เรื่องนี้เป็นบันทึกการเดินทางไปซิดนีย์ของคุณพ่อของผม เอามาลงเน็ตให้ ยังไงฝากด้วยนะครับ
::: ::: :::
คณะเดินทางมี 4 คนประกอบด้วย พ่อแม่อายุ 70 ปี และลูกชายหญิงอายุ 34 และ 36 ปี เรายังไม่เคยไปซิดนีย์ ในเดือนพฤศจิกายน 2559 ลูกชายไปได้ข้อมูลตั๋วเครื่องบินและโรงแรมราคาพิเศษจาก Expedia สำหรับช่วงอากาศหนาวที่สุดของซิดนีย์คือ 7 – 17 องศาเซลเซียสในเดือนกรกฎาคม 2560 เราจึงตัดสินใจจองและวางเงินล่วงหน้า 8 เดือน เลือกเวลาเดินทางให้ตรงกับวันหยุดเสาร์อาทิตย์ วันจันทร์หยุดชดเชยวันอาสาฬหบูชา 1 วัน เพิ่มวันอังคารอีก 1 วันเพื่อให้เป็น 4 วัน เพราะพวกเราต้องทำงาน เมื่อได้ตั๋วเครื่องบินและจองโรงแรมแล้วก็มีโจทย์จะต้องบรรจุโปรแกรมการท่องเที่ยวให้น่าสนใจ เป็นไปได้ และงบประมาณไม่สูง

นอกจาก The Opera House แล้ว เราไม่รู้จักซิดนีย์เลย แม้จะเคยไปเมลเบิรนและ เพิร์ท มาแล้ว เราใช้เวลาหาข้อมูลเกี่ยวกับซิดนีย์ 1.5 เดือน เบื้องต้นได้ความว่าซิดนีย์เป็นเมืองใหญ่ การจราจรคับคั่ง จอดรถข้างถนนไม่ได้ แต่บริการขนส่งสาธารณะค่อนข้างดี มีรถไฟใต้ดินภายในเมือง มีรถประจำทาง รถรางเบา(Light Rail) มีเรือโดยสารและเรือท่องเที่ยว ซิดนีย์ได้พัฒนาบริการขนส่งสาธารณะเหล่านี้ให้สามารถใช้บัตร Opal Pass ใบเดียวร่วมกันได้หมด จึงต้องศึกษาเรื่อง Opal Pass เส้นทางการเดินรถ/เรือ ค่าโดยสารในแต่ละช่วงเวลา ระยะทาง เส้นทาง เป็นต้น และจับมันไปสัมพันธ์กับสถานที่ที่เราอยากไป
คำว่าสถานที่ที่เราอยากไปนั้น ตอนต้นก็โหวงเหวง ต้องค้นจากเว็บไซด์ต่างๆ เช่น “32 ที่ที่ควรไปในซิดนีย์” เดี๋ยวนี้ระบบข้อมูลที่สามารถหาได้จากหน้าจอคอมพิวเตอร์นั้นมีมากจริงๆ ต้องดูจากหลายๆแหล่งและคัดเลือกดีๆ เพราะรสนิยมของผู้แนะนำไม่เหมือนกัน เช่น บางคนชอบอาหารเครื่องดื่ม ไวน์ดีๆ ซื้อของ บางคนชอบชายหาด บางคนชอบศิลปวัฒนธรรม บางคนชอบการแสดง บางคนชอบป่าเขาลำเนาไพร บางคนชอบผจญภัย/ท้าทาย บางคนชอบกีฬา เป็นต้น ซึ่งซิดนีย์มีครบทุกอย่าง แล้วเราชอบอะไร ก็คงหลายอย่างผสมกันแต่ต้องไม่โลดโผนมาก และถ้าจะให้ดีต้องใช้งบประมาณไม่สูงมาก การท่องเที่ยวนั้น ถ้าจะเอาสบายก็ซื้อบริการที่ผู้อื่นจัดเป็นแพ็คเกจไว้ขาย มีผู้นำทางพาเที่ยว จัดอาหารเครื่องดื่มไว้ให้เรียบร้อย ถ้าจะให้มีความเป็นอิสระ ได้อรรถรสด้อยกว่ากันบ้าง แต่เสียเงินน้อยกว่ามากก็ต้องจัดแพ็คเกจของตัวเอง และนำทางเอง ซึ่งก็ทำได้โดยใช้เวลาหาข้อมูลให้มากพอและละเอียดรอบคอบ ลดทอนสิ่งที่ยังไม่รู้ให้เหลือน้อยที่สุด ส่วนที่ยังไม่มีข้อมูลหรือมีแต่ไม่ชัดเจนก็ไปแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเป็นกรณีๆไป ถ้าเป็นประเทศที่พูดภาษาอังกฤษ เรื่องการสื่อสารก็ง่ายขึ้นมาก
เราจองตั๋วเครื่องบินได้สายการบิน Air Asia และโรงแรม Great Southern Hotel - Sydney ค่าตั๋วไป-กลับ 4 คน พร้อมห้องพักโรงแรม 2 ห้อง 3 คืนในวันที่กำหนด ราคาไม่ถึง 60,000 บาท แต่เนื่องจากเป็นสายการบินราคาประหยัด ขายเฉพาะการโดยสาร ถ้าอยากได้อะไรเพิ่มต้องจ่ายเงินเพิ่ม และเนื่องจากเป็นเดือนที่อากาศหนาวที่สุดของซิดนีย์ โดยเฉพาะแถบภูเขานั้นไปตรวจมาแล้วอุณหภูมิอากาศในวันที่เราเดินทางอยู่ที่ -2 ในเวลากลางคืน ถึง 6 องศาในเวลากลางวัน จึงต้องเอาเสื้อผ้าไปมากกว่าปรกติ และได้ไปซื้อน้ำหนักสำหรับ Checked baggage 30 กิโลกรัมสำหรับ 4 คน 4 เที่ยวบินอีกหลายพันบาท ที่ว่า 4 เที่ยวบินก็เพราะจากดอนเมืองต้องไปเปลี่ยนเครื่องบินที่กัวลาลัมเปอร์เพื่อเดินทางต่อไปซิดนีย์ และขากลับก็เช่นกัน จากซิดนีย์ ต้องมาเปลี่ยนเครื่องบินที่กัวลาลัมเปอร์เพื่อมาดอนเมือง
เที่ยวนี้เสียค่าใช้จ่ายที่ซิดนีย์ 4 วัน คนละประมาณ 10,000 บาท ค่าวีซ่าอีกคนละ 5,000 บาท เมื่อรวมค่าตั๋วเครื่องบินและโรงแรมอีกคนละประมาณ 15,000 บาท สรุปแล้วเสียค่าใช้จ่ายทุกอย่างในการไปซิดนีย์ 4 วัน เกินกว่าคนละ 30,000 บาทนิดหน่อย
การทำวีซ่า
การทำวีซ่าเข้าออสเตรเลีย สามารถทำได้ on line แต่ต้องศึกษาให้ดีเพราะมีรายละเอียดแยกย่อยมาก และเขาต้องการข้อมูลและหลักฐานมากจริงๆคือ บัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน ทะเบียนสมรส(ถ้ามี) Passport รูปถ่ายไม่เกิน 6 เดือน บัญชีเงินฝากธนาคาร โฉนดที่ดิน ใบรับรองการทำงาน รายได้ e-mail ของเรา วัตถุประสงค์ที่ไปออสเตรเลีย เพราะเขากลัวเราไปทำงาน หรือพวกก่อการร้าย นอกจากนั้นต้องไปให้เขาถ่ายรูปและพิมพ์ลายนิ้วมือที่
Australia Visa Centre (AVAC), the Trendy Office Building, 28th Floor, Sukhumvit Soi 13, Klongtoey-Nua, Wattana, Bangkok 10110
หรือ ที่รู้จักกันในชื่อ VFS(Thailand) Co.,Ltd.
ซึ่งเป็นบริษัทของสถานทูตออสเตรเลีย ผู้ทำหน้าที่เก็บข้อมูลที่เรียกว่า Biometric ซึ่งต้องเสียค่าบริการคนละ 895 บาท และต้องไปด้วยตัวเอง เพราะคนอื่นไปให้เขาถ่ายรูปและเก็บลายนิ้วมือแทนเราไม่ได้ เขาจึงได้ข้อมูลของเรามากกว่าที่เราไปทำบัตรประชาชนที่เมืองไทยเสียอีก ซึ่งกว่าจะได้วีซ่าต้องเสียเงินประมาณ 5,000 บาท นี่คือราคาที่ทำด้วยตนเอง ถ้าไม่ต้องเสียค่าวีซ่า เราคงเที่ยวต่อได้อีก 1 - 2 วัน
ออกเดินทาง
กำหนดออกเดินทางของเราคือวันศุกร์ที่ 7 ก.ค. 2560 เวลา 18.35 น. จากสนามบินดอนเมือง วันนั้นเราเดินทางไปถึงสนามบินก่อนเวลาเครื่องบินออก 2.5 ชั่วโมง ซึ่งเป็นระยะเวลาปรกติสำหรับการเดินทางไปต่างประเทศ พอถึงเราก็ตรวจที่ป้ายประกาศอีเล็คโทรนิคว่าเขาจะให้เราไป Check–in ที่เคาน์เตอร์ไหน แต่ไม่มีสายการบินที่เราต้องการเดินทางปรากฏอยู่บนป้าย ความเข้าใจขั้นแรกก็คือสายการบินยังไม่พร้อมให้เรา Check–in ก็เลยไปนั่งคอยที่บริเวณใกล้ๆกับเคาน์เตอร์ของสายการบิน Air Asia แล้วก็คอยเดินไปดูป้ายประกาศว่ามีสายการบินของเราขึ้นหรือยัง ปรากฏว่าป้ายจะ Update ข้อมูลทุกๆ 15 นาที รอสักชั่วโมงหนึ่งเห็นจะได้ นั่งไปก็เห็นว่าตรงหน้าเราเขามีบริการรับห่อของที่ผู้โดยสารถือมาพะรุงพะรัง โดยเอาแผ่นพลาสติกพันรอบเพื่อรวมของหลายชิ้นเป็นชิ้นเดียวหรือเพื่อให้แข็งแรง หรือบรรจุกล่องกระดาษ เสียค่าบริการกล่องละ 100–250 บาทแล้วแต่ขนาด เห็นมีนักท่องเที่ยวจีนไปใช้บริการกันมาก
พอมีข้อมูลสายการบินของเราขึ้นบนป้าย เราก็เอากระเป๋าไปเข้าคิวเพื่อผ่านการ x-ray และถามเขาว่า สายการบินของเราอยู่ตรงเคาน์เตอร์ไหน เขาก็ชี้ทางให้ เราก็ไปเข้าแถว สักประเดี๋ยวหนึ่งมีคนมาเดินชูป้าย มีรหัสสายการบินสัก 5-6 สายและมีสายการบินของเราด้วย ลูกสาวก็ไปถามว่า มีสายการบินของเราอยู่บนป้ายด้วย เขาต้องการอะไร เขาก็บอกว่ารีบตามเขาไปด่วนเพราะเราสายแล้ว ต้องไปเคาน์เตอร์ด่วนพิเศษ อ้าวเรามานั่งรอตั้งชั่วโมงหนึ่งแล้ว กลายเป็นว่าวิธีที่เราคิดว่าถูกต้องนั้นกลับไม่ถูก หรือว่าป้ายประกาศของสนามบินดอนเมืองนั้นมันเล็กเกินไป บรรจุข้อความได้ไม่หมด จึงทำให้เราหลงเข้าใจผิด เรื่องนี้ทำให้เกือบตกเครื่องบิน แต่ไม่รู้จะโทษใครดี ก็ต้องโทษตัวเอง แต่ก็นับว่ายังโชคดีอยู่
พอไปที่เคาน์เตอร์ด่วน มันก็ไม่ด่วนจริง เพราะมีผู้โดยสารอยู่ก่อนหน้าเรา 2 ราย และรายแรกมีปัญหาบางอย่าง เพราะเห็นมีการเจรจากันอยู่ รอสัก 10 นาทีก็ถึงเรา กระเป๋าของลูกชายซึ่งเป็นใบเล็กสุดจะต้องถือขึ้นเครื่อง เพราะถ้า Check-in หมดทั้ง 4 ใบ น้ำหนักจะเกินกว่า 30 กก.ที่ซื้อไว้ เขาจึงขอเอาหลอดครีมทาผิวไปไว้กระเป๋าอื่น แต่เจ้าหน้าที่บอกว่า กระเป๋าที่จะโหลดไปกับเครื่องบินผ่านการ x-ray แล้ว เอาอะไรใส่อีกไม่ได้ เว้นแต่จะต้องเอากระเป๋าไปผ่านการ x-ray ใหม่ เราก็บอกว่ามันเป็นครีมทาผิว เขาก็บอกว่ามันขัดกับกฎด้านความปลอดภัย จึงต้องเอากระเป๋าใบนั้นวิ่งกลับไป x-ray ใหม่ เรื่องนี้เป็นประสบการณ์เล็กๆน้อยๆที่นำมาเล่าสู่กันฟัง
ก่อนที่จะเริ่มเดินทางเราคิดว่าการต่อเครื่องบินนั้นมีช่วงเวลาอยู่ 2 ชั่วโมง เมื่อไปถึงกัวลาลัมเปอร์แล้ว เขาคงให้เราผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง ไปรับกระเป๋าจากสายพาน แล้วนำกระเป๋าไป Check-in ที่เคาน์เตอร์ปรกติ แล้วก็ผ่านการตรวจรักษาความปลอดภัย และด่านตรวจคนเข้าเมืองเข้ามาใหม่ แต่เจ้าหน้าที่ Check-in ที่ดอนเมืองบอกว่า เขาจะส่งกระเป๋าของเราขึ้นสายการบินอีกลำหนึ่งที่จะไปซิดนีย์ต่อให้เลย ให้เราไปรับกระเป๋าที่ซิดนีย์ และเขาจะให้ boarding pass เรา 2 ใบ เพื่อขึ้นเครื่องบินทั้ง 2 ลำไว้เลย ซึ่งหมายความว่า ที่กัวลาลัมเปอร์ เราไม่ต้องไป Check-in ใหม่เพื่อจะได้ boarding pass ของเครื่องบินเที่ยวต่อไป ก็สะดวกกว่าที่คิดไว้แต่แรก และมาอ่านพบในหนังสือพิมพ์ภายหลังว่า นี่เป็นบริการใหม่ของ Air Asia ที่เพิ่งเปิดใช้
จากดอนเมืองไปกัวลาลัมเปอร์โดย Air Asia AK 893 เครื่องบินออกจากสนามบินช้ากว่ากำหนดประมาณ 40 นาทีโดยกัปตันประกาศว่ามี traffic congestion ที่สนามบินดอนเมือง ทำให้เดินทางถึงกัวลาลัมเปอร์เวลาท้องถิ่น(ซึ่งเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง)ประมาณ 22.20 น. จากกำหนดเดิม 21.45 น.
พอลงจากเครื่องบินแล้วต้องเดินไกลมากจริงๆ มาค้นพบภายหลังว่าวัตถุประสงค์ของการเดินก็เพื่อให้เราไปยังสถานที่ตรวจความปลอดภัยกลาง พอเสร็จแล้วก็ต้องเดินกลับมาประมาณที่เดิม เพราะตอนลงจากเครื่องบินใหม่ๆ เราก็เดินผ่านประตู P10 ตามที่ระบุใน Boarding pass ซึ่งเราจะต้องขึ้นเครื่องบินลำต่อไปมาแล้ว แต่อาจจะเป็นคนละด้าน
พอผ่านที่กดน้ำดื่ม เราก็เติมน้ำเต็มขวดเพื่อเตรียมเดินทางต่ออีก 8 ชั่วโมง แต่เขาให้ไปผ่าน Security Check เลยต้องดื่มน้ำที่เพิ่งเติมมาให้หมดก่อน พอเดินมาอีกไม่ถึง 30 เมตรเพื่อไปทางประตู P10 เขาให้ผ่าน Security Check อีกรอบ ตรวจทั้งตอนลงจากเครื่องและก่อนขึ้นเครื่อง เราก็ยังไม่ได้ออกจากบริเวณที่เขาควบคุมภายในสนามบินสักหน่อย พอดีลืมถอดนาฬิกาออกก่อน เขาให้ถอดนาฬิกาแล้วนำไปใส่ตะกร้าเพื่อ x-ray นาฬิกาอีกรอบ ทำให้คิดว่าเครื่อง x-ray นี่มันคงเป็นอุปกรณ์ในการตรวจสอบความปลอดภัยที่เชื่อถือได้อย่างเดียวที่มีอยู่ อย่างน้อยก็คงดีกว่าตาคน เสร็จแล้วต้องเดินต่ออีกเป็นกิโลกระมัง กว่าจะถึงประตู P10 ก็ประมาณ 23.10 น.แล้ว หน้าประตูมีคิวยาวมากดูเหมือนคนยังเข้าไปนั่งในห้องพักรอขึ้นเครื่องไม่ได้ ปรากฏว่าเขาให้ รปภ. 3 คนเอาไฟฉายมายืนส่องตรวจหน้าตาและเอกสารของผู้โดยสารทีละคน จึงใช้เวลามาก คนก็เลยเข้าแถวรอกันยาวอยู่หน้าห้อง นี่เราต้องเจอถึง 3 ด่านกว่าจะได้ขึ้นเครื่อง ทั้งๆที่เป็นการต่อเครื่องบิน จึงขอประกาศว่า ที่สนามบินกัวลาลัมเปอร์นี่มันไม่น่ารักเลย
เราเห็นคิวยาวจึงเดินไปซื้อแซนด์วิชคนละอันเพื่อเตรียมตัวเดินทางอีก 8 ชั่วโมง ถามคนขายแซนด์วิชว่ารับเงินดอลลาร์อเมริกันไหม เขาถามกลับมาว่ามีเงินประเทศแถวๆนี้ไหม เราบอกว่ามีเงินไทย เขาก็คิดราคาให้ 250 บาท แต่เราไม่มีธนบัตรใบละ 50 บาท เราจึงให้เขาไป 260 บาท(เขารับเฉพาะธนบัตร ไม่รับเหรียญ) ได้เงินทอนมา 1 ริงกิต
พอขึ้นเครื่องบินปรากฏว่ามีผู้โดยสารไม่เต็มลำ พวกเรา 4 คนเลยได้ครอบครอง 6 ที่นั่งเหมือนได้อยู่ Business Class สายการบินราคาประหยัดไม่แจกอะไรเลยบนเครื่องบินแม้แต่น้ำเปล่า อยากได้ต้องซื้อ คนนั่งแถวหลังก็ช่างคุยเหลือเกิน และพอดีเรานั่งตรงทางเดินซึ่งแคบมาก คนที่เดินผ่านไปมาก็มักจะมาเบียดตัวเรา ทำให้เราต้องตื่นบ่อย
ก่อนถึงซิดนีย์มีประกาศหลายครั้งบนเครื่องบินว่า ห้ามนำของทุกอย่างเข้าประเทศออสเตรเลีย ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ ดิน เมล็ดพืช สัตว์ ต้นไม้ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ที่เกินกว่าปริมาณที่กำหนด เงินสดที่มีมูลค่ามากกว่า AUD 10,000 สินค้าตัวอย่าง และอีกหลายอย่างจำไม่ได้ แม้แต่อาหารที่ขายบนเครื่องบินถ้ามีเหลือก็ต้องทิ้งไว้บนเครื่องบิน ซึ่งเราต้อง declare ไว้ในเอกสารให้ชัดเจน ถ้าไม่ได้แจ้งตามที่เป็นจริงก็จะมีโทษร้ายแรงอะไรประมาณนี้ ถึงซิดนีย์ประมาณ 10.00 น.เวลาท้องถิ่นซึ่งเร็วกว่าไทย 3 ชั่วโมง
*** บันทึกการเดินทางไปซิดนีย์ ***
::: ::: :::
คณะเดินทางมี 4 คนประกอบด้วย พ่อแม่อายุ 70 ปี และลูกชายหญิงอายุ 34 และ 36 ปี เรายังไม่เคยไปซิดนีย์ ในเดือนพฤศจิกายน 2559 ลูกชายไปได้ข้อมูลตั๋วเครื่องบินและโรงแรมราคาพิเศษจาก Expedia สำหรับช่วงอากาศหนาวที่สุดของซิดนีย์คือ 7 – 17 องศาเซลเซียสในเดือนกรกฎาคม 2560 เราจึงตัดสินใจจองและวางเงินล่วงหน้า 8 เดือน เลือกเวลาเดินทางให้ตรงกับวันหยุดเสาร์อาทิตย์ วันจันทร์หยุดชดเชยวันอาสาฬหบูชา 1 วัน เพิ่มวันอังคารอีก 1 วันเพื่อให้เป็น 4 วัน เพราะพวกเราต้องทำงาน เมื่อได้ตั๋วเครื่องบินและจองโรงแรมแล้วก็มีโจทย์จะต้องบรรจุโปรแกรมการท่องเที่ยวให้น่าสนใจ เป็นไปได้ และงบประมาณไม่สูง
นอกจาก The Opera House แล้ว เราไม่รู้จักซิดนีย์เลย แม้จะเคยไปเมลเบิรนและ เพิร์ท มาแล้ว เราใช้เวลาหาข้อมูลเกี่ยวกับซิดนีย์ 1.5 เดือน เบื้องต้นได้ความว่าซิดนีย์เป็นเมืองใหญ่ การจราจรคับคั่ง จอดรถข้างถนนไม่ได้ แต่บริการขนส่งสาธารณะค่อนข้างดี มีรถไฟใต้ดินภายในเมือง มีรถประจำทาง รถรางเบา(Light Rail) มีเรือโดยสารและเรือท่องเที่ยว ซิดนีย์ได้พัฒนาบริการขนส่งสาธารณะเหล่านี้ให้สามารถใช้บัตร Opal Pass ใบเดียวร่วมกันได้หมด จึงต้องศึกษาเรื่อง Opal Pass เส้นทางการเดินรถ/เรือ ค่าโดยสารในแต่ละช่วงเวลา ระยะทาง เส้นทาง เป็นต้น และจับมันไปสัมพันธ์กับสถานที่ที่เราอยากไป
คำว่าสถานที่ที่เราอยากไปนั้น ตอนต้นก็โหวงเหวง ต้องค้นจากเว็บไซด์ต่างๆ เช่น “32 ที่ที่ควรไปในซิดนีย์” เดี๋ยวนี้ระบบข้อมูลที่สามารถหาได้จากหน้าจอคอมพิวเตอร์นั้นมีมากจริงๆ ต้องดูจากหลายๆแหล่งและคัดเลือกดีๆ เพราะรสนิยมของผู้แนะนำไม่เหมือนกัน เช่น บางคนชอบอาหารเครื่องดื่ม ไวน์ดีๆ ซื้อของ บางคนชอบชายหาด บางคนชอบศิลปวัฒนธรรม บางคนชอบการแสดง บางคนชอบป่าเขาลำเนาไพร บางคนชอบผจญภัย/ท้าทาย บางคนชอบกีฬา เป็นต้น ซึ่งซิดนีย์มีครบทุกอย่าง แล้วเราชอบอะไร ก็คงหลายอย่างผสมกันแต่ต้องไม่โลดโผนมาก และถ้าจะให้ดีต้องใช้งบประมาณไม่สูงมาก การท่องเที่ยวนั้น ถ้าจะเอาสบายก็ซื้อบริการที่ผู้อื่นจัดเป็นแพ็คเกจไว้ขาย มีผู้นำทางพาเที่ยว จัดอาหารเครื่องดื่มไว้ให้เรียบร้อย ถ้าจะให้มีความเป็นอิสระ ได้อรรถรสด้อยกว่ากันบ้าง แต่เสียเงินน้อยกว่ามากก็ต้องจัดแพ็คเกจของตัวเอง และนำทางเอง ซึ่งก็ทำได้โดยใช้เวลาหาข้อมูลให้มากพอและละเอียดรอบคอบ ลดทอนสิ่งที่ยังไม่รู้ให้เหลือน้อยที่สุด ส่วนที่ยังไม่มีข้อมูลหรือมีแต่ไม่ชัดเจนก็ไปแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเป็นกรณีๆไป ถ้าเป็นประเทศที่พูดภาษาอังกฤษ เรื่องการสื่อสารก็ง่ายขึ้นมาก
เราจองตั๋วเครื่องบินได้สายการบิน Air Asia และโรงแรม Great Southern Hotel - Sydney ค่าตั๋วไป-กลับ 4 คน พร้อมห้องพักโรงแรม 2 ห้อง 3 คืนในวันที่กำหนด ราคาไม่ถึง 60,000 บาท แต่เนื่องจากเป็นสายการบินราคาประหยัด ขายเฉพาะการโดยสาร ถ้าอยากได้อะไรเพิ่มต้องจ่ายเงินเพิ่ม และเนื่องจากเป็นเดือนที่อากาศหนาวที่สุดของซิดนีย์ โดยเฉพาะแถบภูเขานั้นไปตรวจมาแล้วอุณหภูมิอากาศในวันที่เราเดินทางอยู่ที่ -2 ในเวลากลางคืน ถึง 6 องศาในเวลากลางวัน จึงต้องเอาเสื้อผ้าไปมากกว่าปรกติ และได้ไปซื้อน้ำหนักสำหรับ Checked baggage 30 กิโลกรัมสำหรับ 4 คน 4 เที่ยวบินอีกหลายพันบาท ที่ว่า 4 เที่ยวบินก็เพราะจากดอนเมืองต้องไปเปลี่ยนเครื่องบินที่กัวลาลัมเปอร์เพื่อเดินทางต่อไปซิดนีย์ และขากลับก็เช่นกัน จากซิดนีย์ ต้องมาเปลี่ยนเครื่องบินที่กัวลาลัมเปอร์เพื่อมาดอนเมือง
เที่ยวนี้เสียค่าใช้จ่ายที่ซิดนีย์ 4 วัน คนละประมาณ 10,000 บาท ค่าวีซ่าอีกคนละ 5,000 บาท เมื่อรวมค่าตั๋วเครื่องบินและโรงแรมอีกคนละประมาณ 15,000 บาท สรุปแล้วเสียค่าใช้จ่ายทุกอย่างในการไปซิดนีย์ 4 วัน เกินกว่าคนละ 30,000 บาทนิดหน่อย
การทำวีซ่า
การทำวีซ่าเข้าออสเตรเลีย สามารถทำได้ on line แต่ต้องศึกษาให้ดีเพราะมีรายละเอียดแยกย่อยมาก และเขาต้องการข้อมูลและหลักฐานมากจริงๆคือ บัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน ทะเบียนสมรส(ถ้ามี) Passport รูปถ่ายไม่เกิน 6 เดือน บัญชีเงินฝากธนาคาร โฉนดที่ดิน ใบรับรองการทำงาน รายได้ e-mail ของเรา วัตถุประสงค์ที่ไปออสเตรเลีย เพราะเขากลัวเราไปทำงาน หรือพวกก่อการร้าย นอกจากนั้นต้องไปให้เขาถ่ายรูปและพิมพ์ลายนิ้วมือที่
Australia Visa Centre (AVAC), the Trendy Office Building, 28th Floor, Sukhumvit Soi 13, Klongtoey-Nua, Wattana, Bangkok 10110
หรือ ที่รู้จักกันในชื่อ VFS(Thailand) Co.,Ltd.
ซึ่งเป็นบริษัทของสถานทูตออสเตรเลีย ผู้ทำหน้าที่เก็บข้อมูลที่เรียกว่า Biometric ซึ่งต้องเสียค่าบริการคนละ 895 บาท และต้องไปด้วยตัวเอง เพราะคนอื่นไปให้เขาถ่ายรูปและเก็บลายนิ้วมือแทนเราไม่ได้ เขาจึงได้ข้อมูลของเรามากกว่าที่เราไปทำบัตรประชาชนที่เมืองไทยเสียอีก ซึ่งกว่าจะได้วีซ่าต้องเสียเงินประมาณ 5,000 บาท นี่คือราคาที่ทำด้วยตนเอง ถ้าไม่ต้องเสียค่าวีซ่า เราคงเที่ยวต่อได้อีก 1 - 2 วัน
ออกเดินทาง
กำหนดออกเดินทางของเราคือวันศุกร์ที่ 7 ก.ค. 2560 เวลา 18.35 น. จากสนามบินดอนเมือง วันนั้นเราเดินทางไปถึงสนามบินก่อนเวลาเครื่องบินออก 2.5 ชั่วโมง ซึ่งเป็นระยะเวลาปรกติสำหรับการเดินทางไปต่างประเทศ พอถึงเราก็ตรวจที่ป้ายประกาศอีเล็คโทรนิคว่าเขาจะให้เราไป Check–in ที่เคาน์เตอร์ไหน แต่ไม่มีสายการบินที่เราต้องการเดินทางปรากฏอยู่บนป้าย ความเข้าใจขั้นแรกก็คือสายการบินยังไม่พร้อมให้เรา Check–in ก็เลยไปนั่งคอยที่บริเวณใกล้ๆกับเคาน์เตอร์ของสายการบิน Air Asia แล้วก็คอยเดินไปดูป้ายประกาศว่ามีสายการบินของเราขึ้นหรือยัง ปรากฏว่าป้ายจะ Update ข้อมูลทุกๆ 15 นาที รอสักชั่วโมงหนึ่งเห็นจะได้ นั่งไปก็เห็นว่าตรงหน้าเราเขามีบริการรับห่อของที่ผู้โดยสารถือมาพะรุงพะรัง โดยเอาแผ่นพลาสติกพันรอบเพื่อรวมของหลายชิ้นเป็นชิ้นเดียวหรือเพื่อให้แข็งแรง หรือบรรจุกล่องกระดาษ เสียค่าบริการกล่องละ 100–250 บาทแล้วแต่ขนาด เห็นมีนักท่องเที่ยวจีนไปใช้บริการกันมาก
พอมีข้อมูลสายการบินของเราขึ้นบนป้าย เราก็เอากระเป๋าไปเข้าคิวเพื่อผ่านการ x-ray และถามเขาว่า สายการบินของเราอยู่ตรงเคาน์เตอร์ไหน เขาก็ชี้ทางให้ เราก็ไปเข้าแถว สักประเดี๋ยวหนึ่งมีคนมาเดินชูป้าย มีรหัสสายการบินสัก 5-6 สายและมีสายการบินของเราด้วย ลูกสาวก็ไปถามว่า มีสายการบินของเราอยู่บนป้ายด้วย เขาต้องการอะไร เขาก็บอกว่ารีบตามเขาไปด่วนเพราะเราสายแล้ว ต้องไปเคาน์เตอร์ด่วนพิเศษ อ้าวเรามานั่งรอตั้งชั่วโมงหนึ่งแล้ว กลายเป็นว่าวิธีที่เราคิดว่าถูกต้องนั้นกลับไม่ถูก หรือว่าป้ายประกาศของสนามบินดอนเมืองนั้นมันเล็กเกินไป บรรจุข้อความได้ไม่หมด จึงทำให้เราหลงเข้าใจผิด เรื่องนี้ทำให้เกือบตกเครื่องบิน แต่ไม่รู้จะโทษใครดี ก็ต้องโทษตัวเอง แต่ก็นับว่ายังโชคดีอยู่
พอไปที่เคาน์เตอร์ด่วน มันก็ไม่ด่วนจริง เพราะมีผู้โดยสารอยู่ก่อนหน้าเรา 2 ราย และรายแรกมีปัญหาบางอย่าง เพราะเห็นมีการเจรจากันอยู่ รอสัก 10 นาทีก็ถึงเรา กระเป๋าของลูกชายซึ่งเป็นใบเล็กสุดจะต้องถือขึ้นเครื่อง เพราะถ้า Check-in หมดทั้ง 4 ใบ น้ำหนักจะเกินกว่า 30 กก.ที่ซื้อไว้ เขาจึงขอเอาหลอดครีมทาผิวไปไว้กระเป๋าอื่น แต่เจ้าหน้าที่บอกว่า กระเป๋าที่จะโหลดไปกับเครื่องบินผ่านการ x-ray แล้ว เอาอะไรใส่อีกไม่ได้ เว้นแต่จะต้องเอากระเป๋าไปผ่านการ x-ray ใหม่ เราก็บอกว่ามันเป็นครีมทาผิว เขาก็บอกว่ามันขัดกับกฎด้านความปลอดภัย จึงต้องเอากระเป๋าใบนั้นวิ่งกลับไป x-ray ใหม่ เรื่องนี้เป็นประสบการณ์เล็กๆน้อยๆที่นำมาเล่าสู่กันฟัง
ก่อนที่จะเริ่มเดินทางเราคิดว่าการต่อเครื่องบินนั้นมีช่วงเวลาอยู่ 2 ชั่วโมง เมื่อไปถึงกัวลาลัมเปอร์แล้ว เขาคงให้เราผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง ไปรับกระเป๋าจากสายพาน แล้วนำกระเป๋าไป Check-in ที่เคาน์เตอร์ปรกติ แล้วก็ผ่านการตรวจรักษาความปลอดภัย และด่านตรวจคนเข้าเมืองเข้ามาใหม่ แต่เจ้าหน้าที่ Check-in ที่ดอนเมืองบอกว่า เขาจะส่งกระเป๋าของเราขึ้นสายการบินอีกลำหนึ่งที่จะไปซิดนีย์ต่อให้เลย ให้เราไปรับกระเป๋าที่ซิดนีย์ และเขาจะให้ boarding pass เรา 2 ใบ เพื่อขึ้นเครื่องบินทั้ง 2 ลำไว้เลย ซึ่งหมายความว่า ที่กัวลาลัมเปอร์ เราไม่ต้องไป Check-in ใหม่เพื่อจะได้ boarding pass ของเครื่องบินเที่ยวต่อไป ก็สะดวกกว่าที่คิดไว้แต่แรก และมาอ่านพบในหนังสือพิมพ์ภายหลังว่า นี่เป็นบริการใหม่ของ Air Asia ที่เพิ่งเปิดใช้
จากดอนเมืองไปกัวลาลัมเปอร์โดย Air Asia AK 893 เครื่องบินออกจากสนามบินช้ากว่ากำหนดประมาณ 40 นาทีโดยกัปตันประกาศว่ามี traffic congestion ที่สนามบินดอนเมือง ทำให้เดินทางถึงกัวลาลัมเปอร์เวลาท้องถิ่น(ซึ่งเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง)ประมาณ 22.20 น. จากกำหนดเดิม 21.45 น.
พอลงจากเครื่องบินแล้วต้องเดินไกลมากจริงๆ มาค้นพบภายหลังว่าวัตถุประสงค์ของการเดินก็เพื่อให้เราไปยังสถานที่ตรวจความปลอดภัยกลาง พอเสร็จแล้วก็ต้องเดินกลับมาประมาณที่เดิม เพราะตอนลงจากเครื่องบินใหม่ๆ เราก็เดินผ่านประตู P10 ตามที่ระบุใน Boarding pass ซึ่งเราจะต้องขึ้นเครื่องบินลำต่อไปมาแล้ว แต่อาจจะเป็นคนละด้าน
พอผ่านที่กดน้ำดื่ม เราก็เติมน้ำเต็มขวดเพื่อเตรียมเดินทางต่ออีก 8 ชั่วโมง แต่เขาให้ไปผ่าน Security Check เลยต้องดื่มน้ำที่เพิ่งเติมมาให้หมดก่อน พอเดินมาอีกไม่ถึง 30 เมตรเพื่อไปทางประตู P10 เขาให้ผ่าน Security Check อีกรอบ ตรวจทั้งตอนลงจากเครื่องและก่อนขึ้นเครื่อง เราก็ยังไม่ได้ออกจากบริเวณที่เขาควบคุมภายในสนามบินสักหน่อย พอดีลืมถอดนาฬิกาออกก่อน เขาให้ถอดนาฬิกาแล้วนำไปใส่ตะกร้าเพื่อ x-ray นาฬิกาอีกรอบ ทำให้คิดว่าเครื่อง x-ray นี่มันคงเป็นอุปกรณ์ในการตรวจสอบความปลอดภัยที่เชื่อถือได้อย่างเดียวที่มีอยู่ อย่างน้อยก็คงดีกว่าตาคน เสร็จแล้วต้องเดินต่ออีกเป็นกิโลกระมัง กว่าจะถึงประตู P10 ก็ประมาณ 23.10 น.แล้ว หน้าประตูมีคิวยาวมากดูเหมือนคนยังเข้าไปนั่งในห้องพักรอขึ้นเครื่องไม่ได้ ปรากฏว่าเขาให้ รปภ. 3 คนเอาไฟฉายมายืนส่องตรวจหน้าตาและเอกสารของผู้โดยสารทีละคน จึงใช้เวลามาก คนก็เลยเข้าแถวรอกันยาวอยู่หน้าห้อง นี่เราต้องเจอถึง 3 ด่านกว่าจะได้ขึ้นเครื่อง ทั้งๆที่เป็นการต่อเครื่องบิน จึงขอประกาศว่า ที่สนามบินกัวลาลัมเปอร์นี่มันไม่น่ารักเลย
เราเห็นคิวยาวจึงเดินไปซื้อแซนด์วิชคนละอันเพื่อเตรียมตัวเดินทางอีก 8 ชั่วโมง ถามคนขายแซนด์วิชว่ารับเงินดอลลาร์อเมริกันไหม เขาถามกลับมาว่ามีเงินประเทศแถวๆนี้ไหม เราบอกว่ามีเงินไทย เขาก็คิดราคาให้ 250 บาท แต่เราไม่มีธนบัตรใบละ 50 บาท เราจึงให้เขาไป 260 บาท(เขารับเฉพาะธนบัตร ไม่รับเหรียญ) ได้เงินทอนมา 1 ริงกิต
พอขึ้นเครื่องบินปรากฏว่ามีผู้โดยสารไม่เต็มลำ พวกเรา 4 คนเลยได้ครอบครอง 6 ที่นั่งเหมือนได้อยู่ Business Class สายการบินราคาประหยัดไม่แจกอะไรเลยบนเครื่องบินแม้แต่น้ำเปล่า อยากได้ต้องซื้อ คนนั่งแถวหลังก็ช่างคุยเหลือเกิน และพอดีเรานั่งตรงทางเดินซึ่งแคบมาก คนที่เดินผ่านไปมาก็มักจะมาเบียดตัวเรา ทำให้เราต้องตื่นบ่อย
ก่อนถึงซิดนีย์มีประกาศหลายครั้งบนเครื่องบินว่า ห้ามนำของทุกอย่างเข้าประเทศออสเตรเลีย ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ ดิน เมล็ดพืช สัตว์ ต้นไม้ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ที่เกินกว่าปริมาณที่กำหนด เงินสดที่มีมูลค่ามากกว่า AUD 10,000 สินค้าตัวอย่าง และอีกหลายอย่างจำไม่ได้ แม้แต่อาหารที่ขายบนเครื่องบินถ้ามีเหลือก็ต้องทิ้งไว้บนเครื่องบิน ซึ่งเราต้อง declare ไว้ในเอกสารให้ชัดเจน ถ้าไม่ได้แจ้งตามที่เป็นจริงก็จะมีโทษร้ายแรงอะไรประมาณนี้ ถึงซิดนีย์ประมาณ 10.00 น.เวลาท้องถิ่นซึ่งเร็วกว่าไทย 3 ชั่วโมง