ของคนเก่า !!

ของคนเก่า !!

(ทั้งนี้ โปรดใช้วิญจารณญาณในการอ่าน เสพเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น)
ก่อนอื่นเจ้าของกระทู้ขอแทนตัวเองว่า “เรา”

-    ภาษาในกระทู้อาจจะเป็นภาษาทางการหรือภาษาที่สุภาพเกินไปที่ทุกคนจะรับได้ขออภัยมา ณ ที่นี่ เพราะถ้าจะให้เขียนคำหยาบคาย “เรา” เลือกใช้ไม่ถูกเลย และกลัวมีปัญหาเรื่องการสะกดคำอีกด้วย)

เฮ้อ ไม่รู้จะเริ่มอย่างไรดี !! เปิดเพจเรื่องราวเกี่ยวกับผีก็มานานหลายเดือน อ่านเรื่องผีก็บ่อย มีคนมาเล่าประสบการณ์ให้ฟังก็เยอะ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเองสมัยเมื่อ 4-5 ปีที่ผ่านมา ตอนที่เข้ามาเรียนมหาลัยใหม่ ๆ ด้วย ต้องบอกก่อนว่าตัวเองไม่มีเซ้นต์ ไม่มีสัมผัสพิเศษอะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องของผี เรื่องของวิญญาณ ไม่ค่อยและไม่เคยไปนอนต่างบ้าน ค้างแรมที่ไหนเป็นระยะเวลานาน จึงไม่ค่อยรู้ธรรมเนียมหรือความเชื่ออะไรเกี่ยวกับพวกนี้เลย


จนถึงเวลาที่ต้องย้ายเข้ามาเรียนมหาลัยและอาศัยอยู่หอพักของมหาลัย เนื่องจากตัวเราเองต้นทุนทางบ้าน หรือเรื่องการส่งเสียค่อนข้างจะไม่ได้มีฐานะมากนัก ที่เลือกเรียนที่นี่เพราะเงื่อนไขการกู้โดยเฉพาะ และด้วยสมัยก่อนการหาข้อมูลความรู้เกี่ยวกับมหาลัย คำแนะนำในการเรียนต่อสมัยมัธยมก็ยังไม่สะดวกและมีหลากหลายหนทาง ในการค้นหาข้อมูลมากกว่าเท่าสมัยนี้


โดยมหาลัยที่เราเรียนเป็นมหาลัยเอกชนไม่ค่อยมีชื่อเสียงโด่งดังมากเป็นพิเศษสักเท่าไหร่ อยู่ในเขตลาดพร้าว ซึ่งหอพักชายของมหาลัยแห่งนี้ มีอยู่ 2 แห่งด้วยกัน ซึ่งที่แรกเป็นหอพักสภาพเก่าใช้ได้ ไม่ได้เก่ามาก แต่ทำให้เห็นคาบเชื้อรา คาบตะไค้น้ำ ขึ้นตามกำแพง โดยประวัติต่าง ๆ นานา ๆ โชคโชน ทั้งฆ่าตัวตาย ผู้คอตาย แทงกันตาย เสียงวิ่งปริศนาขอชั้นหนึ่งของตึกที่ถูกปิดตาย ซึ่งห้องนี้บรรจุคนได้หลาย 100 คนและมีหลายตึก แต่จะอยู่ห่างจากมหาลัยมากพอควร ซึ่งทำให้เราเริ่มกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาเรียน


เราจึงเลือกมาอยู่หอที่สอง เขาใช้ชื่อว่า “หอ 9” หอใหม่ หอเดียวโดด ๆ ตั้งอยู่ในซอยเล็ก ๆ ที่อยู่ห่าง มหาลัยพอสมควร แต่สะดวกในการเดินทาง เพียงแค่นั่งพี่วินมอไซต์จ่ายเพียง 15 บาท ก็ถึงโดยสวัสดิภาพ จะช้า จะเร็ว จะตื่นสายแค่ไหนก็ทันใจ โดยสภาพหอที่นี่ ผิดแปลกจากหอแรกที่เล่าไปข้างต้นเป็นอย่างมาก เป็นตึกที่ทาสีใหม่ สีส้มอ่อน ไม่มีคาบเชื้อรา ตะไค้น้ำ ทั้งตึก 3 ชั้น ชั้นละ 12 ห้อง สภาพห้องใหม่เหมือนเพิ่งเปิดใช้มาไม่กี่ปี


หลังจากตกลงที่จะย้ายเข้าพักที่หอนี้แล้ว ก้ได้เตรียมตัวกันขนของ โดยห้องที่เราอยู่ อยู่ร่วมกับเพื่อนอีก 3 คน เป็นเพื่อนที่รู้จักกัน เรียนคณะเดียวกัน 1 คนคือคณะบัญชี ส่วนอีก 2 คนเรียนคณะวิศวกรรม โดยห้องที่เราได้ หมายเลขห้อง “217” อยู่ชั้น 2 เดินขึ้นบันไดไป เจอพอดีเลย เป็นห้องที่ประตูห้องตรงกับบันไดพอดี  สภาพในห้องถูกทาเป็นสองสี สีขาวกับสีส้มอ่อน ๆ มีเตียงเหล็ก 2 ชั้น พร้อมตู้เสื้อผ้า ขนาดปกติเหมาะสำหรับเก็บเสื้อผ้าและข้าวของเพียงคน 1 คนเท่านั้น ข้างเป็นโต๊ะเครื่องแป้ง พร้อมโคมไฟเสียบปลั๊กสำหรับใช้ในการแต่งตัวด้วย หรือใช้สำหรับอ่านหนังสือด้วย


โดยได้กันคนละชุด ถูกจัดวางไปริมผนังห้อง เพื่อแบ่งโซนในการใช้งาน และทำให้ห้องดูไม่แออัดจนเกินไป สำหรับห้องน้ำก็ไม่มีอะไรผิดปกติ เหมือนห้องน้ำทั่วไปที่อยู่ในตัวห้อง โดยประตูห้องน้ำนี้ ตรงกับประตูทางเข้าของห้องพัก มีกระจกติดผนังพร้อมฝักบัว และน้องแมลงแสบที่วิ่งออกมาทักทายเหมือนได้พบปะกับมนุษย์เป็นครั้งแรก หลังห้องเปิดประตูออกไปก็เป็นระเบียงสำหรับตากผ้า พร้อมติดลูกกรงแบบถี่ยิบเหมือนถูกจองจำชอบกล


หลังจากขนของเขามาเสร็จสรรพ ก็แยกกันจัดห้อง จัดพื้นที่ของตัวเอง เก็บข้าวของต่าง ๆ เข้าตู้เสื้อผ้า จัดที่นอน จัดหมอน หลังจากจัดแจงข้าวของเสร็จก็ออกไปหาอะไรทานกันตอนเย็น เหมือนกินเลี้ยงฉลองพบปะเจอเพื่อน ๆ ไปในตัว เรื่องราวก็ดูเหมือนจะผ่านไปด้วยดีหลายอาทิตย์ จนมหาวิทยาลัยเปิดในช่วงสัปดาห์กิจกรรม เป็นการเริ่มทำกิจกรรมละลายพฤติกรรม ให้นักศึกษาได้พบปะ ทำความรู้จัก ทำกิจกรรมรวมกับเพื่อนในคณะของตัวเอง


จนเริ่มมีกิจกรรมรับน้อง ซ้อมเชียร์ เหมือนธรรมเนียมมหาลัยทั่วไป แน่นอนเหมือนเข้าช่วงกิจกรรมอย่าหาแต่เวลาพักผ่อนเลย เวลาในการทำความสะอาดห้อง ซักผ้าก็แทบจะไม่มีจะซักกันที ก็ต้องซักในช่วงเสาร์ อาทิตย์ ซึ่งเพื่อน ๆ ในห้องก็หยุดเหมือนกันกับเรา ราวตากผ้าหลังห้องไม่พอบ้าง ต้องซื้อตะขอแบบสูญญาณกาศมาติดตามตู้ ตามโต๊ะเครื่องแป้ง ตามผนังห้อง เพื่อใช้แขวนเสื้อผ้า ผ้าขนหนู กางเกงบ๊อกเซอร์ให้อากาศถ่ายเทจนแห้ง


จนเรื่องแปลก ๆ เริ่มเกิดขึ้น ผ้าขนหนูที่เช็ดช่วงล่าง (โซนของรักของหวง) กับ กางเกงบ๊อกเซอร์ที่แขวนอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งจะชอบหล่นลงมากองกับพื้นอยู่เรื่อย ๆ ไม่ได้หล่นมาไม้แขวนอย่างเดียว บางทีก็หล่นมาแค่ผ้าที่ตากหรือแขวนอยู่ ของในลิ้นชัก เครื่องใช้ เครื่องสำอาง น้ำหอมที่วางอยู่ตรงเครื่องแป้ง ถูกสลับสับเปลี่ยน (ไม่ใช่ถูกสลับเพราะโดนใช้งาน แต่สลับเหมือนเปลี่ยนทิศทางของชิ้นนั้นเฉย ๆ เพราะสังเกตนานอยู่เหมือนกัน น้ำหอม โรออน ครีม ลิฟมัน ก็หมดตามระยะเวลาที่เราเคยใช้ ไม่มีหมดเร็วไปกว่าเดิม เหมือนแบบเพื่อนขโมยไปใช้)


จะบอกว่า เพื่อนเดินชนหรือใครเดินเกี่ยวของพวกนี้หล่นก็ไม่น่าจะใช้ เพราะโซนของเราที่วางโต๊ะเครื่องแป้งกับตู้เสื้อผ้า เป็นโซนตรงมุมห้องและมุมอับ ไม่มีลมพัดผ่าน อยู่หน้าห้องน้ำ มีเพียงปลั๊กไฟที่เสียบกับพัดลมเท่านั้น ซึ่งห้องกันพอสมควรทั้งปลั๊กไฟและพื้นที่ในการเดินเข้า เดินออกห้องน้ำไปเตียงของเพื่อนแต่ละคน ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะแขวนอะไรก็ตาม เสื้อนิสิต กางเกงขายาว ขาสั้น ก็ร่วงลงมากองที่พื้นทุกเช้า


จนมีคืนหนึ่ง ทุกคนเหนื่อยจากการแข่งขันกีฬาเฟรชชี่และซ้อมเชียร์ กลับมาก็เกือบ 5 ทุ่มเที่ยงคืนแล้ว ระหว่างที่รวมกลุ่มกันเดินขึ้นบันไดไปพูดคุยเรื่องราวต่าง ๆ เราทั้ง 4 คนกลัวยืนชะงัก เหมือนตามองไปเห็นช่องใต้ประตูของห้องตัวเอง มีใครเดินอยู่ภายในห้อง ซึ่งสะท้อนแสงไฟจากหลังห้องของตึกที่เปิดไว้ตอนกลางคืน


(ก่อนอื่นเราต้องบอกว่า เราและเพื่อนลงความเห็นกันจะเปิดประตูหลังห้องไว้ระบายอากาศเนื่องจาก ช่องทางที่ลมจะเข้าในห้องเพื่อระบายอากาศ กลิ่นอับชื่นต่าง ๆ น้อยมาก เพราะบานเกร็ดก็เสีย เปิดอ้าได้เพียงนิ้วชี้สอดไปเอง ประตูหน้าห้องก็เปิดทิ้งไว้ไม่ได้ เนื่องจากไม่มีประตูลูกกรงอีกชั้น ทำให้ต้องเปิดประตูหลังห้องทิ้งไว้)    


ซึ่งการเปิดประตูหลังห้องทิ้งไว้ ทำให้แสงที่อยู่หลังตึกสะท้อนพื้นห้องได้อย่างชัดเจน หลังจากทุกคนเห็นพร้อมกันก็รีบวิ่งไปไขกุญแจ เปิดประตูเพื่อดูว่าใครกันแน่อยู่ในห้อง เป็นขโมยหรือเปล่า แน่นอนการเจอแบบนี้ครั้งแรก เปิดไปยังไงก็ไม่เจอและไม่มีอะไร ทำให้เรามานั่งคุยกันถึงสิ่งที่เห็นว่ามันคืออะไรกันแน่ สุดท้ายแล้วถกเถียงกันไป ก็ได้ขอสรุปที่ว่า พวกเราอาจจะคิดกันไปเอง หรือเป็นสัตว์บินผ่านจากข้างนอกโดนแสงเงาเข้ามา


หลังจากนั้น เรื่องราวแปลก ๆ ก็เริ่มมีมาเรื่อย ๆ ทั้งเสียงเคาะกระจกเงา เสียงเปิดปิดลิ้นชัก เสียงปากกากลิ้งตกพื้น หรือ หนังสือเรียนที่ยังไม่ได้ใช้เรียนก็ถูกเปิดกลางทิ้งไว้ (ซึ่งอาจจะเป็นลมก็ได้) ทำให้เราและเพื่อน ๆ ก็เริ่มสงสัยว่ามีอะไรกันแน่ เพราะตอนนี้มันเหมือนไม่ได้เกิดขึ้นกับตู้เสื้อผ้า โต๊ะเครื่องแป้ง โซนของเราแล้ว ของเพื่อนก็มีโดนบ้าง ซึ่งจะเป็นการแกล้งกันของเพื่อน ก็ไม่น่าจะใช้ เนื่องจากปีหนึ่งจะมีวิชาเรียนรวมและวิชาพื้นฐานเกือบทุกวิชาเรียนด้วยกัน ถ้าไม่ได้เรียนด้วยกัน ปีหนึ่งก็โดนตารางให้เรียนเช้าแน่นอน จึงทำให้ส่วนใหญ่เราไปไหนมาไหนด้วยกัน เปลี่ยนจากนั้นวินมอไซต์เป็นนั่งแท๊กซี่แทน ถึงมหาลัยก็ 45 บาท ประหยัดไปตั้งหลายบาท


จนเกือบจะถึงวันที่พีคที่สุดของการพบเจอสิ่งนี้ เพื่อนเรา “ไอ้คริส” เรียนคณะเดียวกัน แต่วันนั้นมันขอกลับก่อน เนื่องจากรู้สึกไม่สบาย เนื่องจากนอนน้อยมาหลายวัน และแข่งกีฬาเกือบทุกอย่างแบบหักโหม เลยขอเรากลับไปห้องก่อนช่วงบ่ายสาม เหมือนทุกอย่างจะปกติ แต่ไม่ปกติประมาณ 1 ทุ่ม “ไอ้คริส” โทรมามา ด้วยเสียงสั่นมาก ๆ แล้วร้องไห้ บอกว่า “แกอยู่ไหน แกอยู่ไหน รีบกลับมา รีบกลับมา กูกลัว มันอยู่ในห้องเรา มันอยู่ในห้องเรา”


เราก็ งง ว่าเกิดอะไรขึ้น หรือมันโทรมาแกล้งเฉย ๆ เหมือนที่มันชอบทำแกล้งคนอื่น  เราก็เลยไม่สนใจเท่าไหร่ กว่าจะกลับห้องกันอีกทีก็ 5 ทุ่มเช่นเดิมกับเพื่อนวิศวะอีก 2 คน พอมาถึงหอพัก “ไอ้คริส” ทำหน้าโกรธมาก แต่ตาแดงบวมเหมือนผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก นั่งรออยู่โต๊ะหินอ่อนหน้าหอพัก พร้อมตะโกน ด่าทอต่าง ๆ นานา มาเป็นเซตใหญ่ แบบว่าพวกเราไม่ห่วงมันเลย มันกลัวแทบตาย


เราก็เลยชวนเพื่อนและ “ไอ้คริส” ขึ้นไปคุยบนห้อง แต่จากสังเกตุจากท่าที สีหน้า “ไอ้คริส” ตอนนั้นแล้ว เหมือนมันยังไม่อยากขึ้นเลย เหมือนมีอะไรค้างคา เราก็เลยถามไปว่า “สรุปที่ห้องมีอะไร หรือ เจออะไร” เพียงพูดประโยคนี้ไปเท่านั้นแหละ “ไอ้คริส” ก็เล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ให้ฟังเลยว่า “ตั้งแต่มันกลับมาถึงห้องพัก ก็เห็นมีคนเดินในห้องเหมือนเดิม แต่ก็คิดเหมือนเดิมที่เคยคิดว่ามันคงเป็นแสงที่หักเหเข้ามา เป็นสัตว์หรือใบไม้ก็ได้ แต่หลังจากเปิดกุญแจไขเข้าห้องไปแล้ว มันก็ เห็นเงาแวบ ๆ ผ่านตาไป เป็นเงาลาง ๆ เข้าไปในโต๊ะเครื่องแป้งของเรา (ตัวเจ้าของกระทู้) มันก็คิดว่าเป็นผ้าขนหนูที่แขวนอยู่ หลอกตามัน”



“หลังจากมันปิดประตูห้อง กำลังเดินไปเปิดแอร์ ก้าวขาเพียงสอง สามก้าวเท่านั้น ผ้าขนหนู บ๊อกเซอร์ ที่แขวนอยู่และขวดน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งตัวนั้น ก็ตกลงมาพร้อมกัน ซึ่งอาจจะเป็นความบังเอิญ หรือลมพัดตีเข้ามาจากหน้าก็ได้ แต่แปลกที่ผ้าขนหนูและบ๊อกเซอร์นั้นหล่นมาทั้ง ไม้แขวน เลย ไม่ใช่แค่ตัวผ้า ซึ่งมันก็เริ่มกลัวนิด ๆ จนรีบอาบน้ำ กินยา ด้วยอาการของไข้ก็ทำให้มันหลับไปช่วง 4 โมงเย็นกว่า ๆ คาบเกี่ยว 5 โมงเย็น”

“ซึ่งระหว่างที่มันหลับ มันก็บอกกับเราว่า มันรู้สึกตัวตลอดนะ ได้ยินเสียงคนเปิดประตูห้อง คนกลับห้องมาบ้าง จนช่วงเวลาเริ่มจะตกเย็นมากแล้ว แสงท้องฟ้าที่เข้ามาเริ่มเป็นสีส้ม มันก็ได้ยินเสียงคนเคาะกระจกเงาดังมาจากตรงโซนของเรา โดยที่ “ไอ้คริส” นอนอยู่เตียงชั้นล่าง ของเตียงที่ติดกับประตูทางเข้า ก่อนที่จะเป็นเงาของเด็กหรือผู้หญิงไม่รู้ สะท้อนเงาออกมาแบบลาง ๆ ก่อนจะหายไป จากนั้นเสียงประตูตู้เสื้อผ้าที่เป็นไม้อัดธรรมดาก็เหมือนถูกเปิดออกมาเล็กน้อย เสียงดังเอี๊ยด ๆ”



เท่านั้นแหละ สิ่งที่เห็น กับ สิ่งที่ได้ยิน ทำให้มันกลัวช่วงนั้นคาบเกี่ยวเป็นเวลา 1 ทุ่ม ก่อนที่ “ไอ้คริส” จะโทรมาหาเราไม่นานมาก หลังจากที่มันโทรเราเสร็จ ไม่เห็นวี่แว่วจะมาสักที “ไอ้คริส” ก็เลยโทรหาที่บ้าน เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ที่บ้านฟัง ที่บ้านคริสก็บอกว่า
“แม่บอกแล้ว อย่านอนขวางตะวัน นอนขวางตะวันไม่พอยังนอนทับทางผีตอนผีตากผ้าอ้อมอีก ห้องตรงกับบันไดขนาดนั้น ประตูหลังห้องก็เปิดตลอดเวลา มันเป็นทางผ่านชัด ๆ บอกให้เอา ยันต์ไปติดก็ดื้อรั้นกัน บอกให้เอา พระไปใส่ ก็ไม่เชื่อ แล้วที่นี่ทำอะไรได้ แก้ปัญหาแม่ก็ไม่รู้จะแก้ยังไง”


หลังจาก “ไอ้คริส” เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดจบ เราทุกคนก็เริ่มกลัวเหมือนกัน แต่ทำไงได้ จะให้ย้ายไปที่ไหน ไม่มีลู่ทางแล้ว ตอนนี้ก็ดึกแล้ว จากเรื่องราวตอนเย็นเหมือนจะจบและจะสิ้นสุดหลังจาก “ไอ้คริส” เห็นเขาคนนั้นแล้ว แต่มันก็ใช้ว่าจะจบทันทีเลย เมื่อกลับมาถึงในห้องสิ่งที่เห็นคือ “รอยเท้า” สีดำผสมสีขาว เหมือนขี้เถ้าหรือดินดำปลูกผักผลไม้ผสมกับแป้ง ขึ้นอยู่จาง ๆ จากหน้าห้องไปที่โต๊ะเครื่องแป้งจนเห็นเป็นรอยร้าวของกระจกเงาที่เริ่มร้าวจากมุมล่างซ้าย พอเห็นเท่านั้นแหละ ทุกคนเริ่มรู้สึกไม่ดี โทรหาที่บ้านกันใหญ่ ซึ่งที่บ้านก็บอกให้ไปทำบุญ อุทิศส่วนกุศลให้เขาเลย ซึ่งตอนนั้นก็เที่ยงคืนแล้ว วัดไหนเปิด พระคงหลับหมดแล้ว

(โปรดใช้วิญจารณญาณในการอ่าน เสพเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น)
#เรื่องเล่าคืนนั้นผี
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่