียง 9 วัน ทั้งที่สัญญามีมูลค่าสูงหลายหมื่นล้านบาท และผลการเจรจาปรากฏข้อพิรุธหลายประการดังวินิจฉัยข้างต้นแล้ว

โดยเฉพาะประเด็นเรื่องราคาขายตามบันทึกขอความเห็นชอบผลการเจรจา ระบุว่า คำนวณราคาเฉลี่ยสำหรับข้าวทุกชนิดได้ตันละ 13,941 บาท หากขายตันละ 10,000 บาท ตามข้อเสนอของบริษัท กวางตุ้งฯ จะทำให้ภาครัฐสูญเสียทันที 6,350 ล้านบาท

ในบันทึกยังระบุอีกว่า หากข้อมูลการเจรจาแพร่กระจายออกสู่สาธารณชนอาจถูกวิพากษ์วิจารณ์จากผู้ประกอบการในประเทศว่า ขายราคาต่ำเกินไป ไม่เหมาะสมกับตลาด นอกจากนี้ยังมีข้อพิรุธว่า ให้บริษัท กวางตุ้งฯ สามารถนำข้าวที่ซื้อส่งไปยังประเทศที่สามในลักษณะเป็นการพาณิชย์ได้ ซึ่งไม่เคยปรากฏเงื่อนไขนี้มาก่อน และส่งผลเสียต่อไทย แต่นายภูมิก็ให้ความเห็นชอบ โดยอ้างว่า ไม่ทราบ เพราะนายมนัส ไม่แจ้ง ยิ่งแสดงให้เห็นข้อพิรุธถึงความไม่สมเหตุสมผล นายภูมิ ย่อมทราบถึงความเสียหายจากการขายข้าวในราคาต่ำมากโดยไม่มีเหตุผลสมควร แต่ไม่กระทำการใด ๆ อันเป็นการรักษาประโยชน์ของประเทศชาติตามอำนาจหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย กลับให้การเห็นชอบผลการเจรจาในวันนั้นเอง

หลังจากทำสัญญาเพียง 7 วัน นายภูมิ ยังให้ความเห็นชอบให้แก้ไขสัญญาฉบับที่ 1 และฉบับที่ 2 โดยเพิ่มวิธีการชำระค่าข้าวด้วยวิธีการโอนเงินผ่านธนาคาร และชำระด้วยแคชเชียร์เช็ค ซึ่งไม่ใช่วิธีที่ใช้สำหรับการขายข้าวแบบจีทูจี เป็นผลให้มการนำข้าวตามสัญญามาเวียนขายกันภายในประเทศ หลังจากนั้นมีการแก้ไขสัญญาอีกหลายครั้งถี่มากผิดปกติ และทุกครั้งไม่ปรากฏว่าได้เจรจากับบริษัท กวางตุ้งฯ และแต่ละครั้งล้วนเป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้ซื้อทั้งสิ้น ขณะเดียวกันยังไม่รายงานผลการขายข้าวดังกล่าวแก่ที่ประชุม กขช. เพื่อเป็นหน้าตาของประเทศที่มีการขายข้าวไปได้ นับว่าเป็นเรื่องผิดปกติอย่างยิ่ง

พฤติการณ์ดังวินิจฉัยข้างต้นแสดงให้เห็นว่า นายภูมิ ทราบดีอยู่แล้วว่า บริษัท กวางตุ้งฯ เป็นรัฐวิสาหกิจของมณฑลจีน แต่ร่วมกันวางแผนให้บริษัท กวางตุ้งฯ เสนอขอซื้อข้าวกับกรมการค้าต่างประเทศ โดยแอบอ้างว่า ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลจีนมาทำสัญญาในราคาต่ำกว่าท้องตลาด แล้วนำไปขายต่อเพื่อรับประโยชน์ส่วนต่าง จึงเป็นการจัดทรัพย์โดยมิชอบ อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ และปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ประกอบมาตรา 83 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 และผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 (พ.ร.บ.ฮั้ว) มาตรา 4 วรรคหนึ่ง 10 และ 12 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83

มีความผิด 2 กระทรง ลงโทษตามกฎหมายที่หนักสุดคือ มาตา 12 พ.ร.บ.ฮั้ว ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ลงโทษจำคุกกระทงละ 18 ปี รวม 36 ปี

@พฤติการณ์ บุญทรง เตริยาภิรมย์

แยกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือการแก้ไขสัญญาฉบับที่ 1 และ 2

ภายหลังนายบุญทรงได้รับการโปรดเกล้าดำรงตำแหน่ง รมว.พาณิชย์ ต่อมาได้รับการแต่งตั้งเป็นรองประธาน กขช. และประธานอนุกรรมการ 4 คณะ รวมถึงประธานอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าวสืบต่อจากนายภูมิ โดยนายบุญทรง ให้ความเห็นชอบในการแก้ไขสัญญาซื้อขายข้าวจีทูจีกับบริษัท กวางตุ้งฯ ฉบับที่ 1 และฉบับที่ 2

เห็นว่า นายบุญทรง ย่อมทราบได้จากบันทึกการขอความเห็นชอบในการแก้ไขสัญญาว่า ข้อตกลงตามสัญญาเดิมมีข้อพิรุธหลายประการดังวินิจฉัยข้างต้นแล้ว ดังนั้นการให้ความเห็นชอบแก้ไขสัญญาจึงเป็นการมิชอบ ส่งผลให้กรมการค้าต่างประเทศเกิดผลผูกพันตามการให้ความเห็นชอบดังกล่าว ได้รับความเสียหายต้องขายข้าวในราคาต่ำกว่าท้องตลาด และเสียค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บข้าวเพิ่มขึ้น

ข้อต่อสู้ของนายบุญทรงว่า การให้ความเห็นชอบแก้ไขสัญญา 2 ฉบับดังกล่าว เป็นไปตามข้อตกลงเดิมในสัญญาก่อนที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าวฟังไม่ขึ้น ดังนั้นเมื่อนายบุญทรง เป็นเจ้าพนักงานและเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีอำนาจหน้าที่ในการระบายข้าวอันเป็นการจัดการทรัพย์ การให้ความเห็นชอบแก้ไขสัญญาฉบับที่ 1 และฉบับที่ 2 โดยมิชอบ เป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ประกอบมาตรา 83 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่