คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 207
สวัสดีค่ะ ขออัปเดตเพิ่มเติมเกี่ยวเงินค่าดาวน์เรือนหอที่สร้างด้วยกันกับ(อดีต)แฟนค่ะ เราโทรไปทวงค่าดาวน์บางส่วนที่เคยออกช่วยเค้าซึ่งเค้าไม่พอใจนิดหน่อยโดยอ้างว่าสร้างมาเพื่อชีวิตคู่(หึๆ) แต่สุดท้ายเค้าก็โอนเงินคืนมาแล้ว 60 % ของเงินที่เราออกไป ส่วนอีก 40 %ฝ่ายชายบอกจะคืนให้อีก ภายใน 1 เดือน(จะรอดู)
แต่กว่าจะได้เงินคืนก็ได้คุยกันทางโทรศัพท์เยอะพอสมควรค่ะ ตอนแรกฝ่ายชายจะไม่ให้คืนแล้วบอกกับเราว่ายังอยากแต่งงานปีหน้าตามแผนเดิมที่คุยกันไว้ แต่เราเป็นคนปฏิเสธเองเพราะรับไม่ได้กับการกระทำของเค้า บวกกับถ้าจะต้องไปอาศัยในเรือนหอที่แฟนเก่าเราเคยเอาผู้หญิงมานอน บอกตรงๆว่ายังรู้สึกขยะแขยงค่ะ ไม่รู้ว่าทำไมภาพมันยังติดในหัว พอรเราถามเค้าว่าทำไมทำกับเราแบบนี้ไม่รู้สึกเสียดาย 8 ปีที่คบกันมาหรอ? เค้าให้เหตุผลว่ามันเป็นอารมณ์ชั่ววูบ และเค้าก็ยอมรับผิดเพราะอยู่ใกล้กับบีตอนที่บีมาดูแล และ น้อยใจเรานิดหน่อยที่ไม่สามารถลางานมาเฝ้าได้ ซึ่งเราให้เหตุผลไปแล้วว่าเราพึ่งเริ่มงานบริษัทใหม่จะให้ลายาว 6-7 วันก็เกรงใจที่ทำงาน แต่เราก็ได้บอกกับเค้าไปว่า ถ้าคิดในมุมกลับ เราป่วยไม่สบายเข้าโรงบาล แล้วน้อยใจที่แฟนเราไม่มาดูแลแล้วแอบไปคบคนใหม่ ตัวเค้าจะรับได้มั้ย? จะยังนิ่งและกลั้นน้ำตาได้แบบเรารึเปล่า? ซึ่งเค้าก็เงียบ และพูดว่าขอโทษ และ อยากให้เรากลับมารักกันอีกครั้ง (ซึ่งสายเกินไป)
ทางฝั่งของบี เราไม่ได้ติดต่อกับเค้า และไม่คิดอยากจะติดต่อเพราะไม่เหลือคำว่าเพื่อนให้ติดต่อ แต่มีเพื่อนเราที่ทราบเรื่องแล้วโกรธแทนเราเลย Inbox ไปที่เฟสแม่ของบีแล้วบอกการกระทำของบี และ บอกว่าผู้ชายที่มาคบกับลูกของตัวเองนั้นเป็นแฟนของเราและกำลังจะแต่งงาน ทำไมบีถึงกล้าทำกับเรา แถมเป็นเพื่อนที่เล่นกันมาตอนก่อนๆอีกด้วย ซึ่งแม่บีอ่านข้อความแต่ไม่ตอบกลับเฟสเพื่อนเราและกดบล๊อคเพื่อนเราอีกต่างหาก ซึ่งเราสันนิษฐานว่า แม่บีก็รู้เรื่องว่าฝ่ายชายมีแฟนและลูกของตัวเองไปแย่งของๆคนอื่นมา แต่ยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ไม่สนใจความถูกต้อง ขอให้แค่ลูกสาวตัวเองได้ดีได้แฟนมีหน้ามีตาก็พอ (อันนี้เราคิด)
เราบอกแฟนเราว่า ของๆเราที่คอนโดที่เคยอยู่ด้วยกันมา ทั้งเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า และอื่นๆ ทีเรายังไม่ได้เอาออกมาด้วย เพราะตอนนั้นเราโกรธ เลยขนมาแค่ โน๊ตบุ๊ค กระเป๋าเอกสาร และก็น้ำหอม แค่นั้น ให้เอาของทั้งหมดไปบริจาคตามมูลนิธิ เพราะเราไม่ต้องการแล้ว เค้ายังมีการอิดออด แล้วบอกเราว่า จะเก็บบางชิ้นไว้ให้เรา เช่น รองเท้า กระเป๋า บางยี่ห้อ ที่ราคาแพงและเคยซื้อให้เราเป็นของขวัญวันเกิดตอนก่อนๆ เค้าถามเราไม่เสียดายหรอถ้าเอาไปบริจาคเพราะของมีราคา เราเลยตอบเค้าไปว่า “ขนาดแฟนเราแท้ๆเรายังกล้าบริจาคให้คนที่กล้าแย่งเลย ทำไมของแค่นี้จะบริจาคไม่ได้ ”
แฟนเราบอกกับเราว่าต่อให้เราจะไม่กลับไปหาเค้าแล้วเค้าก็จะรอเราเพราะยังรักเรา และบอกว่าจะยอมเลิกและไม่ติดต่อกับบีอีกเพราะเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบ ซึ่งเราไม่เชื่อเพราะวันก่อนเราใช้เฟสเพื่อนไปส่องเฟสบี ยังเห็นบีโพสไปเที่ยวทะเลกับแฟนเราแบบออกหน้าออกตา เพื่อนสนิทเราสมัยมัธยมไปเม้นต์ใต้ภาพว่า นั่นมันแฟนเราทำไมทำแบบนี้ บีก็ลบเม้นต์เพื่อนเราออก แต่ไม่ลบเพื่อนเราออกจากเฟสบุ๊ค (คิดว่าจงใจเก็บเพื่อนเราไว้ เพราะจะได้คาบข่าวมาบอกเรา เพราะตอนนี้บีลบเราออกจากเพื่อนในเฟสแล้ว)
สุดท้าย อยากขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจ ตอนนี้อาการหัวใจดีขึ้นแล้วค่ะ น้ำหนักลดลงนิดหน่อยเพราะความเครียดช่วงที่ผ่านมา ช่วงที่ผ่านมาทำให้รู้ว่าไม่มีใครรักเราเท่าตัวเองและครอบครัว ส่วนหลายๆถามว่ารีเทรินไปรักกันมั้ย คงไม่ค่ะ เพราะเราเป็นคนเจ็บและจำ รักครั้งนี้เจ็บมากจริงๆ และขออยู่แบบโสดๆทำใจสักพัก ขอบคุณทุกกำลังใจที่ส่งให้เรานะคะ ช่วยทำให้เราตาสว่างได้หลายๆอย่างเลย ขอบคุณค่ะ
แต่กว่าจะได้เงินคืนก็ได้คุยกันทางโทรศัพท์เยอะพอสมควรค่ะ ตอนแรกฝ่ายชายจะไม่ให้คืนแล้วบอกกับเราว่ายังอยากแต่งงานปีหน้าตามแผนเดิมที่คุยกันไว้ แต่เราเป็นคนปฏิเสธเองเพราะรับไม่ได้กับการกระทำของเค้า บวกกับถ้าจะต้องไปอาศัยในเรือนหอที่แฟนเก่าเราเคยเอาผู้หญิงมานอน บอกตรงๆว่ายังรู้สึกขยะแขยงค่ะ ไม่รู้ว่าทำไมภาพมันยังติดในหัว พอรเราถามเค้าว่าทำไมทำกับเราแบบนี้ไม่รู้สึกเสียดาย 8 ปีที่คบกันมาหรอ? เค้าให้เหตุผลว่ามันเป็นอารมณ์ชั่ววูบ และเค้าก็ยอมรับผิดเพราะอยู่ใกล้กับบีตอนที่บีมาดูแล และ น้อยใจเรานิดหน่อยที่ไม่สามารถลางานมาเฝ้าได้ ซึ่งเราให้เหตุผลไปแล้วว่าเราพึ่งเริ่มงานบริษัทใหม่จะให้ลายาว 6-7 วันก็เกรงใจที่ทำงาน แต่เราก็ได้บอกกับเค้าไปว่า ถ้าคิดในมุมกลับ เราป่วยไม่สบายเข้าโรงบาล แล้วน้อยใจที่แฟนเราไม่มาดูแลแล้วแอบไปคบคนใหม่ ตัวเค้าจะรับได้มั้ย? จะยังนิ่งและกลั้นน้ำตาได้แบบเรารึเปล่า? ซึ่งเค้าก็เงียบ และพูดว่าขอโทษ และ อยากให้เรากลับมารักกันอีกครั้ง (ซึ่งสายเกินไป)
ทางฝั่งของบี เราไม่ได้ติดต่อกับเค้า และไม่คิดอยากจะติดต่อเพราะไม่เหลือคำว่าเพื่อนให้ติดต่อ แต่มีเพื่อนเราที่ทราบเรื่องแล้วโกรธแทนเราเลย Inbox ไปที่เฟสแม่ของบีแล้วบอกการกระทำของบี และ บอกว่าผู้ชายที่มาคบกับลูกของตัวเองนั้นเป็นแฟนของเราและกำลังจะแต่งงาน ทำไมบีถึงกล้าทำกับเรา แถมเป็นเพื่อนที่เล่นกันมาตอนก่อนๆอีกด้วย ซึ่งแม่บีอ่านข้อความแต่ไม่ตอบกลับเฟสเพื่อนเราและกดบล๊อคเพื่อนเราอีกต่างหาก ซึ่งเราสันนิษฐานว่า แม่บีก็รู้เรื่องว่าฝ่ายชายมีแฟนและลูกของตัวเองไปแย่งของๆคนอื่นมา แต่ยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ไม่สนใจความถูกต้อง ขอให้แค่ลูกสาวตัวเองได้ดีได้แฟนมีหน้ามีตาก็พอ (อันนี้เราคิด)
เราบอกแฟนเราว่า ของๆเราที่คอนโดที่เคยอยู่ด้วยกันมา ทั้งเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า และอื่นๆ ทีเรายังไม่ได้เอาออกมาด้วย เพราะตอนนั้นเราโกรธ เลยขนมาแค่ โน๊ตบุ๊ค กระเป๋าเอกสาร และก็น้ำหอม แค่นั้น ให้เอาของทั้งหมดไปบริจาคตามมูลนิธิ เพราะเราไม่ต้องการแล้ว เค้ายังมีการอิดออด แล้วบอกเราว่า จะเก็บบางชิ้นไว้ให้เรา เช่น รองเท้า กระเป๋า บางยี่ห้อ ที่ราคาแพงและเคยซื้อให้เราเป็นของขวัญวันเกิดตอนก่อนๆ เค้าถามเราไม่เสียดายหรอถ้าเอาไปบริจาคเพราะของมีราคา เราเลยตอบเค้าไปว่า “ขนาดแฟนเราแท้ๆเรายังกล้าบริจาคให้คนที่กล้าแย่งเลย ทำไมของแค่นี้จะบริจาคไม่ได้ ”
แฟนเราบอกกับเราว่าต่อให้เราจะไม่กลับไปหาเค้าแล้วเค้าก็จะรอเราเพราะยังรักเรา และบอกว่าจะยอมเลิกและไม่ติดต่อกับบีอีกเพราะเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบ ซึ่งเราไม่เชื่อเพราะวันก่อนเราใช้เฟสเพื่อนไปส่องเฟสบี ยังเห็นบีโพสไปเที่ยวทะเลกับแฟนเราแบบออกหน้าออกตา เพื่อนสนิทเราสมัยมัธยมไปเม้นต์ใต้ภาพว่า นั่นมันแฟนเราทำไมทำแบบนี้ บีก็ลบเม้นต์เพื่อนเราออก แต่ไม่ลบเพื่อนเราออกจากเฟสบุ๊ค (คิดว่าจงใจเก็บเพื่อนเราไว้ เพราะจะได้คาบข่าวมาบอกเรา เพราะตอนนี้บีลบเราออกจากเพื่อนในเฟสแล้ว)
สุดท้าย อยากขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจ ตอนนี้อาการหัวใจดีขึ้นแล้วค่ะ น้ำหนักลดลงนิดหน่อยเพราะความเครียดช่วงที่ผ่านมา ช่วงที่ผ่านมาทำให้รู้ว่าไม่มีใครรักเราเท่าตัวเองและครอบครัว ส่วนหลายๆถามว่ารีเทรินไปรักกันมั้ย คงไม่ค่ะ เพราะเราเป็นคนเจ็บและจำ รักครั้งนี้เจ็บมากจริงๆ และขออยู่แบบโสดๆทำใจสักพัก ขอบคุณทุกกำลังใจที่ส่งให้เรานะคะ ช่วยทำให้เราตาสว่างได้หลายๆอย่างเลย ขอบคุณค่ะ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
ปล่อยเถอะค่ะ ผู้ชายเเบบนี้ ถ้าเค้ารักคุณจริงเค้าจะไม่ทำเเบบนี้ อีกอย่างผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะดี เราเชื่อว่าตอนนี้ผู้ชายยังไม่รู้สึกหรอกค่ะ
เเต่ซักพักนึงค่ะ จำคำเราไว้นะคะ จขกท.เราเป็นคนดี โลกจะเหวี่ยงคนไม่ดีออกจากชีวิตเรา เเละเหวี่ยงคนดีเข้ามา
เพราะเราเองก็เจอเรื่องที่เเย่มาเหมือนกัน ทุกวันนี้ฝ่ายชายที่ทิ้งเราไป โอดครวญค่ะ เพราะผู้หญิงคนใหม่เกาะเค้าไม่ยอมหางานทำเเถมยังมีลูกติดมาให้เลี้ยงอีก เข้มเเข็งไว้นะคะ เวลาจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น ทุกวันนี้เราก็โสด เเต่ก็มีเเต่คนดีๆเข้ามาเเต่เราไม่สนใจ โสดเเล้วสบายใจ ถึงเเม้จะเหงาหน่อยก็ตาม
เราเป็นกำลังใจให้ค่ะ
เเต่ซักพักนึงค่ะ จำคำเราไว้นะคะ จขกท.เราเป็นคนดี โลกจะเหวี่ยงคนไม่ดีออกจากชีวิตเรา เเละเหวี่ยงคนดีเข้ามา
เพราะเราเองก็เจอเรื่องที่เเย่มาเหมือนกัน ทุกวันนี้ฝ่ายชายที่ทิ้งเราไป โอดครวญค่ะ เพราะผู้หญิงคนใหม่เกาะเค้าไม่ยอมหางานทำเเถมยังมีลูกติดมาให้เลี้ยงอีก เข้มเเข็งไว้นะคะ เวลาจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น ทุกวันนี้เราก็โสด เเต่ก็มีเเต่คนดีๆเข้ามาเเต่เราไม่สนใจ โสดเเล้วสบายใจ ถึงเเม้จะเหงาหน่อยก็ตาม
เราเป็นกำลังใจให้ค่ะ
ความคิดเห็นที่ 7
สุดมือสอยก็ปล่อยไปครับ
ผู้ชายแบบนี้ปล่อยไปกับผู้หญิงแบบนั้นก็ดีแล้วครับ
รู้จักกัน7วัน ก็ทำแบบนี้แล้ว คิดว่าอนาคตจะเป็นยังไงครับ
อาจจะเจ็บ อาจจะทรมาน และคงยากที่จะทำใจ แต่คุณต้องทำให้ได้ครับ อภัยกับสิ่งที่พวกเค้าแต่ไม่กลับไปเป็นอย่างเดิมอีกแล้ว เค้าทำขนาดนี้แล้ว
ดูแลตัวเองครับ ตั้งใจทำงาน หาสิ่งดีๆให้ชีวิตดีกว่า ตอนนี้สิ่งที่คุณเสียไป ก็แค่ผู้ชายเลวๆ กับเพื่อนชั่วๆ น่ายินดีมากกว่าครับที่เสียของแบบนี้ไป
อย่าเอาความทุกข์ที่คนอื่นสร้างให้เรา มาบังความสุขที่เราจะมี วันนึงคุณจะได้เจอสิ่งดีๆครับ มองไปข้างหน้าและก้าวต่อไปครับ
ไม่ต้องห่วงครับ พวกเค้าไม่มีทางมีความสุขมากกว่าคุณแน่นอน เพราะดูแล้ว ผู้หญิงคนนั้นเห็นแก่เงินมากกว่า
และผู้ชายก็เห็นแก่ความง่ายของผู้หญิง เชื่อว่าไม่นานครับ คุณจะได้เห็นจุดจบที่ไม่ค่อยสวยของเค้าเหล่านี้
เพราะพวกเค้าทำแบบนี้กับคุณได้หักหลังคุณได้ เค้าก็ทำแบบนี้กันเองได้หากผู้หญิงเจอคนรวยกว่าเปย์มากกว่า
หรือผู้ชายเจอผู้หญิงสวยกว่าและง่ายกว่า เค้าก็หักหลังกันเองในสักวันละครับ
มองในแง่ดี คือคุณหลุดพ้นแล้วจากคนเหล่านี้ และอย่าได้กลับไป ให้เจอเรื่องเดิมๆอีกเลยครับ ขอให้ผ่านไปได้ครับ
ผู้ชายแบบนี้ปล่อยไปกับผู้หญิงแบบนั้นก็ดีแล้วครับ
รู้จักกัน7วัน ก็ทำแบบนี้แล้ว คิดว่าอนาคตจะเป็นยังไงครับ
อาจจะเจ็บ อาจจะทรมาน และคงยากที่จะทำใจ แต่คุณต้องทำให้ได้ครับ อภัยกับสิ่งที่พวกเค้าแต่ไม่กลับไปเป็นอย่างเดิมอีกแล้ว เค้าทำขนาดนี้แล้ว
ดูแลตัวเองครับ ตั้งใจทำงาน หาสิ่งดีๆให้ชีวิตดีกว่า ตอนนี้สิ่งที่คุณเสียไป ก็แค่ผู้ชายเลวๆ กับเพื่อนชั่วๆ น่ายินดีมากกว่าครับที่เสียของแบบนี้ไป
อย่าเอาความทุกข์ที่คนอื่นสร้างให้เรา มาบังความสุขที่เราจะมี วันนึงคุณจะได้เจอสิ่งดีๆครับ มองไปข้างหน้าและก้าวต่อไปครับ
ไม่ต้องห่วงครับ พวกเค้าไม่มีทางมีความสุขมากกว่าคุณแน่นอน เพราะดูแล้ว ผู้หญิงคนนั้นเห็นแก่เงินมากกว่า
และผู้ชายก็เห็นแก่ความง่ายของผู้หญิง เชื่อว่าไม่นานครับ คุณจะได้เห็นจุดจบที่ไม่ค่อยสวยของเค้าเหล่านี้
เพราะพวกเค้าทำแบบนี้กับคุณได้หักหลังคุณได้ เค้าก็ทำแบบนี้กันเองได้หากผู้หญิงเจอคนรวยกว่าเปย์มากกว่า
หรือผู้ชายเจอผู้หญิงสวยกว่าและง่ายกว่า เค้าก็หักหลังกันเองในสักวันละครับ
มองในแง่ดี คือคุณหลุดพ้นแล้วจากคนเหล่านี้ และอย่าได้กลับไป ให้เจอเรื่องเดิมๆอีกเลยครับ ขอให้ผ่านไปได้ครับ
ความคิดเห็นที่ 41
ก่อนอื่นอยากขอบคุณทุกความคิดเห็นรวมทั้งอินบ๊อกที่เข้ามาให้กำลังใจ เราอาจจะไม่สามารถตอบได้หมดเพราะเราใช้ไอดีพันทิปของเพื่อน แต่อยากขอชี้แจงเพียงเล็กน้อยว่าสาเหตุที่ตัดสินใจแชร์เรื่องนี้เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่เราเจอกับตัวเอง และอยากจะให้ทุกคนดูไว้เป็นอุธาหรณ์ อย่าคิดน้อยแบบเรา อย่าคิดว่าการคบกันนานแล้วผู้ชายจะไม่เปลี่ยนใจ และอย่าเชื่อใจคนรักเราจนเกินไปว่าคบกันนานเค้าคงไม่เสี่ยงไปเริ่มต้นกับใครใหม่แบบง่ายๆ เพราะสุดท้ายคนที่เจ็บคือตัวเราเองให้ดูกรณีเราเป็นตัวอย่างค่ะ ถามว่าตอนนี้ได้ติดต่อกับฝ่ายชายมั้ย? ไม่ได้ติดต่อแล้วค่ะ เพราะพ่อแม่เราทราบเรื่องก็โกรธมาก รวมถึงพ่อแม่ฝ่ายชายที่อยู่ต่างประเทศก็งงพอๆกัน ส่วนบางคนอาจสงสัยว่าทำไมถึงยอมบี เอาจริงๆเราไม่ได้ยอมค่ะ ดีเทลมีเยอะมากเราคุยกับเค้าซึ่งๆหน้าในโรงบาลตอนที่เราจับเค้าได้ว่าแอบสานสัมพันธ์กับแฟนเรา เค้าก็บอกว่าเสียใจ ขอโทษ โน่นนี่นั่นซึ่งเราก็ไม่ฟังเพราะคำแก้ตัวฟังไม่ขึ้น ใจจริงนี่อยากจะกระโดดถีบเอาหัวกดน้ำในโรงบาลด้วยซ้ำ แต่ที่ยับยั้งได้ในตอนนั้นทั้งๆที่มือสั่น เพราะมองว่า มันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องนำชีวิต ศักดิ์ศรี และกว่าที่พ่อแม่เราจะเลี้ยงโต ไปตบกับคนที่แย่งของๆเราเอาจริงๆเราก็รู้ Background ครอบครัวบีพอสมควร เลยคิดว่าบางสังคมอาจจะหล่อหลอมให้เค้าทำอะไรก็ได้ที่สามารถอัพคลาสให้ชีวิตเค้าดีขึ้น มันไม่คุ้มที่เราจะต้องไปแลกกับคนพันธุ์นี้. แต่เรียนตามตรงว่าเป็นคนคิดน้อยจริงๆ เราโดนสอนให้ไม่มองคนแต่ภายนอกบวกกับคิดว่าเป็นเพื่อนกันมาก่อนคงไม่ทำอะไรที่ทุเรศขนาดนี้ สรุปคิดผิดเองค่ะ
ความคิดเห็นที่ 10
จขกท พยายามหักห้ามความเสียใจหน่อยได้มั้ยครับ คุณไม่ไดเปล่อยเขาโดยลำพัง คุณจ้างบีเสมือนเป็นตัวแทนของเรา มาดูแลเขาแทนเรา เราไม่ได้ทิ้ง แต่เพื่อนมันชั่ว ทีนี้ ลองพิจารณาดู โดยเหตุผลแล้ว แฟนคุณไม่น่าจะไปรอดกับบี ความเป็นไปได้น้อยมาก พิจารณาจากแบคกราวด์ ที่แตกต่างกัน ระหว่างคุณกับบีอย่าให้พูดเลยเอาเป็นว่าคุณเหนือกว่าทุกอย่าง คุณไม่ได้ทำอะไรผิดเลยแม้แต่น้อย แต่ผมอยากให้คุณตั้งสติพิจารณา แปดปีน่าเสียดายจริง แต่ คุณจะยอมเอาชีวิตมาทิ้งกับผู้ชายที่ไม่มีวินัย ไม่มีความรับผิดชอบเห็นแก่ตัว ไม่สนใจว่าเราจะทุกข์แค่ไหน คุณจะทนอยู่กับผู้ชายแบบนี้ได้ตลอดชีวิตหรือ ไหนจะลูกอีก ที่ต้องมีพ่อ แบบนี้ ไม่รู้จะทิ้งครอบครัวไปหาความสุขส่วนตัวแบบไร้ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของสามีที่ดี อีกเมื่อไหร่ ลองพิจารณา บ่อยๆ อย่ามัวแต่เสียใจ อย่าหลงดราม่า ผมเชื่อว่า ดขาคงซมซานกลับมา แต่อย่าให้โอกาสเขาเลย พอแล้ว เขาเห็นเราเป็นของตายไปไหนไม่รอด เขาจึงกล้าไม่ให้เกียรติเราทำกับเราแบบนี้ คุณอยู่คนเดียวดีกว่า จนกว่าจะเจอคนที่รักเราจริงๆ เรือนหอนั่นให้ขายแบ่ง พยายามครับ มันไม่ง่ายแต่ต้องพยายาม พอคุณเอาจริงเขาจะตื้อคุณสุด ๆ ผมรู้ว่ามันจะมาไม้นี้ ขอโอกาส เเต่เชื่อเหอะมันเห็นโอกาสที่เราให้เป็นของราคาถูก ไม่ช้า เขาจะทำอีก เมื่อสบโอกาส หักใจดีกว่านะ คุณลองไปปรึกษาคุณพ่อคุณแม่คุณดู อย่าไปยึดติดกับการเอาอกเอาใจในอดีต นี่ล่ะ ตัวตนของเขา นี่คือของจริงอีกด้านนึง ที่ไม่มีใครที่ตกอยู่ในฐานะของคุณจะตัดสินใจร่วมชีวิตกับเขาได้ เป็นความผิดร้ายแรงในสาระสำคัญที่ไม่สามารถอภัยให้ได้ เขาทำโดยคิดดีแล้ว เขาก็ยังทำ
แสดงความคิดเห็น
อย่าปล่อยแฟนไว้ตามลำพังตอนป่วย แชร์ประสบการณ์สุดเจ็บปวด
วันนี้จะมาแชร์ประสบการณ์ ชีช้ำกะหล่ำปลี ซึ่งแน่นอนมนุษย์ทุกคนต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้ทุกคนถ้ายังอยากมีความรักการพบและเลิกกันมันธรรมดา แต่อยากเอาเรื่องตัวเองมาเป็นอุธาหรณ์สำหรับใครบางครั้งหลงปล่อยแฟนไว้ตอนป่วยไว้ลำพังแบบเรา
เรื่องของเรามีอยู่ว่า เรามีแฟนคบกันมา 8 ปี คบกันมาจนถึงขั้นวางแผนจะแต่งงานกันในปีหน้า สร้างเรือนหอรอไว้แล้วแถวชาญเมืองของ กทม. ในช่วงที่คบกันมาทุกอย่างราบรื่น เราเป็นคู่ที่ไม่เคยทะเลาะกัน หรือแม้แต่ใช้คำหยาบคายต่อกันเลย แฟนเราเป็นสุภาพบุรุษมาก ทุกวันจะรีดผ้า ทำกับข้าวให้เรา ก่อนไปทำงาน แม้ว่าปัจจุบันเค้าเป็นระดับผู้จัดการฝ่ายในบริษัทข้ามชาติแห่งหนึ่งแล้วก็ตาม แต่แล้วทุกๆอย่างของการเปลี่ยนไปก็เริ่มขึ้น
แฟนเราเล่นกีฬาหนักเกินไปจนทำให้เกิดอาการเอ็นร้อยหวายฉีกขาด จนต้องเข้ารับการผ่าตัดในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ซึ่งมันประจวบเหมาะกับตอนที่เราพึ่งจะย้ายงาน มาทำงานในบริษัทแห่งหนึ่งที่ใกล้กับบ้านแฟนพอดี(ตอนก่อนๆแยกกันอยู่เพราะที่ทำงานเราไกล เลยเปลี่ยนงานเพราะอยากอยู่ใกล้กันมากขึ้น) การผ่าตัดในครั้งนี้ทำให้แฟนเราต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล แต่ด้วยเนื่องจากเป็นโรงพยาบาลรัฐเลยมีกฏที่ว่าถ้าจะต้องนอนโรงพยาบาลแล้วอยู่ห้องพิเศษต้องมีญาติมาเฝ้า 24 ชม. ยกเว้นในกรณีอยู่อาคารผู้ป่วยรวม ด้วยความที่เราไม่อยากให้แฟนลำบากและอยู่ห้องผู้ป่วยรวมเพราะอยากให้เค้ามีที่ส่วนตัว เลยตัดสินใจให้เค้าอยู่ห้องพิเศษแม้ว่าตนเองจะไม่รู้ว่าจะมาเฝ้าได้หรือไม่ก็ตาม ผนวกกับตอนนั้นพยายามจ้างพยาบาลให้มาเฝ้าปรากฏว่าไม่มีพยาบาลคนใดในโรงพยาบาลว่างเลย (คาดว่าน่าจะยุ่งๆกันหมดเพราะคนไข้เยอะ) แถมพ่อแม่แฟนเราเค้าอยู่ที่ต่างประเทศและแก่มากเลยจะมาเยี่ยมก็ลำบาก บวกกับเราพึ่งเริ่มงานจะลางานยาว 5-6วันก็ไม่ได้เพราะรู้สึกเกรงใจที่ทำงาน เลยตัดสินใจจ้างเพื่อนคนนึงซึ่งเป็นที่มาของเรื่องทั้งหมด
เรามีเพื่อนคนหนึ่งขอใช้ชื่อย่อว่า บี ละกัน บีเป็นเพื่อนที่เรียนด้วยกันสมัยมัธยม บีเป็นคนสวย ตัวเล็ก สเป็คใครหลายๆคนชอบ แต่เพราะบีซึ่งเป็นเพื่อนเราติดผู้ชายในช่วงที่สมัยเรียนกับเราเลยทำให้เธอเรียนไม่จบ และปัจจุบันทำงานในผับแห่งหนึ่งใน กทม.มีเสี่ยเลี้ยงบ้างเป็นครั้งคราว ด้วยความที่บีทำงานกลางคืนเลยทำให้กลางวันซึ่งเป็นช่วงที่เราทำงานสามารถมาช่วยมาดูแฟนเราได้ และบีก็คุยเฟสกับเราบอกว่ายินดีที่จะช่วยเรา ซึ่งเราก็ไม่ได้หวังของฟรีอะไรขนาดนั้นเลยบอกไปว่าจะจ่ายเป็นค่าจ้างที่ใจดีมาเฝ้าให้ก็ได้วันละ 500 บาท บีก็บอกว่าไม่เป็นไรเพื่อนกันช่วยกันได้ ซึ่งบีสามารถเฝ้าไข้ให้ได้ตอน 8 โมงเช้า ถึง 4 โมงเย็นเพราะหลังจากนั้นต้องเข้าไปทำงานกลางคืนที่ผับซึ่งไม่ใช่ปัญหาเพราะเราสามารถมาเฝ้าไข้แฟนเราต่อได้และเราก็นอนที่โรงพยาบาลเพราะต้องเฝ้าไข้แฟนเราอยู่แล้ว พอเรารู้ว่ามีคนเฝ้าไข้แฟนเราแค่นั้นล่ะคะเราก็ใจชื้นขึ้น และพร้อมจะไปทำงานค่ะ
จนกระทั่งวันแรกของการที่เพื่อนเราเฝ้าผ่านไปทุกอย่างปกติ เราไปถึงโรงพยาบาลประมาณ 4 โมงกว่า เห็นเพื่อนเราพูดคุยกับแฟนเราที่นอนติดเตียงอยู่อย่างเฮฮา เราก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเห็นว่าแฟนเรายิ้มได้ก็แสดงว่าอาการโอเค หลังจากนั้นเราก็ดูแลแฟนเราตอนกลางคืน ป้อนข้าว นวดขาให้ เช็ดตัวให้ จนประมาณ ตี1 เราค่อยตื่นขึ้นมาดูว่าแฟนเรายังปวดแผลผ่าตัดมั้ย ถ้าปวดจะได้เรียกพยาบาลมาฉีดยาแก้ปวดให้ แน่นอนการที่มีแฟนป่วยเราไม่สามารถหลับเต็มตาได้เพราะเค้าจะปวดเรื่อยๆ เพราะเรารักและห่วงเค้ามาก
วันที่ 2 ต่อมา บีซึ่งเป็นเพื่อนเรามาโรงพยาบาลเร็วมาก ปกติเราบอกให้เค้ามา 8โมงเช้า แต่เค้ามาตอน 6โมงครึ่ง ซึ่งเป็นตอนที่เรายังไม่ออกจากโรงพยาบาลเพื่อไปทำงานตอนเช้าด้วยซ้ำ เค้าบอกว่าอยากดูแลแฟนเราเป็นห่วง เราก็แอบดีใจว่าเออหายห่วงไปอีกหนึ่งอย่าง จะได้ทำงานอย่างสบายใจ จนกระทั่งเรามาถึงโรงพยาบาลประมาณ 4 โมงเย็น หลังเคลียร์งานเสร็จ ก็เห็นเพื่อนเรากำลังป้อนข้าวแฟนเราอยู่ แต่เรายังไม่ได้เข้าไปข้างในทันที ยืนมองผ่านทางช่องประตูหน้าห้องผู้ป่วย สายตาที่แฟนเรามองบีไม่ใช่การมองแบบธรรมดา ส่วนบีก็ดูป้อนข้าวไปแล้วยิ้มกลุ้มกริ่ม เราเห็นสักพักเลยเข้าไป บีก็เหมือนจะตกใจนิดหน่อย ก่อนที่บีจะบอกเราว่า “แฟนเธอนี่เก่งนะผ่าตัดแบบนี้ยังกินข้าวได้ตั้งเยอะ ท่าทางกินข้าวอร่อยมาก” เราไม่ได้ตอบอะไรกับบี แต่หันไปถามแฟนเราว่า “เจ็บแผลมั้ยคะ? “ แฟนเราก็บอกว่า “เจ็บสิถามได้ !” ซึ่งเป็นการตอบแบบตะเบ็งเสียง เราถึงกับอึ้งเพราะปกติแฟนเราเค้าจะไปเคยตะเบ็งเสียงใส่เราอย่างนี้
วันที่ 3 ต่อมาก็เหมือนเดิมเพือนเรามาเฝ้าไข้ให้แฟนเรา แต่สิ่งหนึ่งที่แตกต่างออกไปคือพอหลังจากที่เพื่อนเรากลับช่วงประมาณ 4 โมงเย็น และแฟนเราอยู่กับเรา แฟนเราเหมือนนิ่งเงียบและไม่ค่อยสดใส ไม่พูดคุยอะไรกับเรามากมาย บอกแต่เหนื่อย ปวดแผลอยากนอนพัก ซึ่งแตกต่างจากตอนที่เพื่อนเรามาเฝ้า มีความเฮฮา แม้ว่าจะนอนติดเตียง จนกระทั่ง พยาบาลเข้ามาฉีดยาแก้ปวดให้แฟนเรา เค้าเลยคุยกับแฟนเราว่า “อ้าวแฟนกลับไปแล้วเหรอคะ“ เราก็เอ็ดไปแล้วบอกกับพยาบาลว่า “หนูนี่ล่ะคะแฟนของคนไข้” พยาบาลก็มองหน้าเราแปลกๆเหมือนมีอะไรอยากจะบอกเราแต่ไม่พูดอะไรแล้วเดินออกไป
จนกระทั่งวันที่ 4 หมอเข้ามาถามแฟนเราว่า อาการเจ็บแผลผ่าตัดดีขึ้นรึยัง ถ้าไม่เจ็บและสามารถเดินได้นิดหน่อยแล้ว สามารถกลับบ้านได้ แฟนเราก็เหมือนอิดออด แล้วบอกว่าขออยู่โรงพยาบาลต่อสัก 2-3 วันได้มั้ย ซึ่งปกติแล้วการผ่าตัดของแฟนเราเป็นการผ่าตัดเล็กพักฟื้นแค่ 4 วันก็สามารถออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว แต่แฟนเราก็ทำเหมือนบอกว่าปวดแผลอยู่ ทั้งๆที่พอลับหลังหมอก็เหมือนแทบจะปกติ พูดตลกโปกฮาได้ อาการค่อนข้างจะดูปกติ เราเลยคิดว่าแฟนเราอยากเจอบีรึเปล่า (ต่อมสงสัยเริ่มทำงาน) จนเราตัดสินใจตัดไฟแต่ต้นลมโดยการโทรไปหาเพื่อนที่เป็นพยาบาลอยู่ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งให้เค้าช่วยหาพยาบาลช่วยมาเฝ้าไข้แฟนเราให้หน่อย ปรากฏว่าเพื่อนเราหาให้ได้มีพยาบาลคนนึงว่างพอดี เราตัดสินใจจ้างพยาบาลมาเฝ้าไข้แฟนเรา คืนละ 1,500 บาท แล้วไลน์ไปบอกบีว่าไม่ต้องมาเฝ้าแฟนเราแล้วนะ เพราะว่าจ้างพยาบาลได้แล้ว บีก็อ่านข้อความแล้วตอบเราช้ามาก แล้วตอบแค่คำว่า อืม ก็แค่นั้น
หลังจากวันที่เราจ้างพยาบาลได้แล้ว เรากลับมาเฝ้าแฟนเราหลังเลิกงาน เราสังเกตเค้าดูอาการโรยๆไม่สดใส แม้ว่าพยาบาลแทบจะดูแลให้ทุกอย่าง จนกระทั่งวันต่อมาเราไปทำงานตอนเช้าแล้วแกล้งทำในออฟฟิสทำทีเป็นปวดหัวมากและมีไข้เลยขอลาผู้จัดการไปพักผ่อนที่บ้านซึ่งหัวหน้าอนุญาตเพราะกระทันหัน พอลาได้แล้วเราก็ขับรถตรงไปที่โรงพยาบาลเพื่อจะไปดูอาการแฟนเรา(แฟนเรายังไม่รู้ว่าเราจะมาคิดว่าอยู่ที่ทำงาน)
เราไปถึงห้องผู้ป่วยพิเศษของแฟนเรา แล้วส่องไปที่ช่องประตู ปรากฏว่าเราเจอบีมาที่ห้องผู้ป่วยของแฟนเราและกำลังจับมือแฟนเราที่นอนอยู่บนเตียง กุมมือกันอย่างแนบแน่น แล้วก็หอมแก้มกันแบบไม่เกรงใจพยาบาลที่เราจ้างมาเฝ้าไข้แฟนเราด้วยซ้ำ ในนาทีนั้นความรู้สึกเราชาไปหมด ภาพความรู้สึกที่รักกันมา 8 ปี แตกสลายลงไปในวันนั้น น้ำตาอื่ออยู่ภายใน
เราเข้าไปในห้อง ทันใดนั้นแฟนเราก็ทำหน้าแบบตื่นตกใจ แต่บีดูจะเฉยๆ เหมือนรู้อยู่แล้วว่าเราเห็นว่าบีกำลังสวีทกับแฟนเรา เราบอกแฟนว่าเห็นหมดแล้วนะว่ากำลังทำอะไรกันอยู่ แฟนเราดูตกใจแต่ก็ไม่ได้โวยวายอะไร แล้วแฟนเราก็บอกเราว่า “ บีเค้ามาดูแล ไม่มีอะไรอย่าคิดมาก” เรานี่ยิ่งโมโหเลยเพราะรู้เค้าแถไปเรื่อย เราน้ำตาซึมแล้วเดินออกจากห้องผู้ป่วย รู้สึกเสียใจกับการกระทำของแฟนเรา ได้แต่โทษตัวเองที่ไม่มีเวลาดูแลแฟนเลยปล่อยให้คนอื่นมาดูแลแล้วเกิดเหตุการณ์แบบนี้หรอ?
เราแอบเข้าไปดูเฟสบุ๊คของบี ซึ่งดูไม่มีอะไร เค้าก็ลงรูปทำงานในผับ เที่ยวปาร์ตี้ สักลายเพิ่มตามตัว ตามประสาที่เราเคยเห็นเค้าปกติ แต่พอเราเอาเฟสบุ๊คของเพื่อนอีกคนนึงไปส่องดูปรากฏว่าบีบล๊อคโพสกับเรา พูดง่ายๆทุกคนเห็นโพสหมดยกเว้นเรา ซึ่งโพสที่เค้าซ่อนกับเรานั้นเป็นภาพที่เค้าถ่ายรูปแฟนเราที่อยูโรงพยาบาล ภาพจับมือ หรือแม้กระทั่งที่พีคสุดคือ ภาพแฟนเราใช้ I Banking โอนเงินไปให้บีประมาณ 2 หมื่นเพื่อไปซื้อกระเป๋าไปใหม่ พร้อมกับแคปชั่นที่บีโพสว่า การดูแลกันในลำบากคือสิ่งที่มีค่ามากกว่าเงิน เล่นทำเอาเรามือสั่นไปหมด รู้สึกแบบ 8 ปีที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาไม่มีค่าอะไรเลย กับคนที่มาทำดีตอนป่วยแค่7 วัน อะไรมันเว่อร์ได้ขนาดนั้น
เราตัดสินใจไม่โทรหาแฟนเรา ทั้งรัก ทั้งโกรธ ทั้งห่วง เพราะเค้ายังไม่สามารถเดินได้ ซึ่งแน่นอนแฟนเราเค้าก็ไม่ได้โทรกลับมาหาเรา แม้ว่าตอนนอนโรงพยาบาลจะนั่งเล่นมือถือทั้งๆที่ตัวติดเตียงทั้งวัน จนกระทั่งเราไลน์ไปถามเค้าว่าอาการดีขึ้นมั้ย? เค้าเลยพิมพ์ตอบกลับมาว่า ดีขึ้นแล้วแต่ยังเดินไม่ได้ทันที และอยากจะไปพักฟื้นอยู่กับอาม่าที่สระบุรี เพราะที่นั่นอากาศดี พอเราได้ยินแบบนั้นก็เข้าใจและคิดว่าไม่เป็นไร ลองให้เค้าหายดีก่อนแล้วค่อยมาปรับความเข้าใจกัน เรื่องอะไรที่แล้วๆมาก็ให้มันจบไป เพราะปีหน้าจะแต่งงานกันแล้ว พยายามจะลืมทุกอย่างและขอให้เราสองคนอภัยให้กันและกัน
จนกระทั่งเราตัดสินใจใช้เฟสบุ๊คเพื่อนเราไปส่องเฟสบีอีกครั้ง ปรากฏสิ่งที่แฟนเราบอกว่าจะไปอยู่กับอาม่าคือการโกหก เพราะแท้ที่จริงแล้ว แฟนเราแอบไปอยู่กับบีที่เรือนหอเราที่สร้างไว้ ด้วยความที่ไม่มีเวลาไปดูเพราะเราอยู่แต่คอนโดแล้วทำงานหามรุ่มหามค่ำ บีได้ย้ายมาอยู่ที่เรือนหอเราเรียบร้อย แถมมีการโพสภาพแฟนเรากินข้าวกับครอบครัวของบี ซึ่งแม่ของบีก็เล่นเฟสบุ๊คพร้อมโพสภาพบ้านเราและแคปชั่นที่ว่า “บ้านว่าที่ลูกเขยเราบ้านจะหลังใหญ่หน่อยๆ” แถมมีเพื่อนมาเม้นใต้ภาพเช่น ได้ลูกเขยรวยจังนังบีวาสนาดีนะ , บ้านสวยเหมาะแก่การตั้งวงเล่นไพ่เป็นอย่างยิ่ง เป็นต้น
ตอนนี้เราร้องไห้จนจะขาดใจแล้วค่ะ ไม่รู้จะเอายังไงต่อใจนึงก็เสียดายเวลา 8 ปีที่คบกัน แถมเสียดายเวลาที่คบกันมา แต่เราไม่รู้จะเอายังไงต่อ จะปล่อยเค้าไปดีมั้ย อะไรทำให้เค้าเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ หรือเพราะเราไม่มีเวลาดูแลเค้าในโรงพยาบาลทั้งวันเลยทำให้เค้าเปลี่ยนใจไปรักคนอื่น ตอนนี้เสียใจมากค่ะ อยากให้เค้ากลับมา กลับมาเป็นคนเดิมที่รักเราได้มั้ย? ขอร้องล่ะ เราไม่ไหวจริงๆ