เล่าสู่กันฟัง : มหากาพย์ปอดรั่ว

สวัสดีค่ะทุกคน    วันนี้เราอยากมาแชร์ประสบการณ์เกี่ยวกับโรคปอดรั่ว ซึ่งเป็นเรื่องราวของรุ่นน้องของ จขกท.ค่ะ
เราเห็นว่าเป็นโรคที่หาข้อมูลได้ค่อนข้างยากในสื่อต่างๆ และมีประโยชน์สำหรับทุกคน เราจึงขอน้องเพื่อนำมาแชร์ในพันทิปให้ทุกคนได้ทราบและเป็นการป้องกันตัวเองด้วยค่ะ  หรือเผื่อใครมีคนใกล้ตัวหรือคนรู้จักมีอาการดังกล่าวจะได้เตรียมตัวได้อย่างทันท่วงทีนะคะ
อาจจะยาวนิดนึงแต่อยากให้อ่านจริงๆค่ะ


--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตัดสินใจเขียนขึ้นเพราะมีคนสงสัยเยอะว่ามันคืออะไร เป็นได้ไง ตอนไหน บลาๆ จะมาไล่เรียงและเล่าให้ฟังเผื่อใครกำลังมีอาการแบบเดียวกัน จะได้เฝ้าระวัง และเช็คตัวเองได้นะคะ
อันนี้เล่าจากประสบการณ์และสิ่งที่เจอมาเนอะ เป็นปอดรั่ว 3 ครั้ง เหมือนหนัง 3 ภาคอะ ภาคแรกปฐมบทภาค 2 จะพีคๆหน่อยภาค 3 นี่ลุ้นๆว่าจะเป็นไงต่อ คิดว่าแต่ละเคสก็คงมีความเหมือนและต่างกันนิดๆหน่อย พูดตามภาษาคนเอ๋อๆที่ไม่ได้เรียนหมอนะ ถ้าคำไหนมั่วๆมาบอกนะคะเดี๋ยวแก้ให้ (แบ่ง 6พาร์ทให้ ไม่งั้นเป็นพรืดเลย เพิ่งคิดได้ว่าน่าจะต้องจดบันทึกไว้)


1
เราเป็นปอดรั่ว (pneumothorax) ครั้งแรกตอนม.6 วันนั้นมีคอนเสิร์ตที่โรงเรียนก็ไปเต้นๆแหกปาก แล้วอยู่ๆก็เหนื่อยแบบหายใจไม่ทันเลย ตอนแรกคิดว่าหอบ(โรคประจำตัว) แต่อาการมันต่างตรงที่ทุกครั้งที่หายใจเข้ามันจะเจ็บที่บริเวณไหล่และหลังเหมือนมีคนเอาเข็มมาทิ่มจึ้กๆ จนหายใจเข้าไม่ได้ พี่พาไปส่งห้องพยาบาล เราก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร หายใจเร็วจนเป็นไฮเปอร์ ครูก็รีบโทรตามพ่อแม่มา แต่ผ่านไปสักพักก็หายแม้จะยังเหนื่อยๆอยู่ พ่อแม่มารับกลับไม่ได้พาไปโรงพยาบาล แต่ผ่านไป 2 วันแม่ก็ยังเห็นว่าทุกครั้งที่เราหายใจเข้าลึกๆจะจิ้มๆที่แถวไหล่และไหปลาร้าเหมือนเจ็บๆ เลยพาไปหาหมอ X-ray ดูพบว่าเป็นปอดรั่ว แต่ร่างกายมันฟื้นเอง ก็ต้องระวังอย่ายกของหนัก อย่าใช้ปอดเยอะเกิน
โรคนี้เมื่อก่อนส่วนใหญ่จะเป็นกับผู้ชาย สูง ผอม เดี๋ยวนี้ก็เริ่มมีผู้หญิงผอมเป็นบ้างประปราย วัยรุ่นเป็นเยอะด้วย
เราคิดว่าเป็นโรคที่ไม่ร้ายแรงเพราะมันดูจะฟื้นเองได้ เลยใช้ชีวิตแบบปกติ แต่ก็ได้ความรู้มาว่าจะต้องระวังอะไรบ้าง เป็นไฮเปอร์ต้องทำยังไงจนกระทั่งขึ้นปี 3



2
วันนั้นเราไปเที่ยวสยามกับพี่สาวและน้องชาย พี่สาวลืมของจนต้องวิ่งจากพารากอนไปสยามแสควร์แล้ววิ่งกลับมาเข้าโรงหนัง ตอนดูพี่มากพระโขนงก็ขำๆ แต่ที่แปลกๆก็คืออยู่ๆมันเริ่มเจ็บอีกแล้ว
พอออกจากโรงหนังมากินข้าวเราก็รู้สึกได้เลยว่ากินไม่ไหว มันเจ็บไหล่ มันเหนื่อยๆ  ซีกซ้ายเหมือนจะไม่มีแรง จนต้องบอกน้องว่าเรียกแท็กซี่กลับตรงนี้เลย คิดว่าแค่กลับไปพักน่าจะหาย กลายเป็นว่าหลังอาบน้ำเสร็จ มึนหัว หายใจเข้าแล้วเจ็บจี๊ดที่ซีกซ้ายตั้งแต่ไหล่ไปถึงกลางหลัง พอหายใจออกมันก็รู้สึกหน่วงๆ ยิ่งหายใจก็ยิ่งเจ็บ แขนซ้ายชาไปหมดเหมือนร้าวไปครึ่งซีก จังหวะนั้นรู้ทันทีว่ามันเริ่มอันตรายละเพราะเริ่มพูดไม่รู้เรื่อง หัวตื้อๆ แม่ตัดสินใจพาไปโรงพยาบาลในคืนนั้นทันที
เราโดนส่งไปห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล ให้ออกซิเจนและรีบพาไป X-ray โชคดีหน่อยที่เรารู้มาก่อนว่าอาการนี้อาจจะเป็นปอดรั่วเลยรีบบอกหมอ พอดูผลตรวจก็เห็นเลยว่าปอดข้างซ้ายเล็กกว่าข้างขวาและน่าจะกำลังแฟบลงเรื่อยๆ

*อธิบายให้เข้าใจง่ายๆก็เหมือนในปอดมีถุงลมเล็กๆอยู่แล้วด้านบนมันแตกโป้ะ ทำให้เกิดรูรั่ว ลมมันก็ออกมาจากปอดเรื่อยๆ พอเยื่อหุ้มปอดด้านนอกมีลมมาแทนที่ มันก็ดันปอดให้เล็กลง



*อันนี้ภาพรั่วครั้งที่ 3 จะให้ดูว่าเส้นสีขาวๆที่เห็นก็คืออากาศที่เราสูดเข้าไปมันจะยาวไปทั่วปอด (ในวงกลมดำ) แต่วงกลมแดงมันจะเป็นสีดำปี๋ซึ่งหมายความว่าไม่มีอากาศไปถึง


คืนนั้นหมอผ่าตัดเล็กให้โดยการเอาสายยางเส้นผ่าประมาณ1.5เซน (ไม่แน่ใจ) จิ้มเข้าไปข้างชายโครงเพื่อเอาลมออกจากส่วนเยื่อหุ้มปอดเพื่อหยุดการแฟบของปอด
หลังจากนั้นต้องใช้เวลาในการรอให้ลมออกมาจากปอดให้ได้มากที่สุดซึ่งวิธีที่ดีที่สุดคือใช้ไตรโฟร ดูดลูกบอลให้ขึ้นไปที่จุดสูงสุดทั้งสามลูกนาน 10 วิ (อันนี้ถือว่าปอดแข็งแรง) บอลแต่ละลูกจะบอกปริมาณอากาศที่เราสูดเข้าไป (ลูกแดงขึ้นก่อนแล้วก็ถัดๆมา) การทำเช่นนี้จะช่วยให้ปอดขยายตัวได้เร็วขึ้น ซึ่งตอนนั้นแค่ลูกแรกก็เต็มกลืนแล้ว


*หน้าตาของไตรโฟรค่ะ



3
คนบางคนแค่เจาะเอาลมออก พอปอดเต็มก็ดึงสายออกแล้วถือว่าจบกันไป
แต่มีอีกวิธีที่ทำให้หายแบบลาก่อย คือผ่าตัดแล้วเย็บรอยรั่วเลย ซึ่งหมอจะทำการสอดกล้องไปเย็บรอยรั่วด้วยแม็กไทเทเนียม (ไม่ดังตอนตรวจจับโลหะนะ) ในปอดเรายังมีถุงลมเล็กๆอยู่ โอกาสที่จะแตกอีกมีแน่นอน หมอจะขูดรอบๆเพื่อสร้างพังผืดให้ปอดติดกับเยื่อหุ้มปอด เพราะงั้นถึงถุงลมจะแตกอีกแต่ปอดจะไม่แฟบลง
ช่วงผ่าตัดก็ดมยาสลบ ฟื้นอีกทีหลังจากนั้น 3 ชั่วโมง ขอบคุณวิทยาการทางการแพทย์ปัจจุบันที่ทำให้เราได้แค่แผลเป็นสองจุดตรงสีข้างเล็กๆ
หลังผ่าเสร็จ สายยางที่เอาลมออกยังติดอยู่กับตัวไม่หายไปไหน ต้องดูดบอลกันรัวๆจนขึ้น 2 ลูก (ลูก3 ขึ้นยากมากกก) ให้ปอดขยายใหญ่ขึ้น ระหว่างนั้นก็ต้อง X-ray ทุกวันเพื่อดูสภาพปอด พอปอดอยู่ในสภาพโอเคหมอก็ดึงสายออกแบบสดๆ ไม่ฉีดยาชาอะไรทั้งนั้น (มีความซาดิส 555) เขาจะให้หันข้างหายใจลึกสุดแล้วกลั้นไว้ จนหมอดึงออก แปะโน่นนั่นนี่เสร็จถึงจะหายใจได้ แผลจากสายยางไม่เย็บ ให้สมานเอง(เราตกใจตอนหมอกระชากจนเผลอกระตุกนิดนึง หมอว่าเลยว่านี่แอบหายใจใช่มั้ย! TT ไม่ดีนะคะทุกคน มันจะทำให้ลมหลุดเข้าไปนิดนึง)


*นี่ตอนเข็นไปผ่าตัดจะเห็นว่ามีสายโยงออกมาจากตัวต่อเข้ากับขวด เอาไว้ใช้ไล่ลมค่ะ


ที่เหลือก็เป็นเรื่องของการพักฟื้นและการบริหารปอด หมอนัด Follow up เรื่อยๆเป็นเวลา 1 ปี พร้อมกับข้อห้ามมากมายเช่น ห้ามหัวเราะหนัก ช่วงแรกๆก็ไม่มีอารมณ์จะหัวเราะเหมือนกัน เจ็บบบ
** ห้ามขึ้นเครื่องบินและดำน้ำเป็นเวลา 1 ปี และ ห้ามยกของหนัก ** อันนี้สำคัญมากเพราะความดันเปลี่ยนและการยกของหนักส่งผลต่อปอด

หลังผ่าก็เคยรู้สึกหายใจแล้วเจ็บๆตอนขึ้นเขา แต่สักพักก็หายเอง เลยคิดว่าอาจมีการแตกแต่ปอดไม่แฟบแล้ว



4
จริงๆเรื่องควรจบที่ตรงนี้ หลังจากผ่านไป 4 ปี ....แต่แล้ว!!
วันเสาร์ที่ 19 สิงหาที่ผ่านมา เรากำลังนั่งดูทีวีแล้วก็ขำๆกับแม่ อยู่ๆก็รู้สึกว่ามันกลับมาแล้วว อิความรู้สึกหายใจแล้วเจ็บที่ช่วงไหล่ลามไปหลัง ยิ่งพอลองหายใจลึกๆมันจะมีช่วงจึ้กๆเหมือนมีคนเอาเข็มมาจิ้มจี๊ดๆ เนื่องจากว่าเคยเป็นมาแล้ว ครั้งนี้เลยพยายามดึงสติ ค่อยๆหายใจเข้า (ถึงจะเจ็บมาก) แต่ถ้าไม่พยายามหายใจช้าๆจะเป็นไฮเปอได้และอาจหนักกว่าเดิม มือเริ่มรู้สึกชาๆแต่ยังขยับได้เลยให้น้องเอาถุงก๊อปแก็ปมาครอบจมูกกับปากดู แขนก็ค่อยๆชาน้อยลง
ตรวจสอบกับตัวเองด้วยการถามย้ำซ้ำๆว่า “นี่เจ็บปอดหรือเจ็บกล้ามเนื้อ?” เราเชื่อว่าบางคนต้องเคยหายใจแล้วอยู่ๆเจ็บ แต่บางทีมันอาจจะเกิดจากการหายใจและกล้ามเนื้อขยายก็เลยปวดหลังหรือเจ็บหลัง  ต้องพยายามแยกให้ออกก่อนว่าเจ็บอะไร เราลองหายใจเข้าลึกๆ ดูว่าเจ็บมั้ย แล้วลองกลั้นหายใจเพื่อเทียบว่าถ้าไม่หายใจแรงจะยังเจ็บหลังมั้ย ตอนนั้นความรู้สึกมันใกล้เคียงกับ 4 ปีก่อนมากก ต่างตรงที่ว่าเบาบางกว่า อย่างเช่น มือเราเย็นรู้สึกชาเล็กๆแต่ยังขยับแบบยกขึ้นได้กำมือได้ ไม่ได้มึนหัว รู้สึกเจ็บแต่ยังหายใจไหว ไม่แบบเจ็บจนไม่อยากหายใจ ช่วงตอนระหว่างลุกขึ้นกับนอนลงเจ็บมากกก พยายามคิดว่าคงจะแตกแหละ แต่ไม่น่าแฟบมั้งง ก็ผ่าไปแล้วนี่นา ข้างเดิมเลย!
ตัดสินใจรอจนวันจันทร์  ทั้งๆที่ยังเจ็บอยู่ ไปโรงพยาบาลบอกหมอว่าสงสัยปอดรั่วข้างเดิม หมอบอกจะเป็นได้ไงผ่าแล้วไม่ใช่เรอะ ส่งไป X-ray ได้ความว่า รั่วอีกแล้วจ้าาา //จังหวะนั้นสติหลุดและภาพในอดีตฉายวาบเข้ามาละ 55555


*จะเห็นเส้นปอดเลยว่ามีช่วงถมดำเล็กๆด้านบนซึ่งนั่นคืออากาศที่รั่ว
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
5
ในวันเดียวกันเราไปหาหมอที่เคยผ่า หมอให้แอดมิดคืนนั้นเลยเพราะไม่รู้ว่ามันจะแฟบหรืออะไรยังไง แต่เขาได้บอกว่าที่มันไม่หนักเท่าครั้งที่แล้วเพราะปอดที่อยู่ด้านข้างๆพังผืดติดหมดเลย แต่ส่วนบนดันไม่ติด ไม่ก็เคยติดแต่แตกเยอะ ซึ่งทำให้ลมออกมาได้ (เราเลยเจ็บช่วงไหล่ ไหปลาร้า)
แอดมิดรอดูอาการก่อน ถ้ามันแย่ลง เราต้องเข้าเครื่อง CT แล้วเจาะแบบเรียลไทม์จากช่วงไหปลาร้าเพื่อดูดเอาลมออกและอาจจะฉีดยาลงไปให้ปอดติด ระหว่างนี้ดมออกซิเจนเพื่อช่วยให้ปอดขยายไปก่อน
หลังจาก X-ray ดูอาการ 3 วัน หมอก็บอกว่าปอดไม่ได้ใหญ่ขึ้น แต่มันก็ไม่ได้เล็กลง ซึ่งตอนแรกหมอเรสซิเดนท์(หมอประจำบ้าน) บอกว่าอาจต้องเจาะ แต่อาจารย์หมอบอกว่า ไม่อยากทำให้เป็นเรื่องใหญ่ สุดท้ายหมอตัดสินใจไม่เจาะให้
อาจารย์หมออธิบายให้ฟังว่า
“หลังจากดูอาการ 3 วัน เนื่องจากมีแนวโน้มว่ามันไม่น่าจะแฟบลงไปกว่านี้แล้ว แสดงว่าพังผืดข้างๆติดดี ส่วนที่รั่วเลยติดอยู่ด้านบนไปไหนไม่ได้ เลยกลายเป็นลมก้อนเล็กๆ ซึ่งถ้าถึงกับต้องเจาะเราอีก มันจะเป็นการขี่ช้างจับตั๊กแตน แถมถ้าตอนเจาะเกิดโดนปอดที่ดีก็รั่วเพิ่ม (ถึงโอกาสเสี่ยงจะน้อยมาก แต่หมอก็ไม่อยากให้ทำ) อีกอย่างเราไม่ได้เจ็บเหมือนวันแรกๆ เจ็บแค่บางช่วงเท่านั้น ซึ่งจะกลายเป็นว่า ‘เจาะเพื่อทรีตผลX-ray’ แทน”
อาการแบบนี้หายเองได้แต่ต้องใช้เวลา หลังจากนี้เราก็ต้องดูดไตรโฟรต่อเพื่อให้ปอดขยายได้เร็วขึ้น และระมัดระวังเรื่องที่เคยห้ามๆไว้ อย่าเพิ่งขึ้นเครื่องหรือดำน้ำ อีก 1อาทิตย์ค่อยๆมา Follow up ดูอาการอีกทีว่าปอดจะเป็นยังไง ตอนนี้ก็ยังเจ็บๆบ้างบางโอกาสที่ขยับตัว บางช่วงหายใจแล้วจะรู้สึกฟืดๆที่ปอดเหมือนมีอะไรอยู่ รอลุ้นผลครั้งต่อไปที่ตรวจ ภาวนาให้ปอดดีขึ้น TT



6
สาเหตุทั้งหมดที่คุยกับหมอมาคิดว่าเป็นเพราะหัวเราะมากไปหรือดูคอน จริงๆแล้วนั่นไม่ใช่สาเหตุทั้งหมดนะคะ
มันเกิดจากการสั่งสมพฤติกรรมต่างๆที่เราทำมา ไม่ว่าจะขำหนักมาก ร้องไห้หนักมาก ตะโกน แหกปาก กรี๊ด วิ่งจนเหนื่อย แบกของ ดูคอน บลาๆๆ (รวมทั้งแต่เดิมเป็นคนปอดช่วงบนบาง) ทุกอย่างที่ใช้ปอดหนักๆมันสั่งสมๆๆจนถึงจังหวะนึงมันจะแตกมันก็แตกค่ะ ไม่มีสาเหตุตายตัว จริงๆโรคนี้คนสูบบุหรี่ควรมีโอกาสเป็นมากกว่าแต่เราดันเป็น...เศร้ามาก
จะเห็นว่าอย่างตอนที่เราเป็นครั้งที่2 เราคิดว่าคงเพราะไปเดินเล่นเสร็จ ก็รีบวิ่งไปเอาของแบบเหนื่อยๆ พอเข้าโรงก็ไปหัวเราะต่อ เหมือนใช้ปอดต่อเนื่องหนักๆ ไม่ใช่แค่หัวเราะแล้วจะเป็น
ที่น่ากลัวคือมันจะเกิดมันก็เกิด ต้นเดือนสิงหาเราเพิ่งไปตรวจสุขภาพ X-ray ปอดก็ปกติ ยังเต็มดี ผ่านไปแค่อาทิตย์เดียวปอดรั่ว
สิ่งที่ดีที่สุดคือเพิ่มน้ำหนักให้ตัวเอง เพราะคนอ้วนไม่ค่อยเป็นโรคนี้ค่ะ (จะเป็นโรคอื่นแทน -*-) คนผอมโอกาสเสี่ยงมีมากกว่า

ใครอยากรู้อะไรเพิ่มก็บอกนะคะ อาจจะตกๆไปบ้าง
ดูแลสุขภาพกันด้วยนะคะทุกคน
ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ค่า
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่