*** บันทึกการเดินทางไปซิดนีย์ ***

เรื่องนี้เป็นบันทึกการเดินทางไปซิดนีย์ของคุณพ่อของผม เอามาลงเน็ตให้ ยังไงฝากด้วยนะครับ ยิ้ม

:::  :::  :::

คณะเดินทางมี 4 คนประกอบด้วย พ่อแม่อายุ 70 ปี และลูกชายหญิงอายุ 34 และ 36 ปี  เรายังไม่เคยไปซิดนีย์  ในเดือนพฤศจิกายน 2559  ลูกชายไปได้ข้อมูลตั๋วเครื่องบินและโรงแรมราคาพิเศษจาก Expedia สำหรับช่วงอากาศหนาวที่สุดของซิดนีย์คือ 7 – 17 องศาเซลเซียสในเดือนกรกฎาคม 2560 เราจึงตัดสินใจจองและวางเงินล่วงหน้า 8 เดือน  เลือกเวลาเดินทางให้ตรงกับวันหยุดเสาร์อาทิตย์  วันจันทร์หยุดชดเชยวันอาสาฬหบูชา 1 วัน เพิ่มวันอังคารอีก 1 วันเพื่อให้เป็น 4 วัน เพราะพวกเราต้องทำงาน  เมื่อได้ตั๋วเครื่องบินและจองโรงแรมแล้วก็มีโจทย์จะต้องบรรจุโปรแกรมการท่องเที่ยวให้น่าสนใจ  เป็นไปได้  และงบประมาณไม่สูง


นอกจาก The Opera House แล้ว เราไม่รู้จักซิดนีย์เลย  แม้จะเคยไปเมลเบิรนและ เพิร์ท มาแล้ว  เราใช้เวลาหาข้อมูลเกี่ยวกับซิดนีย์ 1.5 เดือน  เบื้องต้นได้ความว่าซิดนีย์เป็นเมืองใหญ่  การจราจรคับคั่ง  จอดรถข้างถนนไม่ได้  แต่บริการขนส่งสาธารณะค่อนข้างดี  มีรถไฟใต้ดินภายในเมือง  มีรถประจำทาง  รถรางเบา(Light Rail)  มีเรือโดยสารและเรือท่องเที่ยว  ซิดนีย์ได้พัฒนาบริการขนส่งสาธารณะเหล่านี้ให้สามารถใช้บัตร Opal Pass ใบเดียวร่วมกันได้หมด  จึงต้องศึกษาเรื่อง Opal Pass  เส้นทางการเดินรถ/เรือ  ค่าโดยสารในแต่ละช่วงเวลา  ระยะทาง  เส้นทาง เป็นต้น  และจับมันไปสัมพันธ์กับสถานที่ที่เราอยากไป  

คำว่าสถานที่ที่เราอยากไปนั้น  ตอนต้นก็โหวงเหวง  ต้องค้นจากเว็บไซด์ต่างๆ  เช่น “32 ที่ที่ควรไปในซิดนีย์”  เดี๋ยวนี้ระบบข้อมูลที่สามารถหาได้จากหน้าจอคอมพิวเตอร์นั้นมีมากจริงๆ  ต้องดูจากหลายๆแหล่งและคัดเลือกดีๆ  เพราะรสนิยมของผู้แนะนำไม่เหมือนกัน  เช่น บางคนชอบอาหารเครื่องดื่ม ไวน์ดีๆ  ซื้อของ  บางคนชอบชายหาด  บางคนชอบศิลปวัฒนธรรม  บางคนชอบการแสดง  บางคนชอบป่าเขาลำเนาไพร  บางคนชอบผจญภัย/ท้าทาย  บางคนชอบกีฬา  เป็นต้น ซึ่งซิดนีย์มีครบทุกอย่าง  แล้วเราชอบอะไร  ก็คงหลายอย่างผสมกันแต่ต้องไม่โลดโผนมาก  และถ้าจะให้ดีต้องใช้งบประมาณไม่สูงมาก  การท่องเที่ยวนั้น ถ้าจะเอาสบายก็ซื้อบริการที่ผู้อื่นจัดเป็นแพ็คเกจไว้ขาย  มีผู้นำทางพาเที่ยว จัดอาหารเครื่องดื่มไว้ให้เรียบร้อย  ถ้าจะให้มีความเป็นอิสระ ได้อรรถรสด้อยกว่ากันบ้าง แต่เสียเงินน้อยกว่ามากก็ต้องจัดแพ็คเกจของตัวเอง  และนำทางเอง  ซึ่งก็ทำได้โดยใช้เวลาหาข้อมูลให้มากพอและละเอียดรอบคอบ  ลดทอนสิ่งที่ยังไม่รู้ให้เหลือน้อยที่สุด  ส่วนที่ยังไม่มีข้อมูลหรือมีแต่ไม่ชัดเจนก็ไปแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเป็นกรณีๆไป  ถ้าเป็นประเทศที่พูดภาษาอังกฤษ เรื่องการสื่อสารก็ง่ายขึ้นมาก  

เราจองตั๋วเครื่องบินได้สายการบิน Air Asia และโรงแรม Great Southern Hotel - Sydney  ค่าตั๋วไป-กลับ 4 คน พร้อมห้องพักโรงแรม 2 ห้อง 3 คืนในวันที่กำหนด ราคาไม่ถึง 60,000 บาท แต่เนื่องจากเป็นสายการบินราคาประหยัด  ขายเฉพาะการโดยสาร  ถ้าอยากได้อะไรเพิ่มต้องจ่ายเงินเพิ่ม  และเนื่องจากเป็นเดือนที่อากาศหนาวที่สุดของซิดนีย์ โดยเฉพาะแถบภูเขานั้นไปตรวจมาแล้วอุณหภูมิอากาศในวันที่เราเดินทางอยู่ที่ -2 ในเวลากลางคืน ถึง 6 องศาในเวลากลางวัน  จึงต้องเอาเสื้อผ้าไปมากกว่าปรกติ และได้ไปซื้อน้ำหนักสำหรับ Checked baggage 30 กิโลกรัมสำหรับ 4 คน 4 เที่ยวบินอีกหลายพันบาท  ที่ว่า 4 เที่ยวบินก็เพราะจากดอนเมืองต้องไปเปลี่ยนเครื่องบินที่กัวลาลัมเปอร์เพื่อเดินทางต่อไปซิดนีย์ และขากลับก็เช่นกัน จากซิดนีย์ ต้องมาเปลี่ยนเครื่องบินที่กัวลาลัมเปอร์เพื่อมาดอนเมือง

เที่ยวนี้เสียค่าใช้จ่ายที่ซิดนีย์ 4 วัน คนละประมาณ 10,000 บาท  ค่าวีซ่าอีกคนละ 5,000 บาท เมื่อรวมค่าตั๋วเครื่องบินและโรงแรมอีกคนละประมาณ 15,000 บาท  สรุปแล้วเสียค่าใช้จ่ายทุกอย่างในการไปซิดนีย์ 4 วัน เกินกว่าคนละ 30,000 บาทนิดหน่อย

การทำวีซ่า

การทำวีซ่าเข้าออสเตรเลีย  สามารถทำได้ on line แต่ต้องศึกษาให้ดีเพราะมีรายละเอียดแยกย่อยมาก  และเขาต้องการข้อมูลและหลักฐานมากจริงๆคือ  บัตรประชาชน  ทะเบียนบ้าน  ทะเบียนสมรส(ถ้ามี)  Passport  รูปถ่ายไม่เกิน 6 เดือน  บัญชีเงินฝากธนาคาร  โฉนดที่ดิน  ใบรับรองการทำงาน รายได้   e-mail ของเรา  วัตถุประสงค์ที่ไปออสเตรเลีย  เพราะเขากลัวเราไปทำงาน  หรือพวกก่อการร้าย  นอกจากนั้นต้องไปให้เขาถ่ายรูปและพิมพ์ลายนิ้วมือที่
Australia Visa Centre (AVAC), the Trendy Office Building, 28th Floor, Sukhumvit Soi 13, Klongtoey-Nua, Wattana, Bangkok 10110  
หรือ ที่รู้จักกันในชื่อ VFS(Thailand) Co.,Ltd.

ซึ่งเป็นบริษัทของสถานทูตออสเตรเลีย ผู้ทำหน้าที่เก็บข้อมูลที่เรียกว่า Biometric ซึ่งต้องเสียค่าบริการคนละ 895 บาท และต้องไปด้วยตัวเอง เพราะคนอื่นไปให้เขาถ่ายรูปและเก็บลายนิ้วมือแทนเราไม่ได้  เขาจึงได้ข้อมูลของเรามากกว่าที่เราไปทำบัตรประชาชนที่เมืองไทยเสียอีก  ซึ่งกว่าจะได้วีซ่าต้องเสียเงินประมาณ 5,000 บาท นี่คือราคาที่ทำด้วยตนเอง  ถ้าไม่ต้องเสียค่าวีซ่า เราคงเที่ยวต่อได้อีก 1 - 2 วัน

ออกเดินทาง    

กำหนดออกเดินทางของเราคือวันศุกร์ที่ 7 ก.ค. 2560 เวลา 18.35 น. จากสนามบินดอนเมือง  วันนั้นเราเดินทางไปถึงสนามบินก่อนเวลาเครื่องบินออก 2.5 ชั่วโมง ซึ่งเป็นระยะเวลาปรกติสำหรับการเดินทางไปต่างประเทศ  พอถึงเราก็ตรวจที่ป้ายประกาศอีเล็คโทรนิคว่าเขาจะให้เราไป Check–in ที่เคาน์เตอร์ไหน  แต่ไม่มีสายการบินที่เราต้องการเดินทางปรากฏอยู่บนป้าย  ความเข้าใจขั้นแรกก็คือสายการบินยังไม่พร้อมให้เรา Check–in ก็เลยไปนั่งคอยที่บริเวณใกล้ๆกับเคาน์เตอร์ของสายการบิน Air Asia แล้วก็คอยเดินไปดูป้ายประกาศว่ามีสายการบินของเราขึ้นหรือยัง  ปรากฏว่าป้ายจะ Update ข้อมูลทุกๆ 15 นาที  รอสักชั่วโมงหนึ่งเห็นจะได้  นั่งไปก็เห็นว่าตรงหน้าเราเขามีบริการรับห่อของที่ผู้โดยสารถือมาพะรุงพะรัง โดยเอาแผ่นพลาสติกพันรอบเพื่อรวมของหลายชิ้นเป็นชิ้นเดียวหรือเพื่อให้แข็งแรง หรือบรรจุกล่องกระดาษ  เสียค่าบริการกล่องละ 100–250 บาทแล้วแต่ขนาด  เห็นมีนักท่องเที่ยวจีนไปใช้บริการกันมาก  

พอมีข้อมูลสายการบินของเราขึ้นบนป้าย เราก็เอากระเป๋าไปเข้าคิวเพื่อผ่านการ x-ray และถามเขาว่า สายการบินของเราอยู่ตรงเคาน์เตอร์ไหน  เขาก็ชี้ทางให้ เราก็ไปเข้าแถว  สักประเดี๋ยวหนึ่งมีคนมาเดินชูป้าย มีรหัสสายการบินสัก 5-6 สายและมีสายการบินของเราด้วย  ลูกสาวก็ไปถามว่า มีสายการบินของเราอยู่บนป้ายด้วย เขาต้องการอะไร  เขาก็บอกว่ารีบตามเขาไปด่วนเพราะเราสายแล้ว  ต้องไปเคาน์เตอร์ด่วนพิเศษ  อ้าวเรามานั่งรอตั้งชั่วโมงหนึ่งแล้ว  กลายเป็นว่าวิธีที่เราคิดว่าถูกต้องนั้นกลับไม่ถูก  หรือว่าป้ายประกาศของสนามบินดอนเมืองนั้นมันเล็กเกินไป  บรรจุข้อความได้ไม่หมด  จึงทำให้เราหลงเข้าใจผิด  เรื่องนี้ทำให้เกือบตกเครื่องบิน แต่ไม่รู้จะโทษใครดี  ก็ต้องโทษตัวเอง แต่ก็นับว่ายังโชคดีอยู่  

พอไปที่เคาน์เตอร์ด่วน มันก็ไม่ด่วนจริง  เพราะมีผู้โดยสารอยู่ก่อนหน้าเรา 2 ราย  และรายแรกมีปัญหาบางอย่าง เพราะเห็นมีการเจรจากันอยู่  รอสัก 10 นาทีก็ถึงเรา  กระเป๋าของลูกชายซึ่งเป็นใบเล็กสุดจะต้องถือขึ้นเครื่อง เพราะถ้า Check-in หมดทั้ง 4 ใบ น้ำหนักจะเกินกว่า 30 กก.ที่ซื้อไว้  เขาจึงขอเอาหลอดครีมทาผิวไปไว้กระเป๋าอื่น  แต่เจ้าหน้าที่บอกว่า กระเป๋าที่จะโหลดไปกับเครื่องบินผ่านการ x-ray แล้ว เอาอะไรใส่อีกไม่ได้ เว้นแต่จะต้องเอากระเป๋าไปผ่านการ x-ray ใหม่  เราก็บอกว่ามันเป็นครีมทาผิว  เขาก็บอกว่ามันขัดกับกฎด้านความปลอดภัย  จึงต้องเอากระเป๋าใบนั้นวิ่งกลับไป x-ray ใหม่  เรื่องนี้เป็นประสบการณ์เล็กๆน้อยๆที่นำมาเล่าสู่กันฟัง  

ก่อนที่จะเริ่มเดินทางเราคิดว่าการต่อเครื่องบินนั้นมีช่วงเวลาอยู่ 2 ชั่วโมง  เมื่อไปถึงกัวลาลัมเปอร์แล้ว  เขาคงให้เราผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง ไปรับกระเป๋าจากสายพาน  แล้วนำกระเป๋าไป Check-in ที่เคาน์เตอร์ปรกติ  แล้วก็ผ่านการตรวจรักษาความปลอดภัย  และด่านตรวจคนเข้าเมืองเข้ามาใหม่  แต่เจ้าหน้าที่ Check-in ที่ดอนเมืองบอกว่า  เขาจะส่งกระเป๋าของเราขึ้นสายการบินอีกลำหนึ่งที่จะไปซิดนีย์ต่อให้เลย  ให้เราไปรับกระเป๋าที่ซิดนีย์  และเขาจะให้ boarding pass เรา 2 ใบ เพื่อขึ้นเครื่องบินทั้ง 2 ลำไว้เลย  ซึ่งหมายความว่า ที่กัวลาลัมเปอร์ เราไม่ต้องไป Check-in ใหม่เพื่อจะได้ boarding pass ของเครื่องบินเที่ยวต่อไป ก็สะดวกกว่าที่คิดไว้แต่แรก  และมาอ่านพบในหนังสือพิมพ์ภายหลังว่า นี่เป็นบริการใหม่ของ Air Asia ที่เพิ่งเปิดใช้  
    
จากดอนเมืองไปกัวลาลัมเปอร์โดย Air Asia AK 893 เครื่องบินออกจากสนามบินช้ากว่ากำหนดประมาณ 40 นาทีโดยกัปตันประกาศว่ามี traffic congestion ที่สนามบินดอนเมือง ทำให้เดินทางถึงกัวลาลัมเปอร์เวลาท้องถิ่น(ซึ่งเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง)ประมาณ 22.20 น. จากกำหนดเดิม 21.45 น.
พอลงจากเครื่องบินแล้วต้องเดินไกลมากจริงๆ  มาค้นพบภายหลังว่าวัตถุประสงค์ของการเดินก็เพื่อให้เราไปยังสถานที่ตรวจความปลอดภัยกลาง พอเสร็จแล้วก็ต้องเดินกลับมาประมาณที่เดิม  เพราะตอนลงจากเครื่องบินใหม่ๆ เราก็เดินผ่านประตู P10 ตามที่ระบุใน Boarding pass ซึ่งเราจะต้องขึ้นเครื่องบินลำต่อไปมาแล้ว  แต่อาจจะเป็นคนละด้าน

พอผ่านที่กดน้ำดื่ม เราก็เติมน้ำเต็มขวดเพื่อเตรียมเดินทางต่ออีก 8 ชั่วโมง  แต่เขาให้ไปผ่าน Security Check เลยต้องดื่มน้ำที่เพิ่งเติมมาให้หมดก่อน  พอเดินมาอีกไม่ถึง 30 เมตรเพื่อไปทางประตู P10 เขาให้ผ่าน Security Check อีกรอบ    ตรวจทั้งตอนลงจากเครื่องและก่อนขึ้นเครื่อง  เราก็ยังไม่ได้ออกจากบริเวณที่เขาควบคุมภายในสนามบินสักหน่อย พอดีลืมถอดนาฬิกาออกก่อน  เขาให้ถอดนาฬิกาแล้วนำไปใส่ตะกร้าเพื่อ x-ray นาฬิกาอีกรอบ  ทำให้คิดว่าเครื่อง x-ray นี่มันคงเป็นอุปกรณ์ในการตรวจสอบความปลอดภัยที่เชื่อถือได้อย่างเดียวที่มีอยู่  อย่างน้อยก็คงดีกว่าตาคน  เสร็จแล้วต้องเดินต่ออีกเป็นกิโลกระมัง  กว่าจะถึงประตู P10 ก็ประมาณ 23.10 น.แล้ว  หน้าประตูมีคิวยาวมากดูเหมือนคนยังเข้าไปนั่งในห้องพักรอขึ้นเครื่องไม่ได้  ปรากฏว่าเขาให้ รปภ. 3 คนเอาไฟฉายมายืนส่องตรวจหน้าตาและเอกสารของผู้โดยสารทีละคน  จึงใช้เวลามาก  คนก็เลยเข้าแถวรอกันยาวอยู่หน้าห้อง  นี่เราต้องเจอถึง 3 ด่านกว่าจะได้ขึ้นเครื่อง  ทั้งๆที่เป็นการต่อเครื่องบิน  จึงขอประกาศว่า ที่สนามบินกัวลาลัมเปอร์นี่มันไม่น่ารักเลย

เราเห็นคิวยาวจึงเดินไปซื้อแซนด์วิชคนละอันเพื่อเตรียมตัวเดินทางอีก 8 ชั่วโมง  ถามคนขายแซนด์วิชว่ารับเงินดอลลาร์อเมริกันไหม  เขาถามกลับมาว่ามีเงินประเทศแถวๆนี้ไหม  เราบอกว่ามีเงินไทย  เขาก็คิดราคาให้ 250 บาท แต่เราไม่มีธนบัตรใบละ 50 บาท เราจึงให้เขาไป 260 บาท(เขารับเฉพาะธนบัตร ไม่รับเหรียญ)  ได้เงินทอนมา 1 ริงกิต  

พอขึ้นเครื่องบินปรากฏว่ามีผู้โดยสารไม่เต็มลำ พวกเรา 4 คนเลยได้ครอบครอง 6 ที่นั่งเหมือนได้อยู่ Business Class  สายการบินราคาประหยัดไม่แจกอะไรเลยบนเครื่องบินแม้แต่น้ำเปล่า  อยากได้ต้องซื้อ  คนนั่งแถวหลังก็ช่างคุยเหลือเกิน  และพอดีเรานั่งตรงทางเดินซึ่งแคบมาก คนที่เดินผ่านไปมาก็มักจะมาเบียดตัวเรา ทำให้เราต้องตื่นบ่อย  

ก่อนถึงซิดนีย์มีประกาศหลายครั้งบนเครื่องบินว่า ห้ามนำของทุกอย่างเข้าประเทศออสเตรเลีย ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ ดิน เมล็ดพืช สัตว์ ต้นไม้ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ที่เกินกว่าปริมาณที่กำหนด  เงินสดที่มีมูลค่ามากกว่า AUD 10,000  สินค้าตัวอย่าง และอีกหลายอย่างจำไม่ได้  แม้แต่อาหารที่ขายบนเครื่องบินถ้ามีเหลือก็ต้องทิ้งไว้บนเครื่องบิน  ซึ่งเราต้อง declare ไว้ในเอกสารให้ชัดเจน ถ้าไม่ได้แจ้งตามที่เป็นจริงก็จะมีโทษร้ายแรงอะไรประมาณนี้ ถึงซิดนีย์ประมาณ 10.00 น.เวลาท้องถิ่นซึ่งเร็วกว่าไทย 3 ชั่วโมง
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่