สวัสดีค่ะ เราอยากมาแบ่งปันเรื่องราวและอยากให้คนที่เข้ามาอ่านกระทู้นี้ ได้เห็นถึงความสำคัญของสุขภาพมากขึ้น ทั้งของตัวเองและคนในบ้าน เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังว่ามันกระทบยังไง และในช่วงท้ายๆก็จะมีตารางเปรียบเทียบประกันสุขภาพสำหรับคนที่กำลังหาข้อมูลด้วยค่ะ
เริ่มเลยละกันนะคะ... ปัจจุบันเราทำงานที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง หน้าที่ของเราจะเกี่ยวกับการซื้อโฆษณา ซึ่งในบรรดาเพื่อนๆรุ่นเดียวกัน เราถือว่ามีความก้าวหน้าในหน้าที่การงานและผลงานค่อนข้างโดดเด่นค่ะ (ไม่ได้ชมตัวเองนะคะ อันนี้หัวหน้าและพี่ในทีมก็บอก ซึ่งตอนแรกเราดีใจ แต่หลังๆไม่แล้วค่ะ เป็นเพราะอะไรต้องอ่านต่อ) เนื่องจากเป็นคนจริงจังกับชีวิต ถือคติว่าทำอะไรต้องทุ่มเทให้สุดและจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ เพราะเรามาจากครอบครัวธรรมดาๆที่ต้นทุนชีวิตไม่สูงมากนัก คือไม่ถึงกับลำบากมากมายแต่ก็ไม่เคยได้อะไรมาแบบง่ายๆอ่ะค่ะ
ตอนเริ่มงานช่วงแรกด้วยความที่อยากพัฒนาตัวเอง ต้องการก้าวหน้าในอาชีพ และอยากมีเงินเดือนสูงๆเพื่อจะได้ดูแลครอบครัวได้อย่างดี เราก็ทุ่มเทเวลาให้กับการทำงานเสียส่วนใหญ่ ซึ่งโดยปกติเวลาทำงานของเราคือ 08.00-17.00 น. แต่เราจะเข้าตรงเวลาแล้วออกจากบริษัทประมาณ 2-3 ทุ่ม รวมๆระยะเวลาที่อยู่ทำงานที่บริษัทก็ประมาณ 10-11 ชั่วโมงต่อวัน เราใช้เวลา 5 ปีเต็มๆ ทุ่มเทให้กับการทำงานเพื่อความสำเร็จในชีวิต เรามีตำแหน่งสูงขึ้น เงินเดือนมากขึ้น แต่ต้องแลกมาด้วยภาระงานมากมาย เวลาส่วนตัวหายไป เวลาที่จะได้อยู่กับครอบครัวน้อยลง เวลาพักผ่อนนี่ไม่ต้องพูดถึง และที่สำคัญคือปัญสุขภาพที่ตามมาติดๆค่ะ เริ่มด้วยอาการปวดหัว เป็นไข้บ่อยๆ อาหารไม่ย่อยจากความเครียดและอาการอ่อนเพลีย แต่! จุดเปลี่ยนจริงๆมันไม่ได้มาจากสุขภาพของคนที่ไม่ค่อยดูแลตัวเองอย่างเราหรอกค่ะ แต่กลับเป็นคนในครอบครัว...
พี่สาวที่เป็นเสาหลักของบ้านนอกจากเราล้มป่วยด้วยโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทค่ะ ซึ่งสาเหตุที่เป็นก็มาจากการทำงานเป็นหลัก เพราะพี่สาวเราเป็นพนักงานบัญชี วันๆนึงก็นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานทั้งวันไม่ได้ออกไปไหน ไม่ค่อยได้ลุกออกไปยืดเส้นยืดสาย ทำงาน 8 ชั่วโมงนั่งตลอดลุกเดินแค่ไปเข้าห้องน้ำ ไปทานข้าวแค่นั้นเอง รวมทั้งบางครั้งก็ยกกองเอกสาร ยกของหนักๆ อีกส่วนนึงก็คือ ปกติพี่สาวเราจะนั่งรถตู้ไปทำงานค่ะ นั่งรถตู้ขึ้นทางด่วนแล้วไปต่อบีทีเอสประมานวันละชั่วโมงกว่าๆ ไปกลับก็วันละเกือบ 3 ชั่วโมง ถ้ารถติดก็นั่งนานมากขึ้น บางครั้งอาจจะนั่งผิดท่าทิ้งน้ำหนักลงส่วนบั้นเอว ก็เลยเป็นสาเหตุทำให้ล้มป่วย ตอนที่รู้ผลเหมือนฟ้าถล่มลงมาเลยค่ะ จะไม่ถล่มได้ยังไงล่ะคะ เพราะพี่สาวเราเป็นหนักถึงขั้นที่มีอาการกล้ามเนื้อขาอ่อนแรงจากการที่เส้นประสาทถูกกดทับด้วย เดินไม่ได้ ต้องขับถ่ายใส่แพมเพิร์ส ช่วงแรกๆท้อกันมาก ทั้งเรื่องการดูแลร่างกายและอารมณ์ของพี่สาวที่เกิดความเครียดเนื่องจากไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้จากอาการกล้ามเนื้อขาอ่อนแรง แถมยังทรมานจากอาการปวดที่รุนแรง
เรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาในช่วงแรกที่ยังไม่เป็นหนักมากหมอเค้าก็ให้ยามาทานควบคู่ไปกับการทำกายภาพ พี่เราก็อาการดีขึ้นนะคะแต่กลับไปใช้พฤติกรรมแบบเดิมๆก็เลยเป็นอีก คราวนี้หนักจนถึงขั้นกล้ามเนื้อขาอ่อนแรงเดินไม่ได้จนต้องใช้สเตียรอยด์รักษาอาการปวดที่รุนแรงมากขึ้น และหมอต้องตัดสินใจให้เข้ารับการผ่าตัด ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้ครอบครัวของเราถึงกับต้องค่อยๆเอาเงินเก็บที่มีมารักษา กว่าพี่เราจะหายกลับมาเดินได้ และใช้ชีวิตปกติได้อีกครั้ง ก็ใช้เวลาปีกว่าๆเลยค่ะ ถึงโรคร้ายจะไม่ได้พรากชีวิตพี่สาวเราไปแต่ก็ทำเอาชีวิตของคนในครอบครัวพลิกผันไปเลยพี่สาวเราต้องทิ้งงานประจำเงินเดือนดีๆ มารักษาตัวในช่วงนั้นและกว่าจะกลับไปทำงานได้อีกก็ลำบาก เสียรายได้ไปเยอะมากค่ะ
เรื่องของพี่ทำให้เรากลายเป็นคนที่มีสติมากขึ้น จากที่ไม่เคยดูแลตัวเอง ทำงานหามรุ่งหามค่ำ ก็เริ่มใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ลดเครื่องดื่มหวานๆ ชา กาแฟ จากที่ปกติจะต้องซื้อไว้ที่โต๊ะทำงานตลอด หันมาออกกำลังกายมากขึ้น ที่สำคัญคือเลิกหอบงานกลับมาทำที่บ้าน และพยายามปล่อยวางให้น้อยลง และเอาเรื่องของพี่สาวเป็นบทเรียนว่าสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องดูแลเพราะถ้าเราเกิดล้มป่วยหนักแบบขึ้นมาทั้งเราและครอบครัวอาจจะลำบากกว่าที่เป็นอยู่เพราะคงไม่มีทรัพย์สินเอาไว้ให้มารักษาตัวแบบนี้อีกแล้วเลยตัดสินใจทำประกันสุขภาพเผื่อเจ็บป่วยในอนาคตจะได้ไม่ลำบากใคร
เราเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับประกันสุขภาพ โดยเริ่มจากการถามพี่ๆที่ทำงาน และก็หาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแผนประกันที่สนใจ หาละเอียดพอสมควรเลยค่ะ และไม่อยากให้เสียของเลยทำตารางเปรียบเทียบให้ดู เผื่อมีคนสนใจเหมือนกัน เราเปรียบเทียบประกัน 4 เจ้าตามนี้ค่ะ
1.ประกันสุขภาพบูพา แผนโอปอล
2.แอกซ่า แฮปปี้แคร์
3.ซิกน่า ประกันการสุขภาพมิติใหม่ ซูเปอร์แพลน
4.ประกันสุขภาพ อลิอันซ์ อยุธยา

ตามตารางที่เทียบมาก็จะเห็นว่าแต่ละแผนมีข้อดี-ข้อเสียและเหมาะกับชีวิตของแต่ละคนค่ะ เลือกเอาตามรูปแบบการใช้ชีวิตของตัวเองนะคะ สำหรับเรา ด้วยไลฟ์สไตล์การทำงานเลยคิดว่าของซิกน่า ประกันสุขภาพมิติใหม่ น่าจะตอบโจทย์มากที่สุดเพราะเน้นคุ้มครองโรคของคนที่ทำงานหน้าคอมนานๆกลุ่มโรคออฟฟิศซินโดรม (อันนี้จะรวมความคุ้มครองโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทที่พี่สาวเราเป็นด้วยค่ะ) ที่เป็นโรคเบสิคและคนก็เป็นกันมากขึ้นอย่าง กรดไหลย้อน โรคกระเพาะ นิ้วล็อค ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ อะไรพวกนี้ และอีกเหตุผลสำคัญที่เลือกคือเบี้ยประกันต่อปีไม่แพงมากค่ะ เพราะเป็นแผนคุ้มครองหลัก ขณะที่แผนอื่นจะเป็นแผนคุ้มครองเสริมที่เราต้องซื้อประกันชีวิตก่อนถึงจะได้ประกันสุขภาพ ซึ่งสำหรับคนที่มีประกันหลักอยู่แล้วเราว่าของ Bupa ก็น่าสนค่ะเพราะเบี้ยไม่แพง แล้วก็คุ้มครองทั้งสุขภาพและอุบัติเหตุเลย
ใครเลือกแบบไหนก็แล้วแต่ความชอบและไลฟ์สไตล์นะคะ บางคนอาจจะอยากได้ประกันชีวิตพร้อมประกันสุขภาพก็ลองเปรียบเทียบดูตามตารางค่ะ สุดท้ายประเด็นสำคัญที่อยากฝากไว้คือดูแลสุขภาพกายสุขภาพใจของตัวเองและคนที่รักให้ดีนะคะ อย่าทุ่มเทเวลาให้กับงาน เงิน หรือตำแหน่งสูงๆ จนลืมไปว่าคนที่บ้านก็รอเวลามีค่าเหล่านั้นจากเราเหมือนกัน : )
[เล่าสู่กันฟัง] เมื่อชีวิตเดินมาถึงจุดเปลี่ยน + รีวิวเปรียบเทียบประกันสุขภาพ
เริ่มเลยละกันนะคะ... ปัจจุบันเราทำงานที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง หน้าที่ของเราจะเกี่ยวกับการซื้อโฆษณา ซึ่งในบรรดาเพื่อนๆรุ่นเดียวกัน เราถือว่ามีความก้าวหน้าในหน้าที่การงานและผลงานค่อนข้างโดดเด่นค่ะ (ไม่ได้ชมตัวเองนะคะ อันนี้หัวหน้าและพี่ในทีมก็บอก ซึ่งตอนแรกเราดีใจ แต่หลังๆไม่แล้วค่ะ เป็นเพราะอะไรต้องอ่านต่อ) เนื่องจากเป็นคนจริงจังกับชีวิต ถือคติว่าทำอะไรต้องทุ่มเทให้สุดและจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ เพราะเรามาจากครอบครัวธรรมดาๆที่ต้นทุนชีวิตไม่สูงมากนัก คือไม่ถึงกับลำบากมากมายแต่ก็ไม่เคยได้อะไรมาแบบง่ายๆอ่ะค่ะ
ตอนเริ่มงานช่วงแรกด้วยความที่อยากพัฒนาตัวเอง ต้องการก้าวหน้าในอาชีพ และอยากมีเงินเดือนสูงๆเพื่อจะได้ดูแลครอบครัวได้อย่างดี เราก็ทุ่มเทเวลาให้กับการทำงานเสียส่วนใหญ่ ซึ่งโดยปกติเวลาทำงานของเราคือ 08.00-17.00 น. แต่เราจะเข้าตรงเวลาแล้วออกจากบริษัทประมาณ 2-3 ทุ่ม รวมๆระยะเวลาที่อยู่ทำงานที่บริษัทก็ประมาณ 10-11 ชั่วโมงต่อวัน เราใช้เวลา 5 ปีเต็มๆ ทุ่มเทให้กับการทำงานเพื่อความสำเร็จในชีวิต เรามีตำแหน่งสูงขึ้น เงินเดือนมากขึ้น แต่ต้องแลกมาด้วยภาระงานมากมาย เวลาส่วนตัวหายไป เวลาที่จะได้อยู่กับครอบครัวน้อยลง เวลาพักผ่อนนี่ไม่ต้องพูดถึง และที่สำคัญคือปัญสุขภาพที่ตามมาติดๆค่ะ เริ่มด้วยอาการปวดหัว เป็นไข้บ่อยๆ อาหารไม่ย่อยจากความเครียดและอาการอ่อนเพลีย แต่! จุดเปลี่ยนจริงๆมันไม่ได้มาจากสุขภาพของคนที่ไม่ค่อยดูแลตัวเองอย่างเราหรอกค่ะ แต่กลับเป็นคนในครอบครัว...
พี่สาวที่เป็นเสาหลักของบ้านนอกจากเราล้มป่วยด้วยโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทค่ะ ซึ่งสาเหตุที่เป็นก็มาจากการทำงานเป็นหลัก เพราะพี่สาวเราเป็นพนักงานบัญชี วันๆนึงก็นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานทั้งวันไม่ได้ออกไปไหน ไม่ค่อยได้ลุกออกไปยืดเส้นยืดสาย ทำงาน 8 ชั่วโมงนั่งตลอดลุกเดินแค่ไปเข้าห้องน้ำ ไปทานข้าวแค่นั้นเอง รวมทั้งบางครั้งก็ยกกองเอกสาร ยกของหนักๆ อีกส่วนนึงก็คือ ปกติพี่สาวเราจะนั่งรถตู้ไปทำงานค่ะ นั่งรถตู้ขึ้นทางด่วนแล้วไปต่อบีทีเอสประมานวันละชั่วโมงกว่าๆ ไปกลับก็วันละเกือบ 3 ชั่วโมง ถ้ารถติดก็นั่งนานมากขึ้น บางครั้งอาจจะนั่งผิดท่าทิ้งน้ำหนักลงส่วนบั้นเอว ก็เลยเป็นสาเหตุทำให้ล้มป่วย ตอนที่รู้ผลเหมือนฟ้าถล่มลงมาเลยค่ะ จะไม่ถล่มได้ยังไงล่ะคะ เพราะพี่สาวเราเป็นหนักถึงขั้นที่มีอาการกล้ามเนื้อขาอ่อนแรงจากการที่เส้นประสาทถูกกดทับด้วย เดินไม่ได้ ต้องขับถ่ายใส่แพมเพิร์ส ช่วงแรกๆท้อกันมาก ทั้งเรื่องการดูแลร่างกายและอารมณ์ของพี่สาวที่เกิดความเครียดเนื่องจากไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้จากอาการกล้ามเนื้อขาอ่อนแรง แถมยังทรมานจากอาการปวดที่รุนแรง
เรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาในช่วงแรกที่ยังไม่เป็นหนักมากหมอเค้าก็ให้ยามาทานควบคู่ไปกับการทำกายภาพ พี่เราก็อาการดีขึ้นนะคะแต่กลับไปใช้พฤติกรรมแบบเดิมๆก็เลยเป็นอีก คราวนี้หนักจนถึงขั้นกล้ามเนื้อขาอ่อนแรงเดินไม่ได้จนต้องใช้สเตียรอยด์รักษาอาการปวดที่รุนแรงมากขึ้น และหมอต้องตัดสินใจให้เข้ารับการผ่าตัด ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้ครอบครัวของเราถึงกับต้องค่อยๆเอาเงินเก็บที่มีมารักษา กว่าพี่เราจะหายกลับมาเดินได้ และใช้ชีวิตปกติได้อีกครั้ง ก็ใช้เวลาปีกว่าๆเลยค่ะ ถึงโรคร้ายจะไม่ได้พรากชีวิตพี่สาวเราไปแต่ก็ทำเอาชีวิตของคนในครอบครัวพลิกผันไปเลยพี่สาวเราต้องทิ้งงานประจำเงินเดือนดีๆ มารักษาตัวในช่วงนั้นและกว่าจะกลับไปทำงานได้อีกก็ลำบาก เสียรายได้ไปเยอะมากค่ะ
เรื่องของพี่ทำให้เรากลายเป็นคนที่มีสติมากขึ้น จากที่ไม่เคยดูแลตัวเอง ทำงานหามรุ่งหามค่ำ ก็เริ่มใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ลดเครื่องดื่มหวานๆ ชา กาแฟ จากที่ปกติจะต้องซื้อไว้ที่โต๊ะทำงานตลอด หันมาออกกำลังกายมากขึ้น ที่สำคัญคือเลิกหอบงานกลับมาทำที่บ้าน และพยายามปล่อยวางให้น้อยลง และเอาเรื่องของพี่สาวเป็นบทเรียนว่าสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องดูแลเพราะถ้าเราเกิดล้มป่วยหนักแบบขึ้นมาทั้งเราและครอบครัวอาจจะลำบากกว่าที่เป็นอยู่เพราะคงไม่มีทรัพย์สินเอาไว้ให้มารักษาตัวแบบนี้อีกแล้วเลยตัดสินใจทำประกันสุขภาพเผื่อเจ็บป่วยในอนาคตจะได้ไม่ลำบากใคร
เราเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับประกันสุขภาพ โดยเริ่มจากการถามพี่ๆที่ทำงาน และก็หาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแผนประกันที่สนใจ หาละเอียดพอสมควรเลยค่ะ และไม่อยากให้เสียของเลยทำตารางเปรียบเทียบให้ดู เผื่อมีคนสนใจเหมือนกัน เราเปรียบเทียบประกัน 4 เจ้าตามนี้ค่ะ
1.ประกันสุขภาพบูพา แผนโอปอล
2.แอกซ่า แฮปปี้แคร์
3.ซิกน่า ประกันการสุขภาพมิติใหม่ ซูเปอร์แพลน
4.ประกันสุขภาพ อลิอันซ์ อยุธยา
ตามตารางที่เทียบมาก็จะเห็นว่าแต่ละแผนมีข้อดี-ข้อเสียและเหมาะกับชีวิตของแต่ละคนค่ะ เลือกเอาตามรูปแบบการใช้ชีวิตของตัวเองนะคะ สำหรับเรา ด้วยไลฟ์สไตล์การทำงานเลยคิดว่าของซิกน่า ประกันสุขภาพมิติใหม่ น่าจะตอบโจทย์มากที่สุดเพราะเน้นคุ้มครองโรคของคนที่ทำงานหน้าคอมนานๆกลุ่มโรคออฟฟิศซินโดรม (อันนี้จะรวมความคุ้มครองโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทที่พี่สาวเราเป็นด้วยค่ะ) ที่เป็นโรคเบสิคและคนก็เป็นกันมากขึ้นอย่าง กรดไหลย้อน โรคกระเพาะ นิ้วล็อค ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ อะไรพวกนี้ และอีกเหตุผลสำคัญที่เลือกคือเบี้ยประกันต่อปีไม่แพงมากค่ะ เพราะเป็นแผนคุ้มครองหลัก ขณะที่แผนอื่นจะเป็นแผนคุ้มครองเสริมที่เราต้องซื้อประกันชีวิตก่อนถึงจะได้ประกันสุขภาพ ซึ่งสำหรับคนที่มีประกันหลักอยู่แล้วเราว่าของ Bupa ก็น่าสนค่ะเพราะเบี้ยไม่แพง แล้วก็คุ้มครองทั้งสุขภาพและอุบัติเหตุเลย
ใครเลือกแบบไหนก็แล้วแต่ความชอบและไลฟ์สไตล์นะคะ บางคนอาจจะอยากได้ประกันชีวิตพร้อมประกันสุขภาพก็ลองเปรียบเทียบดูตามตารางค่ะ สุดท้ายประเด็นสำคัญที่อยากฝากไว้คือดูแลสุขภาพกายสุขภาพใจของตัวเองและคนที่รักให้ดีนะคะ อย่าทุ่มเทเวลาให้กับงาน เงิน หรือตำแหน่งสูงๆ จนลืมไปว่าคนที่บ้านก็รอเวลามีค่าเหล่านั้นจากเราเหมือนกัน : )