สวัสดีจ้าเพื่อนๆ เมื่อต้นเดือนมิถุนาเราพึ่งกลับมาจากทริปใหญ่ที่ค่อนข้างจะใช้เวลาเดินทางหลายวันอยู่ ทั้งหมด 9 วัน ทริปนี้เป็นอีกทริปที่ถือว่าเราได้เปิดประสบการณ์ใหม่ๆให้กับการเดินทางของเรา เพราะทริปนี้เป็นการเดินทางแบบล่องเรือสำราญ ว้าววววว เคยดูภาพยนตร์เรื่องไททานิคมั้ยเรือสำราญแบบนั้นเลยหรูหราอลังการ
เรือที่เราจะเดินทางไปด้วยในครั้งนี้คือเรือ Sapphire Princess ของตระกูล Princess Cruises และเส้นทางนี้เป็นเส้นทางใหม่ล่าสุดคือไต้หวัน – ญี่ปุ่น โดยเรือจะแล่นและแวะเที่ยวเมืองต่างๆของญี่ปุ่นมีทั้งหมด 4 เมืองคือ คาโกจิม่า, ฮิโรชิม่า, โคจิ, เบ๊บปุ โดยการเดินทางของเราต้องเริ่มที่ไต้หวันเพราะฉะนั้นเราชาวไทยต้องเดินทางจากประเทศไทยเพื่อไปขึ้นเรือที่เมืองคีลุง ประเทศไต้หวัน ขากลับเรือจะล่องมาจากญี่ปุ่น – ไต้หวันและเราก็นั่งเครื่องจากไต้หวันกลับสู่ประเทศไทยของเรา
อย่างที่บอกว่าการเดินทางทริปล่องเรือของเราเริ่มต้นที่ไต้หวันเพราะฉะนั้นวันแรกเราเดินทางไปที่ไทเป เราออกเดินทางตั้งแต่ไฟล์ทเช้า 8.35 ถึงไทเปก็ประมาณ 13.30 แต่ว่าวันนี้เราจะค้างที่ไทเป 1 คืนเพราะฉะนั้นเราจะมีเวลาได้เที่ยวไต้หวันได้อีกประมาณครึ่งวัน ออกจากสนามบินเราก็เดินทางไปยัง “อนุสรณ์สถานเจียงไคเชก” ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญของไต้หวันที่มาแล้วก็ไม่ควรพลาดที่จะไปชมสถานที่นี้
“อนุสรณ์สถานเจียงไคเชก” สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1976 เพื่อเป็นการรำลึกและเทิดทูนอดีตประธานาธิบดีเจียง ไคเชกซึ่งเป็นบุคคลที่มีความสำคัญมากต่อประเทศไต้หวันหรือจะเรียกว่าเป็นผู้สร้างประเทศไต้หวันขึ้นมาเลยก็ว่าได้
และเราก็โชคดีที่เดินทางมาถึงเวลาที่ทหารเปลี่ยนเวรพอดี ซึ่งถือเป็นไฮไลท์ของที่นี่จะมีทุกๆชั่วโมงแต่เรามาพอดีก็เลยไม่ต้องรอนาน เป็นพิธีที่ดูแล้วมีความขลังทุกคนที่ยืนดูจะรักษาความสงบกันมากทุกอย่างเงียบมีแต่เสียงเท้าของทหารที่กำลังเดินเปลี่ยนกันอย่างเป็นระเบียบ
ออกจากอนุสรณ์สถานเจียงไคเชกก็ไปต่อกันที่ Landmark ของไต้หวันที่มีชื่อเสียงระดับโลกอย่างตึกไทเป 101 ตึกที่เคยสูงที่สุดในโลก แต่ตอนนี้มีคนล้มแชมป์ไปแล้ว เราโชคดีมากพอไปถึงตึกไทเป 101 ฝนก็ตกลงมาโปรยปราย T T จริงๆแล้วช่วงนี้เราไปเป็นช่วงที่ไต้หวันกำลังจะเข้าสู่หน้าฝนพอดี เราก็เลยต้องรีบอพยพหลบฝนเข้าไปด้านใน
โชคดีที่ในตึกไทเป 101 มีศูนย์อาหารซึ่งอาหารที่นี่ก็น่ากินมากๆเลย ราคาไม่แพงแต่หน้าตาดูดีมากรสชาติก็ดีด้วย
อิ่มแล้วฝนก็ยังไม่มีวี่แววจะหยุด วันนี้คงไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนต่อแล้วก็คงต้องกลับไปพักผ่อนที่โรงแรมเพื่อรอขึ้นเรือพรุ่งนี้เช้า
โรงแรมที่เราพักในไทเปชื่อว่าโรงแรม Fullon Hotels & Resorts
โรงแรมนี้จะอยู่ออกมาจากตัวเมืองนิดหน่อยแต่จะใกล้กับท่าเรือคีลุงที่เราจะต้องเดินทางไปขึ้นเรือในวันพรุ่งนี้
ห้องพักที่นี่ดีค่ะ สะอาด ห้องก็กว้างดี
อรุณสวัสดิ์เช้าแล้วจ้าเตรียมตัวเดินทางสู่ท่าเรือคีลุง เพื่อขึ้นเรือ Sapphire Princess กันดีกว่า
จากโรงแรมเราถึงท่าเรือคีลุงประมาณ 11.00 น. นั่นไงเห็นเรือของเราหรือยังยิ่งใหญ่อลังการมั้ยละ
ผ่านสถานีรถไฟเมืองคีลุงเห็นเค้าวาดรูปบนผนังไว้ซะน่ารักเชียวเลยถ่ายรูปมาด้วยที่นี่เค้าใช้สโลแกนว่า cute keelung
พอมาถึงท่าเรือแล้วเราก็ต้องเตรียมตัวเช็คอินขึ้นเรือเราต้องเตรียม
1.พาสปอร์ต 2.ตั๋วเรือ 3.แบบสอบถามสุขภาพ(ไปรับที่ท่าเรือ) 4.บัตรเครดิต
(ในกรณีที่ใช้เงินสดใช้จ่ายบนเรือก็ไม่ต้องเตรียมบัตรเครดิตค่ะ)
ก่อนเข้าเช็คอินทางบริษัท Regale จะมีแท๊กสติ๊กเกอร์มาให้เราติดกระเป๋าไว้ก่อนเข้าเช็คอิน อันนี้สำคัญมากเพราะถ้าไม่ติดหรือถ้าหายไปเจ้าหน้าที่บนเรือก็จะไม่ทราบว่ากระเป๋าใบนี้เป็นของใครจะต้องส่งไปที่ห้องไหน เพราะว่าก่อนเข้าเช็คอินเราจะต้องนำกระเป๋าของเราไปทิ้งไว้ให้เจ้าหน้าที่นำขึ้นเรือ
ซึ่งเราจะเจอกระเป๋าอีกทีก็อาจจะเย็นๆค่ำๆ ที่หน้าห้องพักของเราเลย เพราะฉะนั้นของใช้จำเป็นควรใส่กระเป๋าใบเล็กๆเอาไว้อีกหนึ่งใบ สำหรับติดตัวตลอด
เอากระเป๋าไปเก็บเรียบร้อยก็เดินตัวปลิวไปเข้าแถวรอเช็คอินได้เลยค่ะ สถานที่เช็คอินนี่ใหญ่โตเลยมีหลายช่องมากๆ
ทีแรกคิดว่าจะเป็นโต๊ะเล็กๆแต่นี่เป็นเคาท์เตอร์จริงจังคงสร้างไว้สำหรับรองรับนักท่องเที่ยวจากเรือสำราญโดยเฉพาะเลย และใน Terminal นี้ยังมี ตม. อยู่ในนี้ด้วยพอเสร็จขั้นตอนการเช็คอินก็จะเดินเข้าไปที่ตม. ด้านในเลย พอผ่านตม. ก็เป็นทางเดินเข้าสู่ตัวเรือทันทีขั้นตอนเหล่านี้รวดเร็วมากยังไม่ทันตั้งตัวอ้าวๆ นี่เราเข้ามาในเรือแล้วเหรอเนี่ย ^_^
หลังจากเดินมึนๆ ไหลๆ ตามขั้นตอนจนเข้ามาสู่ภายในตัวเรือเรียบร้อยขั้นตอนต่อไปที่สำคัญมากเช่นกันก็คือการเติมเงินเข้าสู่ Cruise Card เราสามารถเติมเงินได้ที่ Guess Services ชั้น 6 พอผ่านตม.เดินเข้าเรือมาก็เจอเลยค่ะ
บัตร Cruise Card นี้เจ้าหน้าที่จะให้เรามาตอนเช็คอินเสร็จเรียบร้อยการ์ดนี้สำคัญมากนะคะ เป็นเสมือนบัตรประชาชน บัตรเครดิตในขณะที่เราใช้ชีวิตอยู่บนเรือ เพราะว่าเวลาเราใช้จ่ายบนเรือเค้าไม่ใช้เงินสดกันเราจะใช้บัตรใบนี้สำหรับการจ่ายเงินสำหรับซื้อของหรือค่าบริการต่างๆ และยังเป็นบัตรที่ใช้เข้า – ออกเรือเวลาเราแวะเที่ยวเมืองต่างๆอีกด้วย สำคัญมั้ยละถ้าทำหายนี่วุ่นวายเลยทีเดียวส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวทุกคนจึงต้องมีสายห้อยคอสำหรับใส่บัตรพวกนี้เอาไว้แทบทุกคน
พอขึ้นเรือเสร็จก็ตามสบายเลยค่ะใครจะไปห้องก่อน ไปทานข้าว หรือเดินเล่นก็ได้เลยทุกคนเป็นอิสระแล้ว ส่วนเราต้องไปจัดการเติมเงินเข้าไปในบัตรก่อนเพราะว่าเราใช้จ่ายบนเรือด้วยเงินสดคือเติมเงิน 300 ดอลล่าใช้เท่าไหร่ก็หักเงินในบัตรไป
ก่อนจะออกเดินทางเรามาทำความรู้จักกับเรือลำนี้กันหน่อยดีกว่า เรือลำนี้ชื่อว่า Sapphire Princess
ขนาดระวางขับน้ำ: 116,000 ตัน ใหญ่เป็นอันดับที่สามในตระกูล Princess Cruises รองจาก Royal & Regal Princess และ Majestic Princess
ความยาว 952 ฟุต / ความสูง 205 ฟุต / จำนวนชั้นบริการ 18 ชั้น / ห้องผู้โดยสาร: 1,337 ห้อง / สระว่ายน้ำจำนวน 3 สระ / บ่อนวดจำนวน 8 บ่อ / จำนวนผู้โดยสารทั้งหมด 2,678 คน
เส้นทางทริปนี้คือ ไทเป – คาโกชิม่า – ฮิโรชิม่า – โคจิ – เบ๊บปุ – ไทเป
ห้องที่เราพักคือห้อง Mini Suite with Balcony เป็นห้องพักที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่นอนสบายไม่อึดอัด มีมุมสำหรับนั่งเล่นแยกกับเตียงนอนพร้อมระเบียง ภายในห้องมีทีวี 2 เครื่อง มีกาน้ำร้อน ตู้เย็น ตู้เสื้อผ้า ห้องน้ำมีอ่างอาบน้ำ สำหรับห้องพักบนเรือถือว่าห้องนี้สะดวกสบายมาก

สำรวจห้องเสร็จสักพักก็จะมีเสียงประกาศบนเรือให้เข้าร่วมขั้นตอนการสาธิตขั้นตอนความปลอดภัยในกรณีฉุกเฉินต่างๆที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง ซึ่งทุกคนจะต้องเข้าร่วมกิจกรรมนี้เพราะก่อนเข้าลูกเรือจะสแกนบัตรของเราเอาไว้ ว่าเราเข้ารับการร่วมกิจกรรมนี้แล้วส่วนใครที่ไม่เข้าร่วมอย่าคิดว่าจะลอยนวลไปได้ ฮ่าๆๆ เมื่อคุณเข้าสู่การขึ้นลงเรือเพื่อเที่ยวเมืองต่างๆอาจมีปัญหายุ่งยากเสียเวลาได้เพราะฉะนั้นควรเข้าร่วมกิจกรรมนี้
ฟังการสาธิตเสร็จแล้วท้องก็ร้องแล้วเราก็เลยไปทานอาหารกันที่ห้องอาหารที่ถือว่าเป็นห้องอาหารหลักของเรือลำนี้เลยก็ได้นั่นก็คือห้อง Horizon Court Buffet เป็นห้องที่เปิดบริการตั้งแต่ตีห้าจนถึงเที่ยงคืน ตลอดเวลา 6 วันเต็มบนเรือเราเลยกลายเป็นขาประจำของห้องอาหารนี้ไปเลย
ไม่ว่าจะเป็นมื้อเช้า มื้อกลางวัน มื้อเย็น มื้อดึกซึ่งมีแทบทุกวันสำหรับมื้อดึกเนี่ย ก็สามารถมาทานที่นี่ได้ตลอด มีทั้งอาหารคาว ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารอิตาเลี่ยน มีอาหารจีนมานิดหน่อย ผลไม้ เบเกอรี่ ชา กาแฟ สามารถทานได้ตลอดเวลาเลยกลับมาแทบติดนิสัยเพราะอยู่บนเรือหิวเมื่อไหร่ก็เดินมาทานมีอาหารให้ทานตลอดเวลาเลย
สามารถนำอาหารออกมาทานชมวิวที่โซนระเบียงด้านหลังเรือได้ด้วยนะ ฟินสุดๆ

อิ่มแล้วไปเดินชมเรือกันดีกว่าเราออกจากห้องอาหารซึ่งอยู่ที่ชั้น 14 เดินออกมาตรงกลางของเรือจะมี Neptune Pool คือสระว่ายน้ำใหญ่ที่สุดบนเรือ มีจากุชชี่ อีก 2 สระ
และข้างๆสระ จะมี Prego Pizzeria มีพิซซ่าเปิดให้ทานกันตลอดวันตั้งแต่เวลา 11.00 – 23.00 เลย
Sundaes Ice Cream Bar มีไอศกรีมให้ทานกันตลอดเช่นกัน
Mermaid’s Tail Bar บาร์เครื่องดื่มทั้งค๊อกเทล น้ำผลไม้ ชา กาแฟ แต่ที่ Bar มีค่าบริการนะคะ
ขึ้นไปด้านบนจาก Neptune Pool เป็นชั้น 15 เป็นชั้นสำหรับชมภาพยนตร์มีจอขนาดใหญ่เรียกว่า Movies Under The Star ที่นี่จะฉายภาพยนตร์ใหม่ๆ คอนเสิร์ต สารคดีให้ชมกันทุกวัน ในส่วนนี้ถือว่าเป็นโซน Outdoor ที่ใหญ่ที่สุดของเรือและมี Tradewinds Bar ไว้บริการเครื่องดื่ม ถ้าหากไม่มีการแสดงสำคัญอะไรบนเรือนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็จะมารวมตัวกันที่นี่แหละค่ะ
จากกลางเรือชั้น 14 เราเดินไปทางด้านหลังเรือเราก็จะเจอ Calypso Reef & Pool เป็นสระว่ายน้ำในร่มมีอ่างจากุชชี่และ Calypso Bar
[SR] เที่ยวแบบหรูสุดสำราญไปกับเรือ Sapphire Princess
เรือที่เราจะเดินทางไปด้วยในครั้งนี้คือเรือ Sapphire Princess ของตระกูล Princess Cruises และเส้นทางนี้เป็นเส้นทางใหม่ล่าสุดคือไต้หวัน – ญี่ปุ่น โดยเรือจะแล่นและแวะเที่ยวเมืองต่างๆของญี่ปุ่นมีทั้งหมด 4 เมืองคือ คาโกจิม่า, ฮิโรชิม่า, โคจิ, เบ๊บปุ โดยการเดินทางของเราต้องเริ่มที่ไต้หวันเพราะฉะนั้นเราชาวไทยต้องเดินทางจากประเทศไทยเพื่อไปขึ้นเรือที่เมืองคีลุง ประเทศไต้หวัน ขากลับเรือจะล่องมาจากญี่ปุ่น – ไต้หวันและเราก็นั่งเครื่องจากไต้หวันกลับสู่ประเทศไทยของเรา
อย่างที่บอกว่าการเดินทางทริปล่องเรือของเราเริ่มต้นที่ไต้หวันเพราะฉะนั้นวันแรกเราเดินทางไปที่ไทเป เราออกเดินทางตั้งแต่ไฟล์ทเช้า 8.35 ถึงไทเปก็ประมาณ 13.30 แต่ว่าวันนี้เราจะค้างที่ไทเป 1 คืนเพราะฉะนั้นเราจะมีเวลาได้เที่ยวไต้หวันได้อีกประมาณครึ่งวัน ออกจากสนามบินเราก็เดินทางไปยัง “อนุสรณ์สถานเจียงไคเชก” ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญของไต้หวันที่มาแล้วก็ไม่ควรพลาดที่จะไปชมสถานที่นี้
“อนุสรณ์สถานเจียงไคเชก” สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1976 เพื่อเป็นการรำลึกและเทิดทูนอดีตประธานาธิบดีเจียง ไคเชกซึ่งเป็นบุคคลที่มีความสำคัญมากต่อประเทศไต้หวันหรือจะเรียกว่าเป็นผู้สร้างประเทศไต้หวันขึ้นมาเลยก็ว่าได้
และเราก็โชคดีที่เดินทางมาถึงเวลาที่ทหารเปลี่ยนเวรพอดี ซึ่งถือเป็นไฮไลท์ของที่นี่จะมีทุกๆชั่วโมงแต่เรามาพอดีก็เลยไม่ต้องรอนาน เป็นพิธีที่ดูแล้วมีความขลังทุกคนที่ยืนดูจะรักษาความสงบกันมากทุกอย่างเงียบมีแต่เสียงเท้าของทหารที่กำลังเดินเปลี่ยนกันอย่างเป็นระเบียบ
ออกจากอนุสรณ์สถานเจียงไคเชกก็ไปต่อกันที่ Landmark ของไต้หวันที่มีชื่อเสียงระดับโลกอย่างตึกไทเป 101 ตึกที่เคยสูงที่สุดในโลก แต่ตอนนี้มีคนล้มแชมป์ไปแล้ว เราโชคดีมากพอไปถึงตึกไทเป 101 ฝนก็ตกลงมาโปรยปราย T T จริงๆแล้วช่วงนี้เราไปเป็นช่วงที่ไต้หวันกำลังจะเข้าสู่หน้าฝนพอดี เราก็เลยต้องรีบอพยพหลบฝนเข้าไปด้านใน
โชคดีที่ในตึกไทเป 101 มีศูนย์อาหารซึ่งอาหารที่นี่ก็น่ากินมากๆเลย ราคาไม่แพงแต่หน้าตาดูดีมากรสชาติก็ดีด้วย
อิ่มแล้วฝนก็ยังไม่มีวี่แววจะหยุด วันนี้คงไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนต่อแล้วก็คงต้องกลับไปพักผ่อนที่โรงแรมเพื่อรอขึ้นเรือพรุ่งนี้เช้า
โรงแรมที่เราพักในไทเปชื่อว่าโรงแรม Fullon Hotels & Resorts
โรงแรมนี้จะอยู่ออกมาจากตัวเมืองนิดหน่อยแต่จะใกล้กับท่าเรือคีลุงที่เราจะต้องเดินทางไปขึ้นเรือในวันพรุ่งนี้
ห้องพักที่นี่ดีค่ะ สะอาด ห้องก็กว้างดี
อรุณสวัสดิ์เช้าแล้วจ้าเตรียมตัวเดินทางสู่ท่าเรือคีลุง เพื่อขึ้นเรือ Sapphire Princess กันดีกว่า
จากโรงแรมเราถึงท่าเรือคีลุงประมาณ 11.00 น. นั่นไงเห็นเรือของเราหรือยังยิ่งใหญ่อลังการมั้ยละ
ผ่านสถานีรถไฟเมืองคีลุงเห็นเค้าวาดรูปบนผนังไว้ซะน่ารักเชียวเลยถ่ายรูปมาด้วยที่นี่เค้าใช้สโลแกนว่า cute keelung
พอมาถึงท่าเรือแล้วเราก็ต้องเตรียมตัวเช็คอินขึ้นเรือเราต้องเตรียม
1.พาสปอร์ต 2.ตั๋วเรือ 3.แบบสอบถามสุขภาพ(ไปรับที่ท่าเรือ) 4.บัตรเครดิต
(ในกรณีที่ใช้เงินสดใช้จ่ายบนเรือก็ไม่ต้องเตรียมบัตรเครดิตค่ะ)
ก่อนเข้าเช็คอินทางบริษัท Regale จะมีแท๊กสติ๊กเกอร์มาให้เราติดกระเป๋าไว้ก่อนเข้าเช็คอิน อันนี้สำคัญมากเพราะถ้าไม่ติดหรือถ้าหายไปเจ้าหน้าที่บนเรือก็จะไม่ทราบว่ากระเป๋าใบนี้เป็นของใครจะต้องส่งไปที่ห้องไหน เพราะว่าก่อนเข้าเช็คอินเราจะต้องนำกระเป๋าของเราไปทิ้งไว้ให้เจ้าหน้าที่นำขึ้นเรือ
ซึ่งเราจะเจอกระเป๋าอีกทีก็อาจจะเย็นๆค่ำๆ ที่หน้าห้องพักของเราเลย เพราะฉะนั้นของใช้จำเป็นควรใส่กระเป๋าใบเล็กๆเอาไว้อีกหนึ่งใบ สำหรับติดตัวตลอด
เอากระเป๋าไปเก็บเรียบร้อยก็เดินตัวปลิวไปเข้าแถวรอเช็คอินได้เลยค่ะ สถานที่เช็คอินนี่ใหญ่โตเลยมีหลายช่องมากๆ
ทีแรกคิดว่าจะเป็นโต๊ะเล็กๆแต่นี่เป็นเคาท์เตอร์จริงจังคงสร้างไว้สำหรับรองรับนักท่องเที่ยวจากเรือสำราญโดยเฉพาะเลย และใน Terminal นี้ยังมี ตม. อยู่ในนี้ด้วยพอเสร็จขั้นตอนการเช็คอินก็จะเดินเข้าไปที่ตม. ด้านในเลย พอผ่านตม. ก็เป็นทางเดินเข้าสู่ตัวเรือทันทีขั้นตอนเหล่านี้รวดเร็วมากยังไม่ทันตั้งตัวอ้าวๆ นี่เราเข้ามาในเรือแล้วเหรอเนี่ย ^_^
หลังจากเดินมึนๆ ไหลๆ ตามขั้นตอนจนเข้ามาสู่ภายในตัวเรือเรียบร้อยขั้นตอนต่อไปที่สำคัญมากเช่นกันก็คือการเติมเงินเข้าสู่ Cruise Card เราสามารถเติมเงินได้ที่ Guess Services ชั้น 6 พอผ่านตม.เดินเข้าเรือมาก็เจอเลยค่ะ
บัตร Cruise Card นี้เจ้าหน้าที่จะให้เรามาตอนเช็คอินเสร็จเรียบร้อยการ์ดนี้สำคัญมากนะคะ เป็นเสมือนบัตรประชาชน บัตรเครดิตในขณะที่เราใช้ชีวิตอยู่บนเรือ เพราะว่าเวลาเราใช้จ่ายบนเรือเค้าไม่ใช้เงินสดกันเราจะใช้บัตรใบนี้สำหรับการจ่ายเงินสำหรับซื้อของหรือค่าบริการต่างๆ และยังเป็นบัตรที่ใช้เข้า – ออกเรือเวลาเราแวะเที่ยวเมืองต่างๆอีกด้วย สำคัญมั้ยละถ้าทำหายนี่วุ่นวายเลยทีเดียวส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวทุกคนจึงต้องมีสายห้อยคอสำหรับใส่บัตรพวกนี้เอาไว้แทบทุกคน
พอขึ้นเรือเสร็จก็ตามสบายเลยค่ะใครจะไปห้องก่อน ไปทานข้าว หรือเดินเล่นก็ได้เลยทุกคนเป็นอิสระแล้ว ส่วนเราต้องไปจัดการเติมเงินเข้าไปในบัตรก่อนเพราะว่าเราใช้จ่ายบนเรือด้วยเงินสดคือเติมเงิน 300 ดอลล่าใช้เท่าไหร่ก็หักเงินในบัตรไป
ก่อนจะออกเดินทางเรามาทำความรู้จักกับเรือลำนี้กันหน่อยดีกว่า เรือลำนี้ชื่อว่า Sapphire Princess
ขนาดระวางขับน้ำ: 116,000 ตัน ใหญ่เป็นอันดับที่สามในตระกูล Princess Cruises รองจาก Royal & Regal Princess และ Majestic Princess
ความยาว 952 ฟุต / ความสูง 205 ฟุต / จำนวนชั้นบริการ 18 ชั้น / ห้องผู้โดยสาร: 1,337 ห้อง / สระว่ายน้ำจำนวน 3 สระ / บ่อนวดจำนวน 8 บ่อ / จำนวนผู้โดยสารทั้งหมด 2,678 คน
เส้นทางทริปนี้คือ ไทเป – คาโกชิม่า – ฮิโรชิม่า – โคจิ – เบ๊บปุ – ไทเป
ห้องที่เราพักคือห้อง Mini Suite with Balcony เป็นห้องพักที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่นอนสบายไม่อึดอัด มีมุมสำหรับนั่งเล่นแยกกับเตียงนอนพร้อมระเบียง ภายในห้องมีทีวี 2 เครื่อง มีกาน้ำร้อน ตู้เย็น ตู้เสื้อผ้า ห้องน้ำมีอ่างอาบน้ำ สำหรับห้องพักบนเรือถือว่าห้องนี้สะดวกสบายมาก
สำรวจห้องเสร็จสักพักก็จะมีเสียงประกาศบนเรือให้เข้าร่วมขั้นตอนการสาธิตขั้นตอนความปลอดภัยในกรณีฉุกเฉินต่างๆที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง ซึ่งทุกคนจะต้องเข้าร่วมกิจกรรมนี้เพราะก่อนเข้าลูกเรือจะสแกนบัตรของเราเอาไว้ ว่าเราเข้ารับการร่วมกิจกรรมนี้แล้วส่วนใครที่ไม่เข้าร่วมอย่าคิดว่าจะลอยนวลไปได้ ฮ่าๆๆ เมื่อคุณเข้าสู่การขึ้นลงเรือเพื่อเที่ยวเมืองต่างๆอาจมีปัญหายุ่งยากเสียเวลาได้เพราะฉะนั้นควรเข้าร่วมกิจกรรมนี้
ฟังการสาธิตเสร็จแล้วท้องก็ร้องแล้วเราก็เลยไปทานอาหารกันที่ห้องอาหารที่ถือว่าเป็นห้องอาหารหลักของเรือลำนี้เลยก็ได้นั่นก็คือห้อง Horizon Court Buffet เป็นห้องที่เปิดบริการตั้งแต่ตีห้าจนถึงเที่ยงคืน ตลอดเวลา 6 วันเต็มบนเรือเราเลยกลายเป็นขาประจำของห้องอาหารนี้ไปเลย
ไม่ว่าจะเป็นมื้อเช้า มื้อกลางวัน มื้อเย็น มื้อดึกซึ่งมีแทบทุกวันสำหรับมื้อดึกเนี่ย ก็สามารถมาทานที่นี่ได้ตลอด มีทั้งอาหารคาว ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารอิตาเลี่ยน มีอาหารจีนมานิดหน่อย ผลไม้ เบเกอรี่ ชา กาแฟ สามารถทานได้ตลอดเวลาเลยกลับมาแทบติดนิสัยเพราะอยู่บนเรือหิวเมื่อไหร่ก็เดินมาทานมีอาหารให้ทานตลอดเวลาเลย
สามารถนำอาหารออกมาทานชมวิวที่โซนระเบียงด้านหลังเรือได้ด้วยนะ ฟินสุดๆ
อิ่มแล้วไปเดินชมเรือกันดีกว่าเราออกจากห้องอาหารซึ่งอยู่ที่ชั้น 14 เดินออกมาตรงกลางของเรือจะมี Neptune Pool คือสระว่ายน้ำใหญ่ที่สุดบนเรือ มีจากุชชี่ อีก 2 สระ
และข้างๆสระ จะมี Prego Pizzeria มีพิซซ่าเปิดให้ทานกันตลอดวันตั้งแต่เวลา 11.00 – 23.00 เลย
Sundaes Ice Cream Bar มีไอศกรีมให้ทานกันตลอดเช่นกัน
Mermaid’s Tail Bar บาร์เครื่องดื่มทั้งค๊อกเทล น้ำผลไม้ ชา กาแฟ แต่ที่ Bar มีค่าบริการนะคะ
ขึ้นไปด้านบนจาก Neptune Pool เป็นชั้น 15 เป็นชั้นสำหรับชมภาพยนตร์มีจอขนาดใหญ่เรียกว่า Movies Under The Star ที่นี่จะฉายภาพยนตร์ใหม่ๆ คอนเสิร์ต สารคดีให้ชมกันทุกวัน ในส่วนนี้ถือว่าเป็นโซน Outdoor ที่ใหญ่ที่สุดของเรือและมี Tradewinds Bar ไว้บริการเครื่องดื่ม ถ้าหากไม่มีการแสดงสำคัญอะไรบนเรือนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็จะมารวมตัวกันที่นี่แหละค่ะ
จากกลางเรือชั้น 14 เราเดินไปทางด้านหลังเรือเราก็จะเจอ Calypso Reef & Pool เป็นสระว่ายน้ำในร่มมีอ่างจากุชชี่และ Calypso Bar