เห็นเรื่องนี้แชร์กันทั้งในไลน์และ Facebook ถ้าเป็นเรื่องจริงก็น่าชื่นชมและน่ายกย่อง แต่น่าแปลกที่พยายามค้นหาแหล่งอ้างอิงที่มายังไงก็หาไม่เจอ หลายๆคนอ่านจบก็ตื้นตันกันแล้วก็แชร์กันต่อๆ ไปโดยไม่ได้นึกสงสัยอะไรกันเลย ถ้าสมาชิกท่านใดมีข้อมูลเรื่องนี้ที่พออ้างอิงได้จริงๆ รบกวนช่วยแนะนำด้วยครับ
เฉพาะชื่อของคนคนหนึ่งชื่อ ราคาแปดพันล้าน
สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศเยอรมันมีบริษัททรัสท์เล็กๆแห่งหนึ่งชื่อ บ.บาบีนา รับดูแลของมีค่าของลูกค้าโดยเฉพาะ
พอสงครามปะทุ ลูกค้าทยอยเบิกของมีค่าของตัวเองแล้วรีบหนีไปที่อื่นกัน
ส่วนเจ้าของบริษัทรวบรวมทรัพย์สินของตนแล้วก็หนีสงครามไปที่อื่น เหลือแต่พนักงานหญิงคนหนึ่งที่ชื่อ'เซีย'ยังอยู่เพื่อเคลียของฝากที่ลูกค้าที่ยังไม่เบิกไป
ระเบิดเริ่มถล่มลงมาบริเวณรอบๆบริษัท แต่เธอยังคงนั่งเช็คบัญชีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วพบว่ามีลูกค้าชื่อ'ไลเกอร์'ยังไม่ได้มาเบิกทับทิมของเขาซี่งมีราคาประมาณ 5 พันล้านมาร์ค
เซียเก็บเอกสารและทับทิมที่ลูกค้าฝากไว้เก็บใส่กล่องแล้วก็ออกจากบริษัท หลังจากนั้นไม่กี่วันบริษัทบาบีนาถูกระเบิดถล่มเรียบเป็นหน้ากลอง
เซียเองก็เหมือนชาวบ้านทั่วไปที่ต้องหนีสงครามไปทุกหนแห่ง แต่สิ่งที่เซียต้องพกติดตัวตลอดก็คือเอกสารและทับทิมของลูกค้าที่ฝากไว้
เธอเองยังคงคิดว่า เธอคือพนักงานของบริษัทบาบีน่า จะรอให้สงครามสงบแล้ว จะนำเอกสารและทับทิมคืนให้กับบริษัท
หลังจากสงครามสงบ เธอและลูกสามคนกลับมาที่เบอร์ลิน แต่เจ้าของบริษัททรัสท์ได้เสียชีวิตในระหว่างสงคราม บริษัทก็ไม่เหลืออยู่โดยปริยาย
แต่เซียยังคงเก็บรักษาทับทิมของลูกค้าเอาไว้ แม้ลูกค้าจะยังไม่มารับไป เธอรักษาความซื่อสัตย์ของบริษัทเอาไว้
หลายปีผ่านไปเซียใช้ชีวิตลำบากมากกับลูกสามคน
ในความเป็นจริง บริษัทไลเกอร์ไม่เหลืออยู่แล้วในระหว่างสงคราม ทับทิมที่มีค่ามหาศาลนั้น เจ้าของก็ไม่รู้อยู่ที่ไหนแล้ว เซียสามารถนำทับทิมที่มีค่ามหาศาลนี้ไปขาย
แล้วใช้ชีวิตอย่างสุขสมบูรณ์ได้โดยไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลย
แต่เธอไม่ได้คิดเรื่องนี้ เธอคิดอย่างเดียวว่ามันคือหน้าที่ของเธอ จะไม่ทำในสิ่งที่ไม่ควร
ปี1978รัฐบาลต้องการสร้างพิพิธภัณฑ์สงครามโลกครั้งที่สอง เซียได้นำเอกสารและทับทิมออกมามอบให้ ทางรัฐบาลพยายามทุกวิถีทางหาญาติของไลเกอร์จนพบหลานชื่อโดล และได้ตอบรับจะแบ่งให้ครึ่งหนึ่งหลังจากขายทับทิมได้ เซียปฏิเสธที่จะรับสิ่งตอบแทนอื่น นอกจากจะขอรับแต่ค่าแรงที่ดูแลรักษาเอกสารและทับทิมนี้ก็พอ
หลังจากเรื่องนี้ถูกตีพิมพ์เป็นข่าวออกไป ผู้คนประทับใจกับความซื่อสัตย์นี้เป็นอย่างมาก
มีคนให้เสนอเธอเป็นที่ปรึกษาของหอการค้า เธอปฏิเสธว่าเธอมีอายุมากแล้ว ต่อมามีบริษัททรัสท์ใหญ่หลายบริษัท
ขอให้เธอดำรงตำแหน่งประธานกิตติมศักดิ์ เธอก็ปฏิเสธหมด ไม่นานนัก เธอก็ถึงแก่กรรม
หลายบริษัทมาหาลูกชายเซียชื่อคลิสขอซื้อสิทธิ์ชื่อ"เซีย"มาเป็นชื่อบริษัทของตน
คลิสจึงใช้วิธีประมูล สุดท้ายบริษัทเพลโตประมูลได้ด้วยราคา 8 พันล้านมาร์ค
หลายคนไม่เข้าใจทำไมต้องใช้เงินมหาศาลเช่นนี้เพื่อแลกซื้อกับแค่ชื่อของคนคนเดียว
ประธานบริษัทเพลโตกล่าวว่า
"เซีย"ไม่ใช่แค่ชื่อคนคนหนึ่งแต่มันหมายถึงจิตวิญญานแห่งความซื่อสัตย์และสัจจะของผู้ประกอบการ มันคุ้มค่าสำหรับการใช้เงิน 8 พันล้านมาแลกซื้อชื่อนี้
ไม่นานนักบริษัทเพลโตเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทเซียทรัสท์ ทำให้ยอดทางธุรกิจเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว
ความซื่อสัตย์และสัจจะ
เดิมทีแล้วมันมีคุณค่าอยู่ในตัวชองมันเองอยู่แล้ว
เมื่อคุณมีความศรัทธากับมันจนเป็นหน้าที่ของคุณ คุณก็จะได้ใจและความเชื่อถือของผู้คน ในที่สุดเงินทองจะไหลมาเทมา
Share ( or Hoax ) of the week
เฉพาะชื่อของคนคนหนึ่งชื่อ ราคาแปดพันล้าน
สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศเยอรมันมีบริษัททรัสท์เล็กๆแห่งหนึ่งชื่อ บ.บาบีนา รับดูแลของมีค่าของลูกค้าโดยเฉพาะ
พอสงครามปะทุ ลูกค้าทยอยเบิกของมีค่าของตัวเองแล้วรีบหนีไปที่อื่นกัน
ส่วนเจ้าของบริษัทรวบรวมทรัพย์สินของตนแล้วก็หนีสงครามไปที่อื่น เหลือแต่พนักงานหญิงคนหนึ่งที่ชื่อ'เซีย'ยังอยู่เพื่อเคลียของฝากที่ลูกค้าที่ยังไม่เบิกไป
ระเบิดเริ่มถล่มลงมาบริเวณรอบๆบริษัท แต่เธอยังคงนั่งเช็คบัญชีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วพบว่ามีลูกค้าชื่อ'ไลเกอร์'ยังไม่ได้มาเบิกทับทิมของเขาซี่งมีราคาประมาณ 5 พันล้านมาร์ค
เซียเก็บเอกสารและทับทิมที่ลูกค้าฝากไว้เก็บใส่กล่องแล้วก็ออกจากบริษัท หลังจากนั้นไม่กี่วันบริษัทบาบีนาถูกระเบิดถล่มเรียบเป็นหน้ากลอง
เซียเองก็เหมือนชาวบ้านทั่วไปที่ต้องหนีสงครามไปทุกหนแห่ง แต่สิ่งที่เซียต้องพกติดตัวตลอดก็คือเอกสารและทับทิมของลูกค้าที่ฝากไว้
เธอเองยังคงคิดว่า เธอคือพนักงานของบริษัทบาบีน่า จะรอให้สงครามสงบแล้ว จะนำเอกสารและทับทิมคืนให้กับบริษัท
หลังจากสงครามสงบ เธอและลูกสามคนกลับมาที่เบอร์ลิน แต่เจ้าของบริษัททรัสท์ได้เสียชีวิตในระหว่างสงคราม บริษัทก็ไม่เหลืออยู่โดยปริยาย
แต่เซียยังคงเก็บรักษาทับทิมของลูกค้าเอาไว้ แม้ลูกค้าจะยังไม่มารับไป เธอรักษาความซื่อสัตย์ของบริษัทเอาไว้
หลายปีผ่านไปเซียใช้ชีวิตลำบากมากกับลูกสามคน
ในความเป็นจริง บริษัทไลเกอร์ไม่เหลืออยู่แล้วในระหว่างสงคราม ทับทิมที่มีค่ามหาศาลนั้น เจ้าของก็ไม่รู้อยู่ที่ไหนแล้ว เซียสามารถนำทับทิมที่มีค่ามหาศาลนี้ไปขาย
แล้วใช้ชีวิตอย่างสุขสมบูรณ์ได้โดยไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลย
แต่เธอไม่ได้คิดเรื่องนี้ เธอคิดอย่างเดียวว่ามันคือหน้าที่ของเธอ จะไม่ทำในสิ่งที่ไม่ควร
ปี1978รัฐบาลต้องการสร้างพิพิธภัณฑ์สงครามโลกครั้งที่สอง เซียได้นำเอกสารและทับทิมออกมามอบให้ ทางรัฐบาลพยายามทุกวิถีทางหาญาติของไลเกอร์จนพบหลานชื่อโดล และได้ตอบรับจะแบ่งให้ครึ่งหนึ่งหลังจากขายทับทิมได้ เซียปฏิเสธที่จะรับสิ่งตอบแทนอื่น นอกจากจะขอรับแต่ค่าแรงที่ดูแลรักษาเอกสารและทับทิมนี้ก็พอ
หลังจากเรื่องนี้ถูกตีพิมพ์เป็นข่าวออกไป ผู้คนประทับใจกับความซื่อสัตย์นี้เป็นอย่างมาก
มีคนให้เสนอเธอเป็นที่ปรึกษาของหอการค้า เธอปฏิเสธว่าเธอมีอายุมากแล้ว ต่อมามีบริษัททรัสท์ใหญ่หลายบริษัท
ขอให้เธอดำรงตำแหน่งประธานกิตติมศักดิ์ เธอก็ปฏิเสธหมด ไม่นานนัก เธอก็ถึงแก่กรรม
หลายบริษัทมาหาลูกชายเซียชื่อคลิสขอซื้อสิทธิ์ชื่อ"เซีย"มาเป็นชื่อบริษัทของตน
คลิสจึงใช้วิธีประมูล สุดท้ายบริษัทเพลโตประมูลได้ด้วยราคา 8 พันล้านมาร์ค
หลายคนไม่เข้าใจทำไมต้องใช้เงินมหาศาลเช่นนี้เพื่อแลกซื้อกับแค่ชื่อของคนคนเดียว
ประธานบริษัทเพลโตกล่าวว่า
"เซีย"ไม่ใช่แค่ชื่อคนคนหนึ่งแต่มันหมายถึงจิตวิญญานแห่งความซื่อสัตย์และสัจจะของผู้ประกอบการ มันคุ้มค่าสำหรับการใช้เงิน 8 พันล้านมาแลกซื้อชื่อนี้
ไม่นานนักบริษัทเพลโตเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทเซียทรัสท์ ทำให้ยอดทางธุรกิจเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว
ความซื่อสัตย์และสัจจะ
เดิมทีแล้วมันมีคุณค่าอยู่ในตัวชองมันเองอยู่แล้ว
เมื่อคุณมีความศรัทธากับมันจนเป็นหน้าที่ของคุณ คุณก็จะได้ใจและความเชื่อถือของผู้คน ในที่สุดเงินทองจะไหลมาเทมา