สวัสดีค่ะ จะมาแชร์ประสบการณ์ WORK AND TRAVEL แบบคนนกๆ แต่กลับมาแบบไม่นก
เริ่มจากปีก่อนหน้า สมัครไปกับเพื่อน5คน แต่เรากับเพื่อนอีกสองคนไม่ได้ไป
เพราะความซวยแบบน้ำตาตกใน คือมอเราปิดช้าก็เลยโดนปฎิเสธงาน จากนั้นก็รอเเล้วรอเล่า
รอจนเลขDSทางเมกาหมด นกเเบบงงๆ ได้เเต่เปิดฝักบัวราดตัวเองเเบบคนอกหัก
เอาจริงๆคือเฮิร์ทจนต้องบล็อกเพื่อนที่ไปเพราะไม่อยากเห็นอ่ะ ฮื่ออออ
มาปีนี้ไม่เข็ดค่ะ สมัครไปอีกกับเอเจนซี่เดิม งานเดิมปีที่แล้วเป๊ะ
เดือนมกราคม เตรียมเอกสารทุกอย่างพร้อม พกความมันใจไปแบบเต็มกระเป๋า
ตอนสัมภาษณ์ เราก็เเนะนำตัวเอง เค้าก็ถามคำถามประมานว่า ทำไมถึงอยากไป อยากทำตำเเหน่งอะไร อยากไปเที่ยวที่ไหนในเมกา
คือเราตอบคำถามอีกนิดก็คือมงลงไปแล้ว แต่ผลออกมาคือ....ไม่ได้งานค่าาาา
วินาทีนั้นจะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่านายจ้างปฎิเสธเราเพราะอะไร คนมันจะนกอ่ะเนอะ เฮิร์ทเเบบเหมือนบากหน้าไปง้อแฟนเก่าเเล้วเค้าไม่เอาเราเเล้วอ่ะ โอ่ยย ตัดใจไม่ได้
เราแบบ ... จะไม่ได้ไปอีกแล้วใช่มั๊ย โอ่ย คนอะไรมันจะนกได้ขนาดนี้
แต่ก็ต้องรอต่อไปค่ะ ชีวิตแบบหมดหวังสุดๆ พี่ที่ดูแลให้ไปสัมภาษณ์กับอีกที่เราก็ไป สัมภาษณ์เสร็จก็จบแบบ...ไม่ได้คำตอบอะไรเลย ในระหว่างที่เพื่อนคนอื่นเริ่มสัมภาษณ์วีซ่า เริ่มวางแพลนเที่ยว แต่เรายังแบบไม่ได้งานเลย ใจมันเสียไปหมดแล้ว
จนประมานเดือนมีนาคม ทางเอเจนซี่ก็ติดต่อมามีร้านที่เรากับเพื่อนจะได้ไปลง อยู่ที่ซานฟราน แล้วก็เงียบไปอีกแล้ว ฮื่อออประมานสองอาทิตย์ ก็มาบอกว่าเราได้ไปซานฟรานกับผู้หญิงอีกคนที่ไม่ใช่เพื่อนเรา
เราโอเค ไม่เป็นไร...เพื่อนใหม่ก็เพื่อนใหม่จ้า
พอเอเจนซี่ส่ง JOB OFFER ให้ เราก็เริ่มใจชื้นขึ้นมาละ แต่ก็ยังไม่ให้เราจ่ายค่าโครงการ
จนกระทั่งเดือนเมษายนเพื่อนเราที่ถูกแยกไปอยู่อีกทีได้วันสัมภาษณ์วีซ่า ทั้งๆที่ได้JOB OFFER หลังเรา
ตอนนั้นเริ่มปั่นป่วนละ นอนไม่หลับเครียดไปหมด เริ่มวางแผนว่าถ้าเราไม่ได้ไปปีนี้อีก จะทำยังไงต่อดี....
ยังไม่หมดแค่นั้น พอเอาชื่อร้านไปเสริชหาว่าเป็นยังไง
อหหหหหห....คือตอนนั้นหลอกตัวเองว่าไม่หรอกแก แกหาร้านผิด เอาที่อยู่ไปเสริชใหม่ก็เป็นที่เดิม

วินาทีนั้นตาลีตาเหลือก โทรหาเอเจนซี่ไหนพี่บอกว่าหนูได้ไปอยู่ซานฟราน!!!!! ทำไมพี่พาหนูมาปล่อยเกาะ!!!!
เครียดเรื่องที่จะไปไม่พอวันสัมภาษณ์วีซ่าก็ไม่มาซักที เอเจนซี่จะให้จองตั๋วเครื่องบินค่า เหลืออีกไม่ถึงเดือนจะถึงกำหนดที่ต้องบิน แต่ว่ายังไม่ได้สัมภาษณ์วีซ่าอะไรเลย
เราถามพี่ที่ดูแลว่า ถ้าเกิดว่าหนูไม่ได้ไปค่าเครื่องบินจะยังไงคะ เค้าบอกว่าได้คืนหมดเลย ไม่มีปัญหาค่ะ โอเค๊! ได้คืนหมด ถ้าไม่ได้ไป ก็ไม่ได้เสียค่าตั๋วเครื่องฟรีแหละว่ะ!
จนวันที่11 พฤษภาคม เราก็ได้ไปสัมภาษณ์วีซ่ากับเค้าซักที สัมก่อนบิน 8วัน!!!!
ไม่เหลือความอยากไปไหนทั้งนั้น ถึงขั้นที่เช้าวันที่จะบินเพิ่งจะเก็บกระเป๋า ในที่สุดเราก็ผ่านทุกอย่างพร้อมไปอเมริกาละจ้า
แต่...ยังไม่จบแค่นั้น พอเท้าแตะสนามบินซานฟรานปุ๊บ ถูกเชิญตัวเข้าห้องดำค่า
ฮื่ออออ....คนอะไรมันจะขนาดนั้น
ในห้องนั้นเค้าก็ถามว่ามาทำอะไร เอาอะไรมาบ้าง ปีที่แล้วขอวีซ่าไว้ใช่มั๊ย แต่โชคดีที่เพื่อนบอกไว้ก่อนแล้วว่ายังไงก็ต้องโดนเราก็เลยไม่ได้ตกใจอะไร ก็ตอบคำถามเค้าไปแล้วก็ถูกปล่อยออกมา
เหยียบเมกาปุ๊บชีวิตเด็กเวิคก็เริ่มเลยจ้า เราเริ่มทำงานตั้งแต่วันที่สองที่มาถึงเลย
วันแรกเจ้าของร้านพาไปทัวร์ชะโงกตามแลนด์มารค์ซานฟราน เราก็ไปแบบสติครึ่งผีครึ่งคน ชีวิตต้องสู้มาก

เห็นGolden Gate ครั้งเเรกเเทนที่จะ โอ้โหหหหหหห ความจริงคือไปยืนดูเเบบมึนๆ อ่อก็สะพานสีเเดง คือง่วงเเบบยืนพิงราวสะพานหลับได้
เรากลับมาที่นี่อีกตอนที่อยู่ไปซักพักหนึ่ง อวดเก่งอ่ะ ขึ้นรถเมล์มาโกลเด้นเกต 5555555 หลงเเล้วหลงอีก หลงทางจนท้อ เเต่ก็ได้มาเห็นแบบตั้งใจมาอ่ะ

หมอกลงเป็นปกติของสะพานนี้ค่ะ
พูดถึงเมืองที่เราอยู่ ชื่อว่า ALAMEDA เป็นเกาะอยู่ตรงข้ามกับซานฟรานเลย
เอาเข้าจริงๆไม่ได้ไปซานฟรานลำบากอะไรเลย แค่นั่งรถเมล์ข้ามสะพานไปก็ถึงละ
แล้วเมืองจริงๆก็ไม่ได้น่ากลัวแบบที่มโนไว้ เป็นเมืองที่เคลมตัวเองว่า ไม่มีโฮมเลส ทั้งที่ซานฟรานมีทุกหัวมุมถนน ไม่พอ CRIME ZERO อีกต่างหาก ก็ตามนั้นเลยค่า เมืองสะอาด สงบ น่าอยู่จริงๆ
มาถึงเรื่องงาน เราทำทั้งหมดสามร้านค่ะ ร้านแรกคือร้านไทย ทำทั้งในครัวแล้วก็เสริฟ ทำทั้งหมด4วันต่อสัปดาห์ ทำตั้งแต่11โมงถึง3ทุ่มครึ่ง ค่าแรงคือชั่วโมงละ10ดอล ไม่รวมทิป คือทิปเราเฉลี่ยประมาน 70 ดอลต่อวัน
ทำเสริฟก็คือทำทุกอย่างในร้านเลย สนุกมากกกกก วันแรกๆคือขาแข็ง กลับบ้านสลบเลย สำเนียงลูกค้าคือปัญหามาก ฟังแทบไม่ออกเลย
แล้วก็มีเรื่องให้น้ำตาตก คือลูกค้าสั่งแล้วเราทำผิด ลูกค้าว่าเราว่าพูดภาษาอังกฤษไม่ได้หรอ ไม่พอ เพื่อนฮีถามเราเรื่องเมนูเรากำลังจะอธิบาย ฮีดึงเมนูออกจากมือเราเลยจ้า แล้วก็เรียกอีกคนมาอธิบายแทน ตอนนั้นคือหน้าซีดไปหมดรู้เลยว่าน้ำตาจุกอยู่ที่คออ่ะ คนที่เค้าถามเราคนแรกบอกว่าขอโทษ เธอโอเคใช่มั๊ย เราได้แต่แบบโอเค ไม่เป็นไร
ไม่เป็นไรก็บ้าแล้ววววว เรากลั้นไว้จนถึงบ้านอ่ะ เล่าให้พี่ที่บ้านฟังไปด้วย ร้องไห้ไปด้วย แต่ก็เป็นครั้งแรกครั้งเดียวที่เราเจออะไรแบบนั้น
พอเริ่มปรับตัวได้งานสนุกมาก เจอลูกค้าที่แบบดูหน้าก็รู้ละว่าไม่ให้ทิป ก็ไม่ให้จริงๆ หรือแบบอินเดียที่มากินสามสี่คนให้ทิปดอลเดียว เกรี้ยวกราดดดดด!! วินาทีนั้นอยากจะเท้าสะเอวมองให้สำนึก
หรือลูกค้าบางคนที่เราเห็นหน้าปุ๊บแทบกดออเดอร์รอเลยเพราะกินแบบนี้ประจำ บางคนก็แบบทิปดีจนแทบจะเดินประตูรถให้
แล้วคนที่นั้นบอบบางมากก แพ้ถั่วแพ้นมแพ้ทุกอย่าง อาหารจานเดียวไม่เอานู้นแต่จะเพิ่มนี่ คือถ้าวันไหนไปทำงานแบบสติไม่ครบเตรียมตัวได้! หล่อนตาย!
ส่วนงานในครัว เราทำพวกยำกับของทอด อย่าถามว่าอร่อยไหม 5555555 ทุกอย่างแค่ตักๆตวงๆตามที่สูตรเค้าให้มา ในครัวนี่ดีตรงที่ไม่ต้องไปต่อสู้กับลูกค้า แต่ต้องต่อสู้กับเวลา ช่วงร้านยุ่งๆนี่แกล้งตายได้เลย
งานร้านที่สอง เป็นร้านอาหารแบบ fine dining สไตล์ต่างกับร้านแรกมาก ร้านแรกจะเน้นความเร็ว ทำไงก็ได้ที่จะเคลียร์โต๊ะให้ลูกค้าได้นั่งเร็วที่สุด แต่ร้านนี้คือ เน้นเซอร์วิสมาก เก็บแก้วใช้ถาด ว่างต้องพับผ้าเช็ดปาก จากที่ลูกค้าจะถามว่าแกงเขียวแกงแดงคืออะไร ก็ต้องตอบคำถามว่าคอกเทลอันไหนดี ไวน์ตัวไหนโอเค เราถึงขั้นต้องถ่ายเมนูที่ร้านไปทำการบ้านอ่ะคิดดู
ความเด๋อคือไม่มีรูปถ่ายตอนทำงานเลย เพิ่งรู้ตัวตอนเขียนกระทู้นี่แหละ โอ่ยย
ร้านสองนี่แหละที่ทำให้เราเริ่มนั่งรถเมล์เป็น นั่งรถbart(จริงๆก็คือรถไฟฟ้านี่แหละ)เป็น เพราะร้านแรกใกล้ที่บ้านมาก เดินไปทำงานจ้า

สถานีBART ที่ต้องนั่งไปทำงานร้านที่สอง หรือจะเข้าซานฟรานเราก็ต้องมานั่งที่สถานีนี้

รถเมล์ที่ใช้เดินทาง จะไปไหนก็ต้องไปกับคุณคนนี้เเหละ
ร้านที่สามเราได้ทำประมานเดือนที่สอง เป็นร้านอาหารญี่ปุ่น งานช้างเลยพูด เหมือนเริ่มต้นทุกอย่างใหม่หมด เมนูอาหารญี่ปุ่น ชื่อซูชิ ชื่อปลา ไม่พอเป็นร้านที่ทำให้เรามีวีรกรรมยืนทั้งชิพ ได้ทิปแค่5บาท ร้องงงงงงงง
สรุปคือเราทำงานแทบทุกวัน สามเดือนมีเดย์ออฟรวมกันไม่ถึง10วัน สู้ชีวิตมาก เคยมีวันหนึ่งทำงานร้านที่สองเลิกตีสี่เพราะมีปาร์ตี้ อีกวันตื่นมาเสริฟต่อค่า พูดเลยว่าเหนื่อยมาก แต่ก็สนุกมากเช่นกัน ไม่มีวันไหนเลยที่ตื่นมาแล้วขาจะไม่รู้สึกเจ็บ เดินลากขาเข้าห้องน้ำทุกวัน
พูดถึงเงินที่ได้เราไม่เคยนับจริงจังเลยว่าได้เท่าไหร่ แต่เรามีเป้าหมายคือเราจะเก็บมาคืนแม่ทั้งหมด 4500 ดอล ซึ่งเราทำงานได้เดือนครึ่งเราเริ่มเห็นเงินก้อนมาเป็นรูปเป็นร่างแล้ว เราก็ไปเที่ยวค่ะ
4th July เราไปแอลเอกับเวกัสมา ขับรถไปกันกับพี่ที่บ้าน จริงๆเป็นการไปแอลเอครั้งที่สอง เพราะมาถึงประมานสี่วันนายจ้างพาเราไปเที่ยวแอลเอเลยค่ะ
ยังไม่หมดพอช่วงปลายกรกฎาพี่ที่บ้านต้องกลับไทยไปก่อน ก็เลยไปทริปnew york ทั้งหมด6วัน สนุกมากกกกก

ซานต้าโมนิก้า

ยูนิเวอร์เซลครั้งที่สองตอนกลางคืน

แมนฮัตตันบีช
ส่วนนี่ไปเวกัสค่ะ เป็นเมืองที่ร้อนเเบบร้อนมากกก ถ้าถามว่าได้ทำอะไรบ้าง ไปเดินกินเบียร์ตามถนนค่ะ รักมากกกก ถือแก้วเบียร์เหมือนเเก้วชามุกเลยค่ะ

อันนี้ในโรงเเรมค่ะ อลังการงานสร้าง เเล้วเป็นทุกโรงเเรมด้วย เเค่เดินตามโรงเเรมก็หมดไปเป็นวันละค่ะ
ในทริปไม่มีใครเล่นการพนันเลย กิจกรรมนั้นก็ข้ามไปค่ะ ไปตื่นตาตื่นใจกับตู้สล็อตเฉยๆ 555555

เวนิสมาเอง เดินกันเเบบลืมวันลืมคืน
ส่วนนี่เป็นทริปนิวยอค

เป็นเมืองที่ตึก ตึก ตึก เต็มไปหมด ละคือเเต่ละตึกเเบบ โอ้โหหหหห

TIME SQUARE

STATUE LIBERTY

ส่วนนี้ไป GAY PRIDE ในซานฟรานค่ะ

City Hall กลางคืน ช่วงมีงาน
เดย์ออฟน้อยนิดของเราก็ไม่เคยอยู่บ้าน ไปเดินเล่นในซานฟราน ไปพลาซ่าแถวบ้าน ไปแฮงค์เอ้ากับเพื่อนที่ทำงาน จิปาถะ ช้อปเหมือนคนบ้า จนพี่เราบอกว่า ซื้อของเหมือนคนไม่เคยซื้อ 55555555555555555 ผลคือการแบกของกลับไทยมาไม่หมดค่ะ ต้องให้คนที่นู้นส่งตามหลังมา ฮื่อออ อีบ้า

กองของส่วนหนึ่งที่ช้อปช่วงก่อนกลับ
เวลาไปเที่ยวเราไม่ประหยัดเลยนะคะ ขอสารภาพ ซื้อทุกอย่างที่อยากซื้อ กินทุกอย่างที่อยากกิน ไม่เคยไปเที่ยวแล้วฝากท้องกับมาม่าจืดๆหรือแซนวิชเย็นๆเลย
แต่พอวันที่เราทำงานกินข้าวที่ร้าน อยู่บ้านกรองน้ำก๊อกใส่ตู้เย็น ถ้ารู้ว่าจะได้เดย์ออฟเราขอข้าวจากที่ร้านมาเก็บไว้เลยค่ะ
ช่วงเราใกล้กลับคือเป็นการใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงมาก เลิกงานสามสี่ทุ่มก็ไปแฮงค์เอ้า ไปปาร์ตี้ต่อ เช้ามาก็ตื่นไปทำงาน เคยแฮงค์แล้วไปเสริฟ ทำงานอยู่ก็วิ่งไปอ้วก ถึงขั้นแบบไปนั่งร้องไห้ในห้องน้ำอ่ะ พูดเลยว่าเข็ดมาก
สรุปแล้วสามเดือนเราคืนค่าโครงการแม่ทั้งหมด เเถมให้แม่ไปอีกหลายหมื่นเลย ช้อปเป็นคนบ้า ไปแอลเอสองรอบ ลาสเวกัส นิวยอค ซานฟราน แล้วก็มีเงินเก็บกลับมาประมาน 50000 บาท แถมไปที่นู้นเพื่อนร่วมงานดีมากกกกกกก มากกแบบกอไก่ล้านตัว ทุกคนดีกับเราจริงๆ ถึงส่วนมากที่เจอจะเป็นคนไทยก็เถอะ เรื่องภาษาถึงเพื่อนร่วมงานส่วนมากจะเป็นไทย แต่เราว่าภาษาเราพัฒนาขึ้นมาบ้าง
จากที่ไม่กล้าสั่งกาแฟเลย กลัวเค้าถามนู้นถามนี่แล้วฟังไม่ออก จนถึงตอนนี้ที่ไม่ใช่แค่สั่งกาแฟ แต่ต่อสู้กับทุกคนได้ เราก็ถือว่าโอเค อาจจะได้เรื่องภาษาไม่มาก แต่ก็ไม่น้อยเลย
สุดท้ายเเล้วอย่าเรียกว่ารีวิวเลย เรียกว่าอวดจะดีกว่า จริงๆอยากให้ทุกคนได้มาเจอประสบการณ์เเบบเรานะ มาเวิคกันเถอะค่าาา มันดีจริงๆ เชื่อเถอะ
แชร์ประสบการณ์ Work and Travel ที่ ALAMEDA ไปเวิร์คแบบนกๆเเต่กลับมาเเบบไม่นก
เริ่มจากปีก่อนหน้า สมัครไปกับเพื่อน5คน แต่เรากับเพื่อนอีกสองคนไม่ได้ไป
เพราะความซวยแบบน้ำตาตกใน คือมอเราปิดช้าก็เลยโดนปฎิเสธงาน จากนั้นก็รอเเล้วรอเล่า
รอจนเลขDSทางเมกาหมด นกเเบบงงๆ ได้เเต่เปิดฝักบัวราดตัวเองเเบบคนอกหัก
เอาจริงๆคือเฮิร์ทจนต้องบล็อกเพื่อนที่ไปเพราะไม่อยากเห็นอ่ะ ฮื่ออออ
มาปีนี้ไม่เข็ดค่ะ สมัครไปอีกกับเอเจนซี่เดิม งานเดิมปีที่แล้วเป๊ะ
เดือนมกราคม เตรียมเอกสารทุกอย่างพร้อม พกความมันใจไปแบบเต็มกระเป๋า
ตอนสัมภาษณ์ เราก็เเนะนำตัวเอง เค้าก็ถามคำถามประมานว่า ทำไมถึงอยากไป อยากทำตำเเหน่งอะไร อยากไปเที่ยวที่ไหนในเมกา
คือเราตอบคำถามอีกนิดก็คือมงลงไปแล้ว แต่ผลออกมาคือ....ไม่ได้งานค่าาาา
วินาทีนั้นจะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่านายจ้างปฎิเสธเราเพราะอะไร คนมันจะนกอ่ะเนอะ เฮิร์ทเเบบเหมือนบากหน้าไปง้อแฟนเก่าเเล้วเค้าไม่เอาเราเเล้วอ่ะ โอ่ยย ตัดใจไม่ได้
เราแบบ ... จะไม่ได้ไปอีกแล้วใช่มั๊ย โอ่ย คนอะไรมันจะนกได้ขนาดนี้
แต่ก็ต้องรอต่อไปค่ะ ชีวิตแบบหมดหวังสุดๆ พี่ที่ดูแลให้ไปสัมภาษณ์กับอีกที่เราก็ไป สัมภาษณ์เสร็จก็จบแบบ...ไม่ได้คำตอบอะไรเลย ในระหว่างที่เพื่อนคนอื่นเริ่มสัมภาษณ์วีซ่า เริ่มวางแพลนเที่ยว แต่เรายังแบบไม่ได้งานเลย ใจมันเสียไปหมดแล้ว
จนประมานเดือนมีนาคม ทางเอเจนซี่ก็ติดต่อมามีร้านที่เรากับเพื่อนจะได้ไปลง อยู่ที่ซานฟราน แล้วก็เงียบไปอีกแล้ว ฮื่อออประมานสองอาทิตย์ ก็มาบอกว่าเราได้ไปซานฟรานกับผู้หญิงอีกคนที่ไม่ใช่เพื่อนเรา
เราโอเค ไม่เป็นไร...เพื่อนใหม่ก็เพื่อนใหม่จ้า
พอเอเจนซี่ส่ง JOB OFFER ให้ เราก็เริ่มใจชื้นขึ้นมาละ แต่ก็ยังไม่ให้เราจ่ายค่าโครงการ
จนกระทั่งเดือนเมษายนเพื่อนเราที่ถูกแยกไปอยู่อีกทีได้วันสัมภาษณ์วีซ่า ทั้งๆที่ได้JOB OFFER หลังเรา
ตอนนั้นเริ่มปั่นป่วนละ นอนไม่หลับเครียดไปหมด เริ่มวางแผนว่าถ้าเราไม่ได้ไปปีนี้อีก จะทำยังไงต่อดี....
ยังไม่หมดแค่นั้น พอเอาชื่อร้านไปเสริชหาว่าเป็นยังไง
อหหหหหห....คือตอนนั้นหลอกตัวเองว่าไม่หรอกแก แกหาร้านผิด เอาที่อยู่ไปเสริชใหม่ก็เป็นที่เดิม
วินาทีนั้นตาลีตาเหลือก โทรหาเอเจนซี่ไหนพี่บอกว่าหนูได้ไปอยู่ซานฟราน!!!!! ทำไมพี่พาหนูมาปล่อยเกาะ!!!!
เครียดเรื่องที่จะไปไม่พอวันสัมภาษณ์วีซ่าก็ไม่มาซักที เอเจนซี่จะให้จองตั๋วเครื่องบินค่า เหลืออีกไม่ถึงเดือนจะถึงกำหนดที่ต้องบิน แต่ว่ายังไม่ได้สัมภาษณ์วีซ่าอะไรเลย
เราถามพี่ที่ดูแลว่า ถ้าเกิดว่าหนูไม่ได้ไปค่าเครื่องบินจะยังไงคะ เค้าบอกว่าได้คืนหมดเลย ไม่มีปัญหาค่ะ โอเค๊! ได้คืนหมด ถ้าไม่ได้ไป ก็ไม่ได้เสียค่าตั๋วเครื่องฟรีแหละว่ะ!
จนวันที่11 พฤษภาคม เราก็ได้ไปสัมภาษณ์วีซ่ากับเค้าซักที สัมก่อนบิน 8วัน!!!!
ไม่เหลือความอยากไปไหนทั้งนั้น ถึงขั้นที่เช้าวันที่จะบินเพิ่งจะเก็บกระเป๋า ในที่สุดเราก็ผ่านทุกอย่างพร้อมไปอเมริกาละจ้า
แต่...ยังไม่จบแค่นั้น พอเท้าแตะสนามบินซานฟรานปุ๊บ ถูกเชิญตัวเข้าห้องดำค่า
ฮื่ออออ....คนอะไรมันจะขนาดนั้น
ในห้องนั้นเค้าก็ถามว่ามาทำอะไร เอาอะไรมาบ้าง ปีที่แล้วขอวีซ่าไว้ใช่มั๊ย แต่โชคดีที่เพื่อนบอกไว้ก่อนแล้วว่ายังไงก็ต้องโดนเราก็เลยไม่ได้ตกใจอะไร ก็ตอบคำถามเค้าไปแล้วก็ถูกปล่อยออกมา
เหยียบเมกาปุ๊บชีวิตเด็กเวิคก็เริ่มเลยจ้า เราเริ่มทำงานตั้งแต่วันที่สองที่มาถึงเลย
วันแรกเจ้าของร้านพาไปทัวร์ชะโงกตามแลนด์มารค์ซานฟราน เราก็ไปแบบสติครึ่งผีครึ่งคน ชีวิตต้องสู้มาก
เห็นGolden Gate ครั้งเเรกเเทนที่จะ โอ้โหหหหหหห ความจริงคือไปยืนดูเเบบมึนๆ อ่อก็สะพานสีเเดง คือง่วงเเบบยืนพิงราวสะพานหลับได้
เรากลับมาที่นี่อีกตอนที่อยู่ไปซักพักหนึ่ง อวดเก่งอ่ะ ขึ้นรถเมล์มาโกลเด้นเกต 5555555 หลงเเล้วหลงอีก หลงทางจนท้อ เเต่ก็ได้มาเห็นแบบตั้งใจมาอ่ะ
พูดถึงเมืองที่เราอยู่ ชื่อว่า ALAMEDA เป็นเกาะอยู่ตรงข้ามกับซานฟรานเลย
เอาเข้าจริงๆไม่ได้ไปซานฟรานลำบากอะไรเลย แค่นั่งรถเมล์ข้ามสะพานไปก็ถึงละ
แล้วเมืองจริงๆก็ไม่ได้น่ากลัวแบบที่มโนไว้ เป็นเมืองที่เคลมตัวเองว่า ไม่มีโฮมเลส ทั้งที่ซานฟรานมีทุกหัวมุมถนน ไม่พอ CRIME ZERO อีกต่างหาก ก็ตามนั้นเลยค่า เมืองสะอาด สงบ น่าอยู่จริงๆ
มาถึงเรื่องงาน เราทำทั้งหมดสามร้านค่ะ ร้านแรกคือร้านไทย ทำทั้งในครัวแล้วก็เสริฟ ทำทั้งหมด4วันต่อสัปดาห์ ทำตั้งแต่11โมงถึง3ทุ่มครึ่ง ค่าแรงคือชั่วโมงละ10ดอล ไม่รวมทิป คือทิปเราเฉลี่ยประมาน 70 ดอลต่อวัน
ทำเสริฟก็คือทำทุกอย่างในร้านเลย สนุกมากกกกก วันแรกๆคือขาแข็ง กลับบ้านสลบเลย สำเนียงลูกค้าคือปัญหามาก ฟังแทบไม่ออกเลย
แล้วก็มีเรื่องให้น้ำตาตก คือลูกค้าสั่งแล้วเราทำผิด ลูกค้าว่าเราว่าพูดภาษาอังกฤษไม่ได้หรอ ไม่พอ เพื่อนฮีถามเราเรื่องเมนูเรากำลังจะอธิบาย ฮีดึงเมนูออกจากมือเราเลยจ้า แล้วก็เรียกอีกคนมาอธิบายแทน ตอนนั้นคือหน้าซีดไปหมดรู้เลยว่าน้ำตาจุกอยู่ที่คออ่ะ คนที่เค้าถามเราคนแรกบอกว่าขอโทษ เธอโอเคใช่มั๊ย เราได้แต่แบบโอเค ไม่เป็นไร
ไม่เป็นไรก็บ้าแล้ววววว เรากลั้นไว้จนถึงบ้านอ่ะ เล่าให้พี่ที่บ้านฟังไปด้วย ร้องไห้ไปด้วย แต่ก็เป็นครั้งแรกครั้งเดียวที่เราเจออะไรแบบนั้น
พอเริ่มปรับตัวได้งานสนุกมาก เจอลูกค้าที่แบบดูหน้าก็รู้ละว่าไม่ให้ทิป ก็ไม่ให้จริงๆ หรือแบบอินเดียที่มากินสามสี่คนให้ทิปดอลเดียว เกรี้ยวกราดดดดด!! วินาทีนั้นอยากจะเท้าสะเอวมองให้สำนึก
หรือลูกค้าบางคนที่เราเห็นหน้าปุ๊บแทบกดออเดอร์รอเลยเพราะกินแบบนี้ประจำ บางคนก็แบบทิปดีจนแทบจะเดินประตูรถให้
แล้วคนที่นั้นบอบบางมากก แพ้ถั่วแพ้นมแพ้ทุกอย่าง อาหารจานเดียวไม่เอานู้นแต่จะเพิ่มนี่ คือถ้าวันไหนไปทำงานแบบสติไม่ครบเตรียมตัวได้! หล่อนตาย!
ส่วนงานในครัว เราทำพวกยำกับของทอด อย่าถามว่าอร่อยไหม 5555555 ทุกอย่างแค่ตักๆตวงๆตามที่สูตรเค้าให้มา ในครัวนี่ดีตรงที่ไม่ต้องไปต่อสู้กับลูกค้า แต่ต้องต่อสู้กับเวลา ช่วงร้านยุ่งๆนี่แกล้งตายได้เลย
งานร้านที่สอง เป็นร้านอาหารแบบ fine dining สไตล์ต่างกับร้านแรกมาก ร้านแรกจะเน้นความเร็ว ทำไงก็ได้ที่จะเคลียร์โต๊ะให้ลูกค้าได้นั่งเร็วที่สุด แต่ร้านนี้คือ เน้นเซอร์วิสมาก เก็บแก้วใช้ถาด ว่างต้องพับผ้าเช็ดปาก จากที่ลูกค้าจะถามว่าแกงเขียวแกงแดงคืออะไร ก็ต้องตอบคำถามว่าคอกเทลอันไหนดี ไวน์ตัวไหนโอเค เราถึงขั้นต้องถ่ายเมนูที่ร้านไปทำการบ้านอ่ะคิดดู
ความเด๋อคือไม่มีรูปถ่ายตอนทำงานเลย เพิ่งรู้ตัวตอนเขียนกระทู้นี่แหละ โอ่ยย
ร้านสองนี่แหละที่ทำให้เราเริ่มนั่งรถเมล์เป็น นั่งรถbart(จริงๆก็คือรถไฟฟ้านี่แหละ)เป็น เพราะร้านแรกใกล้ที่บ้านมาก เดินไปทำงานจ้า
ร้านที่สามเราได้ทำประมานเดือนที่สอง เป็นร้านอาหารญี่ปุ่น งานช้างเลยพูด เหมือนเริ่มต้นทุกอย่างใหม่หมด เมนูอาหารญี่ปุ่น ชื่อซูชิ ชื่อปลา ไม่พอเป็นร้านที่ทำให้เรามีวีรกรรมยืนทั้งชิพ ได้ทิปแค่5บาท ร้องงงงงงงง
สรุปคือเราทำงานแทบทุกวัน สามเดือนมีเดย์ออฟรวมกันไม่ถึง10วัน สู้ชีวิตมาก เคยมีวันหนึ่งทำงานร้านที่สองเลิกตีสี่เพราะมีปาร์ตี้ อีกวันตื่นมาเสริฟต่อค่า พูดเลยว่าเหนื่อยมาก แต่ก็สนุกมากเช่นกัน ไม่มีวันไหนเลยที่ตื่นมาแล้วขาจะไม่รู้สึกเจ็บ เดินลากขาเข้าห้องน้ำทุกวัน
พูดถึงเงินที่ได้เราไม่เคยนับจริงจังเลยว่าได้เท่าไหร่ แต่เรามีเป้าหมายคือเราจะเก็บมาคืนแม่ทั้งหมด 4500 ดอล ซึ่งเราทำงานได้เดือนครึ่งเราเริ่มเห็นเงินก้อนมาเป็นรูปเป็นร่างแล้ว เราก็ไปเที่ยวค่ะ
4th July เราไปแอลเอกับเวกัสมา ขับรถไปกันกับพี่ที่บ้าน จริงๆเป็นการไปแอลเอครั้งที่สอง เพราะมาถึงประมานสี่วันนายจ้างพาเราไปเที่ยวแอลเอเลยค่ะ
ยังไม่หมดพอช่วงปลายกรกฎาพี่ที่บ้านต้องกลับไทยไปก่อน ก็เลยไปทริปnew york ทั้งหมด6วัน สนุกมากกกกก
ซานต้าโมนิก้า
ยูนิเวอร์เซลครั้งที่สองตอนกลางคืน
แมนฮัตตันบีช
ส่วนนี่ไปเวกัสค่ะ เป็นเมืองที่ร้อนเเบบร้อนมากกก ถ้าถามว่าได้ทำอะไรบ้าง ไปเดินกินเบียร์ตามถนนค่ะ รักมากกกก ถือแก้วเบียร์เหมือนเเก้วชามุกเลยค่ะ
อันนี้ในโรงเเรมค่ะ อลังการงานสร้าง เเล้วเป็นทุกโรงเเรมด้วย เเค่เดินตามโรงเเรมก็หมดไปเป็นวันละค่ะ
ในทริปไม่มีใครเล่นการพนันเลย กิจกรรมนั้นก็ข้ามไปค่ะ ไปตื่นตาตื่นใจกับตู้สล็อตเฉยๆ 555555
ส่วนนี่เป็นทริปนิวยอค
เป็นเมืองที่ตึก ตึก ตึก เต็มไปหมด ละคือเเต่ละตึกเเบบ โอ้โหหหหห
TIME SQUARE
STATUE LIBERTY
ส่วนนี้ไป GAY PRIDE ในซานฟรานค่ะ
City Hall กลางคืน ช่วงมีงาน
เดย์ออฟน้อยนิดของเราก็ไม่เคยอยู่บ้าน ไปเดินเล่นในซานฟราน ไปพลาซ่าแถวบ้าน ไปแฮงค์เอ้ากับเพื่อนที่ทำงาน จิปาถะ ช้อปเหมือนคนบ้า จนพี่เราบอกว่า ซื้อของเหมือนคนไม่เคยซื้อ 55555555555555555 ผลคือการแบกของกลับไทยมาไม่หมดค่ะ ต้องให้คนที่นู้นส่งตามหลังมา ฮื่อออ อีบ้า
เวลาไปเที่ยวเราไม่ประหยัดเลยนะคะ ขอสารภาพ ซื้อทุกอย่างที่อยากซื้อ กินทุกอย่างที่อยากกิน ไม่เคยไปเที่ยวแล้วฝากท้องกับมาม่าจืดๆหรือแซนวิชเย็นๆเลย
แต่พอวันที่เราทำงานกินข้าวที่ร้าน อยู่บ้านกรองน้ำก๊อกใส่ตู้เย็น ถ้ารู้ว่าจะได้เดย์ออฟเราขอข้าวจากที่ร้านมาเก็บไว้เลยค่ะ
ช่วงเราใกล้กลับคือเป็นการใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงมาก เลิกงานสามสี่ทุ่มก็ไปแฮงค์เอ้า ไปปาร์ตี้ต่อ เช้ามาก็ตื่นไปทำงาน เคยแฮงค์แล้วไปเสริฟ ทำงานอยู่ก็วิ่งไปอ้วก ถึงขั้นแบบไปนั่งร้องไห้ในห้องน้ำอ่ะ พูดเลยว่าเข็ดมาก
สรุปแล้วสามเดือนเราคืนค่าโครงการแม่ทั้งหมด เเถมให้แม่ไปอีกหลายหมื่นเลย ช้อปเป็นคนบ้า ไปแอลเอสองรอบ ลาสเวกัส นิวยอค ซานฟราน แล้วก็มีเงินเก็บกลับมาประมาน 50000 บาท แถมไปที่นู้นเพื่อนร่วมงานดีมากกกกกกก มากกแบบกอไก่ล้านตัว ทุกคนดีกับเราจริงๆ ถึงส่วนมากที่เจอจะเป็นคนไทยก็เถอะ เรื่องภาษาถึงเพื่อนร่วมงานส่วนมากจะเป็นไทย แต่เราว่าภาษาเราพัฒนาขึ้นมาบ้าง
จากที่ไม่กล้าสั่งกาแฟเลย กลัวเค้าถามนู้นถามนี่แล้วฟังไม่ออก จนถึงตอนนี้ที่ไม่ใช่แค่สั่งกาแฟ แต่ต่อสู้กับทุกคนได้ เราก็ถือว่าโอเค อาจจะได้เรื่องภาษาไม่มาก แต่ก็ไม่น้อยเลย
สุดท้ายเเล้วอย่าเรียกว่ารีวิวเลย เรียกว่าอวดจะดีกว่า จริงๆอยากให้ทุกคนได้มาเจอประสบการณ์เเบบเรานะ มาเวิคกันเถอะค่าาา มันดีจริงๆ เชื่อเถอะ