สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
คำถามกว้างๆแบบนี้โผล่มาเป็นประจำเลยนะครับ และสิ่งที่มักจะนำมาเปรียบเทียบกันบ่อยๆก็ อย่างเช่น
เมืองหลวง กทม.กับ KL ข้อมูลคร่าวๆคือ กัวลาลัมเปอร์มีพื้นที่ประมาณ 270 ตร.กม. ประชากรราวๆสองสามล้านคน กทม.มีราวๆ 1400 ตารางกิโลเมตร กทม.มีพื้นที่กว้างกว่าประมาณหกเท่า ประชากรราวๆ 7ล้านคนตามทะเบียนบ้านแต่อยู่จริงๆคงเกินสิบล้าน และอีกสิบปีประมาณการณ์กันว่ากทม.และปริมณฑลจะกลายเป็นเมืองระดับเกิน 20ล้านคน (สิงคโปร์มีพท.ทั้งประเทศราวๆ 750 ตร.กม. ประมาณครึ่งหนึ่งของกทม.) ถ้าวัดการคมนาคมในเมืองหลวง KLคงได้เปรียบเพราะมีรถไฟฟ้าไม่กี่สายก็ครอบคลุมแล้ว(เห็นข่าวว่าเมื่อเดือนที่แล้วพึ่งเปิดรถไฟฟ้าใต้ดินสายแรกไป+รถไฟลอยฟ้าขนาดเล็ก(สองโบกี้)) ส่วนกทม.คงต้องรอปี2566ให้รถไฟฟ้าครบสิบสายก่อนแหละถึงจะครอบคลุมพื้นที่ จะเปรียบเทียบยังไงดีล่ะให้ยุติธรรม
รายได้ต่อหัว มาเลเซียเมื่อสามปีก่อนมีรายได้ต่อหัวราวๆ 11000 ดอลลาต่อคนต่อปี(ประชากร30ล้านคน) ไทยเราราวๆ 6000(ประชากร67ล้านคน) แต่ในปีสงปีที่ผ่านมาค่าเงินริงกิตลดลงมาก จาก11-12บาทเหรือแค่ 7-8บาทต่อริงกิต รายได้ต่อหหัวจึงลดเหลือเพียงราวๆเก้าพันกว่าดอลล่าต่อคนต่อปี เนื่องจากค่าเงินลดลงเกินกว่ายี่สิบเปอร์เซ็นต์
ปัญหาใหญ่เกิดจาก มาเลเซียมีรายได้จากส่งออกน้ำมันประมาณ 35%ของจีดีพี ถ้ารวมที่ใช้ในประเทศด้วยก็น่าจะเกินครึ่งของจีดีพี(คนไทยเลยชอบโวยว่าทำไมน้ำมันมาเลเซียถูกกว่า) เมื่อก่อนน้ำมันเกินร้อยเหรียญต่อบาเรล มาเลเซียอู้ฟู่มากๆ ลงทุนและกู้เงินมาเยอะ(ส่วนใหญ่เอามาอุดหนุนนโยบายภูมิบุตร) แต่พอน้ำมนลดเหลือไม่ถึงห้าสิบเหรียญ ซำ้ร้ายเกิดเรื่องอื้อฉาวกับนายกฯคนปัจจุบัน เงินเลยไหลออกหนักมาก ตอนนี้มาเลเซียเหลือทุนสำรองเพียงสี่หมื่นล้านเหรียญซึ่งน้อยกว่าหนี้เงินกู้ระยะสั้นด้วยซ้ำ ส่วนหนี้ระยะยาวก็เกินแสนล้าน
ส่วนไทย ต้องซื้อน้ำมันและแกสธรรมชาติมาใช้ราวๆ70%ผลิดได้เองแค่30% เป็นเงินราวๆ2ล้านล้านบาท ตอนนี้ไทยมีเงินทุนสำรองราว 1920000 ล้านเหรียญ มากเป็นอันดับ12ของโลก หนี้ระยะสั้นมีแค่15%ของทุนสำรอง หนี้ระยะยาวก็ไม่ถึงครึ่งของทุนสำเรอง เนื่องจากสิบปีที่ผ่านมาปัญหาการเมืองทำให้ไทยแทบไม่ได้เอาเงินเกินดุลมาลงทุนเลย ปีที่แล้วไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัดราว10%ของจีดีพี สูงเป็นอันดับสี่ของโลกรองจากเยอรมัน เกาหลีใต้ สวิสฯ(ไทยเกินดุลปีละราวๆ5หมื่นล้านเหรียญ) ส่วนครึ่งปีนี้ไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัดราวๆ 12 % ค่าเงินบาทเลยแข็งค่ามากเกินไปจนน่าวิตก คงต้องรีบลงทุนเพ่ิมให้หนัก
อนาคต ไทยมีโครงการ นโยบายไทยแลนด์ 4.0และEEC รถไฟความเร็วสูงสี่เส้นทาง ใช้เงินลงทุนด้วยงบประมาณและPPPร่วมกับเอกชนเป็นส่วนใหญ่ ใช้เงินกู้น้อยมากเพื่อไม่ให้หนี้สาธารณะสูงเกิน 60% (ตอนนี้ 41.8%)
ส่วนมาเลเซีย เมื่อ5สค.60พึ่งประกาศโครงการเส้นทางรถไฟพันกว่ากิโลเมตรเชื่อมตะวันตกและตะวันออกของประเทศ และสร้างท่าเรือน้ำลึกเพื่อตัดตอนสิงคโปร์ วันที่ประกาศก็เป็นวันชาติสิงคโปร์ด้วยมั๊ง แต่ที่น่าสนใจคือ โครงการนี้ใช้เงินลงทุนราว สี่แสนล้านบาท ซึ่งจะเป็นการกู้จากจีนทั้งหมดในอัตราดอกเบี้ย3.5% และใช้บริษัทจีนก่อสร้างให้ทั้งโครงการ(อาจมีบ.มาเลเซียได้ซับฯไปบ้าง) จำได้ไหมว่าโครงการรถไฟความเร็วสุงไทย-จีนที่ไทยตัดสินใจลงทุนเองทั้งโครงการนั้น จีนเสนอเงินกู้อัตราดอกเบี้ย 2เปอร์เซ็นให้ แต่ไทยไม่เอาเพราะมันแพงไป ไทยหาได้ถูกกว่า แต่ของมาเลเซียนี่3.5%(สูงมากสำหรับเงินกู้ก้อนใหญ่ระหว่างประเทศ) แสดงว่านายกฯนาจิ๊บเหลืออำนาจต่อรองกับจีนน้อยมากๆจริงๆ
ถ้าโครงการของมาเลเซียด้วยเงินจีนนี้สำเร็จก็าจทำให้สิงคโปร์หงอยไปเลย แต่ถ้าได้ครึ่งๆกลางๆ มาเลเซียคงแบกหนี้อานเลย
แต่สำหรับผมที่น่าสนใจคือ เคยอ่านเจอเรื่องวงการวิชาการของสิงคโปรค์วงหนึ่งสรุปไว้ว่า สิงคโปร์ไม่เคยกลัวนโยบายการศึกษาของมาเลเซียเลย แต่กลัวไทยมากกว่า เพราะไทยพลาดที่ให้มหาวิทยาลัยในไทยเติบโตด้วยตัวเองจึงช้า แต่ถ้าไทยเปิดกว้างเมื่อไหร่สิงคโปร์จะแย่เลย
และตอนนี้ไทยก็มีนโยบายให้มหาวิทยาลัยต่างชาติมาเปิดวิทยาเขตในEECได้แล้ว(เน้นด้านวิทยาศาสตร์)
โดยปัจจุบันนี้ สถาบันเทคโนฯพระจอมเกล้าก็ร่วมกับม.คาเนกี เมลอน(หนึ่งในสามสถาบันด้านITที่ดีที่สุดในดโลก) กำหนดหลักสูตรป.โทและเอก โดยให้เรียนปีหนึ่งที่ไทยแล้วไปต่อจบที่สหรัฐ เพื่อปูทางให้ในอนาคตเชิญม.คาเนกี เมลอนอาจมาตั้งวิทยาเขตในไทย(ตอนนี้ต้องหาเงินสามพันล้านสำหรับวิทยาเขตใหม่) ถ้านโยบายนี้ได้ผล(มหาวิทยาลัยไทยจับมือกับม.ต่างชาติแบบแนบแน่น) ก็น่าจะพลิกโฉมหน้าอุดมศึกษาไทยครั้งใหญ่เลยทีเดียว
ส่วนนโยบายการศึกษาของมาเลเซียนี่ไม่ทราบเลย แต่เขาก็เป็นศูนย์กลางการศึกษาของคนมุสลิมนะ และใช้ภาษาอังกฤษในการสอนและวิจัย ทำให้อันดับมหาวิทยาลัยในระดับโลกดีกว่า เพราะเขาจัดอันดับกันด้วยผลงานวิจัยที่ตีพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษ(เพราะเหตุนี้ มหาวิทยาลัยในอังกฤษและอเมริกาจึงเหมายี่สิบอันดับมหาวิทยาลัยดีที่สุดในโลกทุกปี เยอรมันยังไม่ติดท็อปเทนเลย..เป็นไปได้ไง?)
ในปี2561นี้ คาดว่าไทยจะไทยจะใช้งบวิจัย(รัฐและเอกชน)รวมกันไปถึง 1%ของจีดีพีเป็นปีแรก ตามสมมุติฐานนั้นชาติที่มีงบวิจัยเกิน 1.5%จะเริ่มกลายเป็นชาติที่ผลิตนวัตรกรรมใหม่(สิงคโปร์ถ้าจำไม่ผิดก็ยังอยู่แค่หนึ่งจุดกว่าๆ เนื่องจากเขามีบริษัทข้ามชาติที่ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคน้อย รายได้มาจากท่าเรือและโรงกลั่น งบวิจัยจึงมาจากรัฐบาล ส่วนมาเลเซียก็ราวๆ0.5%เพราะบริษัทใหญ่อย่างปิโตรนาสก็ไม่ได้วิจัยมากมายนัก) ญี่ปุ่นและยุโรปราวๆ2-3%ของจีดีพี่ เกาหลีใต้และอิสราเอลเกือบ4% สูงเป็นอันดับสองและหนึ่งของโลก ถ้าเป็นไปตามแผนของรัฐบาล ไทยเราน่าจะเริ่มเป็นประเทศสร้างนวัตกรรมใหม่(แบบมีนัยสำคัญ)ราวๆปี 2565เป็นต้นไป
คิดว่าไทยกับมาเลเซียก็มีข้อดีข้อเสียมีปัญหาแตกต่างกันไป บางอย่างเราดีกว่าบางอย่างเขาดีกว่า แต่จะให้เอามาเปรียบเทียบจริงๆคงยาก เรามาเชียให้ทั้งสองชาติพัฒนาไปด้วยกันไม่ขัดแข้งขัดขากันเองจะดีกว่า คู่แข่งของเราน่าจะมองไปนอกภูมิภาคอาเซียนนะครับ
เมืองหลวง กทม.กับ KL ข้อมูลคร่าวๆคือ กัวลาลัมเปอร์มีพื้นที่ประมาณ 270 ตร.กม. ประชากรราวๆสองสามล้านคน กทม.มีราวๆ 1400 ตารางกิโลเมตร กทม.มีพื้นที่กว้างกว่าประมาณหกเท่า ประชากรราวๆ 7ล้านคนตามทะเบียนบ้านแต่อยู่จริงๆคงเกินสิบล้าน และอีกสิบปีประมาณการณ์กันว่ากทม.และปริมณฑลจะกลายเป็นเมืองระดับเกิน 20ล้านคน (สิงคโปร์มีพท.ทั้งประเทศราวๆ 750 ตร.กม. ประมาณครึ่งหนึ่งของกทม.) ถ้าวัดการคมนาคมในเมืองหลวง KLคงได้เปรียบเพราะมีรถไฟฟ้าไม่กี่สายก็ครอบคลุมแล้ว(เห็นข่าวว่าเมื่อเดือนที่แล้วพึ่งเปิดรถไฟฟ้าใต้ดินสายแรกไป+รถไฟลอยฟ้าขนาดเล็ก(สองโบกี้)) ส่วนกทม.คงต้องรอปี2566ให้รถไฟฟ้าครบสิบสายก่อนแหละถึงจะครอบคลุมพื้นที่ จะเปรียบเทียบยังไงดีล่ะให้ยุติธรรม
รายได้ต่อหัว มาเลเซียเมื่อสามปีก่อนมีรายได้ต่อหัวราวๆ 11000 ดอลลาต่อคนต่อปี(ประชากร30ล้านคน) ไทยเราราวๆ 6000(ประชากร67ล้านคน) แต่ในปีสงปีที่ผ่านมาค่าเงินริงกิตลดลงมาก จาก11-12บาทเหรือแค่ 7-8บาทต่อริงกิต รายได้ต่อหหัวจึงลดเหลือเพียงราวๆเก้าพันกว่าดอลล่าต่อคนต่อปี เนื่องจากค่าเงินลดลงเกินกว่ายี่สิบเปอร์เซ็นต์
ปัญหาใหญ่เกิดจาก มาเลเซียมีรายได้จากส่งออกน้ำมันประมาณ 35%ของจีดีพี ถ้ารวมที่ใช้ในประเทศด้วยก็น่าจะเกินครึ่งของจีดีพี(คนไทยเลยชอบโวยว่าทำไมน้ำมันมาเลเซียถูกกว่า) เมื่อก่อนน้ำมันเกินร้อยเหรียญต่อบาเรล มาเลเซียอู้ฟู่มากๆ ลงทุนและกู้เงินมาเยอะ(ส่วนใหญ่เอามาอุดหนุนนโยบายภูมิบุตร) แต่พอน้ำมนลดเหลือไม่ถึงห้าสิบเหรียญ ซำ้ร้ายเกิดเรื่องอื้อฉาวกับนายกฯคนปัจจุบัน เงินเลยไหลออกหนักมาก ตอนนี้มาเลเซียเหลือทุนสำรองเพียงสี่หมื่นล้านเหรียญซึ่งน้อยกว่าหนี้เงินกู้ระยะสั้นด้วยซ้ำ ส่วนหนี้ระยะยาวก็เกินแสนล้าน
ส่วนไทย ต้องซื้อน้ำมันและแกสธรรมชาติมาใช้ราวๆ70%ผลิดได้เองแค่30% เป็นเงินราวๆ2ล้านล้านบาท ตอนนี้ไทยมีเงินทุนสำรองราว 1920000 ล้านเหรียญ มากเป็นอันดับ12ของโลก หนี้ระยะสั้นมีแค่15%ของทุนสำรอง หนี้ระยะยาวก็ไม่ถึงครึ่งของทุนสำเรอง เนื่องจากสิบปีที่ผ่านมาปัญหาการเมืองทำให้ไทยแทบไม่ได้เอาเงินเกินดุลมาลงทุนเลย ปีที่แล้วไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัดราว10%ของจีดีพี สูงเป็นอันดับสี่ของโลกรองจากเยอรมัน เกาหลีใต้ สวิสฯ(ไทยเกินดุลปีละราวๆ5หมื่นล้านเหรียญ) ส่วนครึ่งปีนี้ไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัดราวๆ 12 % ค่าเงินบาทเลยแข็งค่ามากเกินไปจนน่าวิตก คงต้องรีบลงทุนเพ่ิมให้หนัก
อนาคต ไทยมีโครงการ นโยบายไทยแลนด์ 4.0และEEC รถไฟความเร็วสูงสี่เส้นทาง ใช้เงินลงทุนด้วยงบประมาณและPPPร่วมกับเอกชนเป็นส่วนใหญ่ ใช้เงินกู้น้อยมากเพื่อไม่ให้หนี้สาธารณะสูงเกิน 60% (ตอนนี้ 41.8%)
ส่วนมาเลเซีย เมื่อ5สค.60พึ่งประกาศโครงการเส้นทางรถไฟพันกว่ากิโลเมตรเชื่อมตะวันตกและตะวันออกของประเทศ และสร้างท่าเรือน้ำลึกเพื่อตัดตอนสิงคโปร์ วันที่ประกาศก็เป็นวันชาติสิงคโปร์ด้วยมั๊ง แต่ที่น่าสนใจคือ โครงการนี้ใช้เงินลงทุนราว สี่แสนล้านบาท ซึ่งจะเป็นการกู้จากจีนทั้งหมดในอัตราดอกเบี้ย3.5% และใช้บริษัทจีนก่อสร้างให้ทั้งโครงการ(อาจมีบ.มาเลเซียได้ซับฯไปบ้าง) จำได้ไหมว่าโครงการรถไฟความเร็วสุงไทย-จีนที่ไทยตัดสินใจลงทุนเองทั้งโครงการนั้น จีนเสนอเงินกู้อัตราดอกเบี้ย 2เปอร์เซ็นให้ แต่ไทยไม่เอาเพราะมันแพงไป ไทยหาได้ถูกกว่า แต่ของมาเลเซียนี่3.5%(สูงมากสำหรับเงินกู้ก้อนใหญ่ระหว่างประเทศ) แสดงว่านายกฯนาจิ๊บเหลืออำนาจต่อรองกับจีนน้อยมากๆจริงๆ
ถ้าโครงการของมาเลเซียด้วยเงินจีนนี้สำเร็จก็าจทำให้สิงคโปร์หงอยไปเลย แต่ถ้าได้ครึ่งๆกลางๆ มาเลเซียคงแบกหนี้อานเลย
แต่สำหรับผมที่น่าสนใจคือ เคยอ่านเจอเรื่องวงการวิชาการของสิงคโปรค์วงหนึ่งสรุปไว้ว่า สิงคโปร์ไม่เคยกลัวนโยบายการศึกษาของมาเลเซียเลย แต่กลัวไทยมากกว่า เพราะไทยพลาดที่ให้มหาวิทยาลัยในไทยเติบโตด้วยตัวเองจึงช้า แต่ถ้าไทยเปิดกว้างเมื่อไหร่สิงคโปร์จะแย่เลย
และตอนนี้ไทยก็มีนโยบายให้มหาวิทยาลัยต่างชาติมาเปิดวิทยาเขตในEECได้แล้ว(เน้นด้านวิทยาศาสตร์)
โดยปัจจุบันนี้ สถาบันเทคโนฯพระจอมเกล้าก็ร่วมกับม.คาเนกี เมลอน(หนึ่งในสามสถาบันด้านITที่ดีที่สุดในดโลก) กำหนดหลักสูตรป.โทและเอก โดยให้เรียนปีหนึ่งที่ไทยแล้วไปต่อจบที่สหรัฐ เพื่อปูทางให้ในอนาคตเชิญม.คาเนกี เมลอนอาจมาตั้งวิทยาเขตในไทย(ตอนนี้ต้องหาเงินสามพันล้านสำหรับวิทยาเขตใหม่) ถ้านโยบายนี้ได้ผล(มหาวิทยาลัยไทยจับมือกับม.ต่างชาติแบบแนบแน่น) ก็น่าจะพลิกโฉมหน้าอุดมศึกษาไทยครั้งใหญ่เลยทีเดียว
ส่วนนโยบายการศึกษาของมาเลเซียนี่ไม่ทราบเลย แต่เขาก็เป็นศูนย์กลางการศึกษาของคนมุสลิมนะ และใช้ภาษาอังกฤษในการสอนและวิจัย ทำให้อันดับมหาวิทยาลัยในระดับโลกดีกว่า เพราะเขาจัดอันดับกันด้วยผลงานวิจัยที่ตีพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษ(เพราะเหตุนี้ มหาวิทยาลัยในอังกฤษและอเมริกาจึงเหมายี่สิบอันดับมหาวิทยาลัยดีที่สุดในโลกทุกปี เยอรมันยังไม่ติดท็อปเทนเลย..เป็นไปได้ไง?)
ในปี2561นี้ คาดว่าไทยจะไทยจะใช้งบวิจัย(รัฐและเอกชน)รวมกันไปถึง 1%ของจีดีพีเป็นปีแรก ตามสมมุติฐานนั้นชาติที่มีงบวิจัยเกิน 1.5%จะเริ่มกลายเป็นชาติที่ผลิตนวัตรกรรมใหม่(สิงคโปร์ถ้าจำไม่ผิดก็ยังอยู่แค่หนึ่งจุดกว่าๆ เนื่องจากเขามีบริษัทข้ามชาติที่ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคน้อย รายได้มาจากท่าเรือและโรงกลั่น งบวิจัยจึงมาจากรัฐบาล ส่วนมาเลเซียก็ราวๆ0.5%เพราะบริษัทใหญ่อย่างปิโตรนาสก็ไม่ได้วิจัยมากมายนัก) ญี่ปุ่นและยุโรปราวๆ2-3%ของจีดีพี่ เกาหลีใต้และอิสราเอลเกือบ4% สูงเป็นอันดับสองและหนึ่งของโลก ถ้าเป็นไปตามแผนของรัฐบาล ไทยเราน่าจะเริ่มเป็นประเทศสร้างนวัตกรรมใหม่(แบบมีนัยสำคัญ)ราวๆปี 2565เป็นต้นไป
คิดว่าไทยกับมาเลเซียก็มีข้อดีข้อเสียมีปัญหาแตกต่างกันไป บางอย่างเราดีกว่าบางอย่างเขาดีกว่า แต่จะให้เอามาเปรียบเทียบจริงๆคงยาก เรามาเชียให้ทั้งสองชาติพัฒนาไปด้วยกันไม่ขัดแข้งขัดขากันเองจะดีกว่า คู่แข่งของเราน่าจะมองไปนอกภูมิภาคอาเซียนนะครับ
แสดงความคิดเห็น
มาเลเซียกับไทยใครเจริญกว่ากัน