JJNY : 'พันธมิตร' ออกแถลงการณ์เตรียมดำเนินคดีอาญา 'ปปช.' ปมอุทธรณ์รายเดียวคดีสลายชุมนุม51 ชี้ไม่เป็นธรรม สังคมเคลือบแคลง

กระทู้คำถาม
เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม เวลาประมาณ 11.30 น. ที่บ้านพระอาทิตย์ ถนนพระอาทิตย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ มีการจัดแถลงข่าวโดยคณะทำงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เรื่อง ‘ดำเนินคดีอาญากับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ’ จากกรณีที่มีการลงมติเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม ให้อุทธรณ์คดีการสลายการชุมนุม เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 เฉพาะ พล.ต.ท. สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาลเพียงรายเดียว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีแกนนำ พร้อมด้วยผู้ประสบเหตุในกรณีดังกล่าว รวมถึงประชาชนจำนวนหนึ่งร่วมแถลงข่าว อาทิ นายสุริยะใส กตะศิลา, นายวีระ สมความคิด, นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตร, นายสิทธิชัย มานะเสถียร อดีตผอ.สำนักงานปปช. จังหวัดมหาสารคาม เป็นต้น

นายปานเทพรับหน้าที่อ่านแถลงการณ์ ซึ่งมีเนื้อหาโดยสรุป เกี่ยวกับความเห็นของที่ประชุมคณะทำงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่มีความเห็นร่วมกันว่าการลงมติของปปช. มีความไม่เป็นธรรม ทำให้สังคมเคลือบแคลงสงสัย ว่ามีเจตนาฝืนมติปปช.ชุดเดิมที่ลงมติด้วยเพราะมีพยานหลักฐานชัดเจนว่าจำเลยทั้ง 4 มีความผิดอย่างชัดเจน การเลือกปฏิบัติโดยอุทธรณ์เพียงรายเดียว ทำให้สังคมเปรียบเทียบกับมาตรฐานทุจริตจำนำข้าว สังคมอาจสงสัยว่าบทลงโทษและการจำคุกจริงไม่ได้มีไว้สำหรับพวกพ้อง คณะทำงานพันธมิตรฯ จึงมีมติให้ดำเนินคดีความอาญากับคณะกรรมการ ปปช.ที่เกี่ยวข้องกับการลงมติดังกล่าว

เนื้อหาในแถลงการณ์ มีดังนี้

แถลงการณ์ฉบับที่ 3/2560 คณะทำงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

เรื่องดำเนินคดีอาญากับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
จากกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจิตรแห่งชาติ (ปปช.) ได้ลงมติเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2560 ให้อุทธรณ์คดีการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 เฉพาะ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาลเพียงคนเดียว และลงมติไม่อุทธรณ์คดีนี้กับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี, พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ นั้น คณะทำงานด้านกฎหมายและคดีความของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทนายความ ผู้เสียหาย และผู้ที่เกี่ยวข้องได้มาประชุมกันและมีความเห็นดังนี้

การลงมติครั้งนี้มีความไม่เป็นธรรม และทำให้สังคมมีความเคลือบแคลง สงสัย ว่าคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มีเจตนาที่จะกระทำฝืนมติคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติชุดเดิมที่ลงมติด้วยเพราะมีพยานและหลักฐานว่าจำเลยทั้ง 4 มีความผิดอย่างชัดเจน ในขณะที่มติของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองก็ได้พิพากาอย่างไม่เป็นเอกฉันท์ อันรวมถึงนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี , พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ด้วย

จึงไม่มีเหตุผลอันสมควรที่จะไม่ทำการอุทธรณ์จำเลยที่เหลือทั้ง 3 คน แม้จะมีเพียงเสียงเดียวในศาลฎีกาที่เห็นควรพิพากษาลงโทษจำเลยที่เหลือทั้ง 3 คน แต่ก้เป็นคำวินิจฉัยส่วนตนที่มีน้ำหนัก จึงยังไม่สามารถทำให้มติคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจรติแห่งชาติชุดเดิมสิ้นกระแสสงสัยได้โดยไม่ทำการอุทธรณ์

การไม่อุทธรณ์บุคคลดังกล่าวข้างต้นนั้น จึงเท่ากับเป็นการช่วยเหลือจำเลยทั้ง 3 มิให้มีการพิจารณาในที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกาอย่างชัดเจน

เมื่อรวมกับพฤติการณ์ที่ทราบกันโดยทั่วไปในสังคมนี้ว่า คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสียงข้างมากในยุคปัจจุบันได้มาจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และส่วนที่เหลือก็สืบเนื่องต่อมาจากสมัยรัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวิตร อีกทั้งยังเป็นที่ทราบกันดีว่า พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ จำเลยในคดีนี้ เป็นน้องชายของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกอบกับพฤติการณ์ของกรรมการบางรายในคณะกรรมการปปช.ที่เคยแสดงความเห็นและมีความพยายามที่จะถอนคดีนี้ออกจากการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมาก่อนหน้านี้ ทำให้สังคมอาจเชื่อว่ามีการเลือกปฏิบัติ ไม่อุทธรณ์จำเลยที่เหลือทั้ง 3 คน เพราะต้องการช่วยเหลือพรรคพวกเฉพาะกลุ่มโดยไม่สนใจความยุติธรรมให้กับผู้บาดเจ็บล้มตายในคดีการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 หรือไม่

การกระทำดังกล่าว ย่อมไม่สามารถสร้างความปรองดองให้กับคนในชาติได้ เพราะความขัดแย้งที่ผ่านมาเกิดขึ้นเพราะความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นในกระบวนการยุติธรรม ที่ผู้มีอำนาจในแต่ละยุค พยายามใช้ทุกกลไกของรัฐ ล้างความผิดให้กับพรรคพวกของตนเอง และใช้ กระบวนการยุติธรรมเพื่อทำลายฝ่ายตรงกันข้ามตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา

การเลือกปฏิบัติโดยการลงมติให้อุทธรณ์เฉพาะ พล.ต.ท. สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาลเพียงคนเดียวเท่านั้น ย่อมทำให้สังคมสามารถเปรียบเทียบกับมาตรฐานคดีทุจรติจำนำข้าว ที่ผู้บังคับบัญชาแม้เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองก็ต้องได้รับบทลงโทษด้วย แต่กลับปรากฏว่าคสช.และหน่วยงานความมั่นคงกลับถอนกำลังทหารในการประกบติดตาม และปล่อยให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หนีคำพิพากษาของศาลไปได้

ในขณะที่คณะกรรมการปปช.ซึ่งมีองค์ประกอบเสียงข้างมากที่เกิดขึ้นในยุครัฐประหารครั้งนี้ไม่อุทธรณ์คดีนี้เพื่อเป็นประโยชน์แก่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ , พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธและ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ
กรณีนี้ย่อมให้สังคมอาจมีความสงสัยว่าบทลงโทษและการจำคุกจริงไม่ได้มีไว้สำหรับพวกพ้องของตัวเองหรือชนชั้นนำที่จะเป็นหุ้นส่วนอำนาจการเมืองในอนาคตหรือไม่ การกระทำเช่นนี้ย่อมทำให้สังคมถูกแบ่งชนชั้นในการเลือกปฏิบัติในกระบวนการยุติธรรม หากเป็นเช่นนั้น ย่อมจะสร้างความแตกแยกในสังคมให้เกิดขึ้นต่อไปอย่างแน่นอน

คณะทำงานพันธมิตรประชาชนเพือประชาธิปไตยจึงมีมติให้ดำเนินคดีความอาญากับคณะกรรมการปปช.ที่เกี่ยวข้องกับการลงมติดังกล่าวต่อไป
ด้วยจิตคารวะ

พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

วันที่ 30 สิงหาคม 2560

ณ บ้านพระอาทิตย์
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่