คือจริงๆแล้วอึดอัด หาที่ระบายมากกว่า
ไม่คิดว่าชีวิตจะมาเจอคนแบบนี้ได้ขนาดนี้เลย ขอเล่าเป็นตอนๆเป็นเหตุการณืไปเลยตั้งแต่แรกนะค่ะ อาจจะยาวหน่อย
ขอบคุณที่จะอ่านและรับฟังสิ่งที่มันเกิดนะค่ะ
1.เรากับแฟนแต่งงานกันเมื่อช่วงต้นปี60ที่ผ่าน เรากับแฟนคบกันไม่นานเท่าไร แต่รู้จักกันมานานมากๆแล้ว เขาอายุห่างกับเรา 7 ปี มีลูกติด 1คน อายุประมาณ12-13 ปีได้ โดยที่ครอบครัวเขามีเขาเป็นลูกชายคนโต อารมว่าเสาหลักเลยก็ว่าได้ มีน้องสาวคนกลางที่แต่งงานไปอยู่ที่อื่น นานๆมาที และน้องชายคนเล็ก ซึ่งอายุรุ่นราวคราวเดียวกับลูกชายของเขาเลย โดยที่ก่อนแต่งไม่ได้รู้จักกับครอบครัวเขามากนัก ไปเจอ พูดคุย แต่ไม่ได้สนิทอะไรส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตไปไหนมาไหนกับแฟนเรา และลูกเขากับน้องเขาบ้างเป็นครั้งคราว โดยที่มารู้ทีหลังหลังจาก ผู้ใหญ่คุยกันว่า พ่อของแฟนเราเป็นลูกน้องเก่าของพ่อเราเอง เขาจะอาศัยอยู่ในบ้านพักของหน่วยงาน แต่แฟนเราทำงานทำเรื่องกู้ซื้อบ้านผ่าน ก็คงยังไปๆมาๆระหว่างบ้านใหม่และบ้านพัก และบ้านเรากับเขาอยู่ใกล็กันมากประมาณ1กิโลกว่าๆได้
2.เรากับแฟนแต่งงานกัน โดยที่พ่อแม่ของเขาไม่ค่อยสบอารม เราสังเกตุทุกอย่างเอง ตอนแรกคิดว่าคิดไปเอง แต่ทุกคนรอบข้างก็บอกเราแบบนั้น เงินในการจัดงานแต่งงาน คือเงินแฟนเอามาจัดงาน เงินเราซื้อทองทั้งหมด และที่เหลือคือเงินสินสอดที่วางรวมถึงจิปาถะคือเงินที่บ้านเราทั้งหมด โดยที่พ่อแม่แฟนไม่ได้มาถามไถ่มายุ่งมาถามอะไร แม้กระทั่งวันงาน ก็ไม่มาช่วยงานอะไรใดๆ ขนาดว่าแฟนเราต้องมาที่บ้านเราเพื่อช่วยงาน แม่เขากลับด่าว่ามาช่วยทำไมให้ไปที่บ้าน ไปดูแลญาติพี่น้องตัวเองที่มา พอถึงวันงาน แม่เขาก็ออกฤทธิ์ ทำพฤติกรรมที่เรียกว่าสันดานออกมากลางงานพิธีว่า ปวดหัวมาก มาดึงลูกชายที่ทำพิธีอยู่ว่า จะกลับบ้าน ไปส่งที่บ้านตอนนี้เลย เราหันไปพร้อมกับบอกออกไป ไม่มีคนพาไปหรือไม่รู้กาละเทศะ ทุกคนในงานหันมามองเราพร้อมกับความเงียบ จนงานแต่งผ่านไป ไม่ช่วยเราแล้ว ยังมาขอค่าอันนั้นอันนี้อีก เรางงใจมาก งานแต่งเราไม่มีใครรู้ว่าคนไหนคือแม่แฟนเรา พอทุกคนรู้ถึงกับบอกว่า คนนี้หรอ เออ..สรุปไปว่าญาติ พี่น้องเรา ไปแสดงอาการต่ำทรามใส่แทบทุกคน ขนาดเพื่อนเราเห็นเพื่อนเรายังบอกว่าน่าจะมีศึกใหญ่ละ แต่เราก็เงียบไม่อยากทะเลาะกับแฟนเรา...
3.แม่ของเขาเป็นคนแถบจังหวัดที่ติดเขมร คือเป็นเขมรแหละ ไม่มีความรู้แต่อวด พูดจาหน้าอน่างหลังอย่าง เรื่องแบบนี้เขาหูเราแทบทุกวัน เพราะพ่อของเขาเป็นลูกน้องเก่าพ่อเรา ซึ่งเพื่อนร่วมงานต่างๆของพ่อเขาก็จะสนิทกับที่บ้านเราหลายคน ก็จะมาบอกต่างๆนาๆ รวมถึงการบอกว่า เราคงดวงไม่ดีที่ตกเป็นสะใภ้บ้านนี้ เราใช้ชีวิตปกติหลังแต่งงาน ไปๆมาๆเพราะบ้านเราใกล้ๆกัน วันเทศกาลหรืออะไรเราก็พาแฟนเรากราบพ่อแม่รดน้ำดำหัวอะไร ตามแบบที่เราทำกับที่บ้านเรามาตลอด แต่ในเรื่องที่บอกเราจะไม่อะไรถ้าวันนึงเราได้ยินกับตัวเอง หลังสงกรานต์ปลายเดือนเมษาถ้าเราจำไม่ผิด เย็นวันนั้นเราเลิกงานเราแวะบ้านเรา เราเลยเข้าบ้านแฟนมืดหน่อย ส่วนแฟนเรามีกินเลี้ยงที่ทำงานเลยยังไม่กลับ เราเปิดประตูเข้าบ้านไป เราได้ยินเสียงคนคุยโทรศัพในบ้านนั้นก็คือแม่ของเขา เรารู้ว่าเขาตั้งใจพูดให้เราได้ยิน บอกว่าครอบครัวเราเก็บเงินงานแต่งไปหมด(ทั้งที่เขาไม่ได้มีน้ำใจมาช่วยอะไรสักกะบาทกับเรา) บอกว่าเราสักเป็น ผู้หญิงแบบนั้นแบบนี้(เราสักแล้วเราไปทำใครเจ็บปวดเมื่อหน้าที่การงานที่เรารับผิดชอบนั้นดูแลตัวเราเองได้ดีด้วยและพ่อแม่เราก็ไม่ได้ว่าอะไรถ้าคือความชอบของเราที่ไม่เดือดร้อนใคร) บอกว่าเรามาเกาะลูกเขากิน(ห่ะ ..เรานี้นะ หาเงินได้มากกว่าลูกเขาซะอีก) และด่าเสียๆหายๆคำพูดหยาบคาย



ฯ สารพัดคำต่ำทรามที่ได้ยินจากปากสัดต่ำตมตัวนึง เรากำมือแน่น โทรหาแฟน มันเงียบ เราคิดว่าแม่มันต้องเคยด่าเราให้มันฟังมั้ง มันเลยอารมณ์ว่าสุดท้ายเราก็รู้จนได้ พอแฟนเรากลับมา มันไปถามแม่ว่า เราไปทำอะไรให้ถึงมาด่ามันมาว่ามันกับครอบครัวขนาดนั้น แล้วเรื่องราวก็พลิกผัน นางบอกว่า ว่าแล้วสักวันต้องมีปัญหาแม่ผัวกับลูกสะใภ้ ไม่มีใครว่าหรอก แค่คุยกับเพื่อน ทำหน้าน่าสงสาร แบบจะเชื่อเมียก็เชื่อไปเถอะนะ แม่ก็แบบนี้แหละ เลี้ยงแกมาก็ต้องโดนคิดแบบนี้ คือ

ไปเลยคร่า หักมุมได้สุดชีวิต เราพูดออกไปว่า ถ้าสิ่งที่ได้ยินเรามันไม่ใช่ความจริง ก็ขอให้คนโกหกตายช้าๆอย่างทรมานโดยไม่ต้องรีบตาย พอจะตายจะไม่ตายมาอยู่แบบทรมานไปเรื่อยๆ สาธุ นางก็มองหน้าเราแล้วกำลังจะพูดอะไรไม่รู้ แฟนเราบอกเราว่า นั่นแม่เขานะ เราเลยบอกว่าถ้านางไม่ผิดก็ไม่ต้องเดือดร้อนค่ะ แต่ถ้าโวยวายมาแบบนี้ก็แสดงว่ารู้ตัวเอง ทุกอย่างเงียบ เราเข้านอน ต้องบอกก่อนว่าทุกครั้งที่มีเรื่องพ่อเขาไม่เคยอยู่เพราะนางจะไม่กล้าทำตอนผัวอยู่ แต่ทุกวันนี้ทางสามารถเป่าหูผัวนางได้สำเร็จโดยพากันมารังเกียจเรา
4.เราใช้ชีวิตปกติไปบ้างไม่ไปบ้างเจอก็ไม่ไหว้ เพราะเราไม่เคารพคนแบบนี้ เราซื้อไรไปกินเมื่อก่อนก็จะเผื่อทุกคนในบ้าน แต่หลังๆมาตั้งแต่มีเรื่องไม่ซื้อไม่กินไม่สน แล้วน้องชายเขาจะเป็นเหมือนเด็กสมาธิสั้น ที่ทำอะไรไปเรื่อยๆไม่คิดอะไร เราเคยซื้อของกินมาไว้ในตู้เย็น เขาก็เอาทุกอย่างมากินจนหมดไม่สนว่าของใคร เราทะเลาะกับแฟนหลายรอบมาก ว่าทำไมไม่มีใครสั่งใครสอนเด็กพวกนี้ มีแต่คนโอ๋และตามใจ ทั้งที่บ้านก้ไม่ได้มีไรเลยนะ หนี้สิน การศึกษา สารพัด มีแต่ความคิดกับการกระทำต่ำๆที่แสดงออกมาทั้งนั้น ล่าสึดก่อนจะย้ายออกจากบ้านกลับไปอยู่บ้านพักกันนั้น เราเอาน้ำมะเขือเทศแช่เย็นไว้เป็นแพ็ค น้องชายมาเจาะกินแล้วน่าจะกินไม่ได้ เอามาวางแช่ไว้ที่เดิม เราหัวเสียมากที่วันๆนึงเข้ามาของของเราต้องหายต้องหมดทุกครั้ง นางมาเลยจ้าว่าซื้ออะไรมาซื้อกินกันสองคนเคยคิดจะเผื่อคนอื่นไหม เราเลยบอกว่าก็หัดดูที่ลูกคุณกินมั้งนะว่า กินล้างผลาญกินของคนอื่นขนาดนี้ ใครจะซื้อมาให้กินไหว
พอแฟนเราเลิกงานกลับมา ด่าแฟนเราจ้า บอกว่าหลงเรามากเกินไป มีอะไรก็ให้เราหมด จากที่นางเคยได้จากลูกนางได้น้อยลง นางไม่พอใจ เหมือนนางไม่อยากให้ลูกมีครอบครัวหรือมีใครแต่จะต้องอยู่กับนาง เราเลยบอกแฟนว่า ก็เอาไปคิดกันเองนะ ว่าเงินเดือนแฟนสามหมื่นกว่าๆ หักค่าบ้านหมื่นห้า ค่าไฟนี้ทุกตัวในบ้านที่อยู่รวมกันเลยนะ4พันกว่า( ซึ่งตอนพ่อแม่เขามาอยู่ที่บ้านหลังนี้เราจะไปอยู่บ้านเรา เราจะแค่ไปๆมาๆเท่านั้น) ค่าน้ำ6-7 ร้อย ค่าอินเตอร์เนต ของใช้ในบ้าน อาหารเสบียง จิปาถะ ต่อเดือน เหลือใช้ไม่ถึงกลางเดือน ก็ใช้เงินกับเราแล้ว นอกจากเดือนไหนจะพิศวาส ให้เดือนละ 5พัน หรือ3 พัน บางเดือนก็ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ จนแฟนมาเถียงกับพ่อแม่อีกครั้งอย่างใหญ๋โตว่าให้แฟนเราเอารถยนต์ของเขาเข้าไฟแนนซ์ซะ พ่อและแม่จะเอาเงิน แต่แฟนเราบอกว่าเขามีภาระทุกเดือนเยอะขนาดนี้ เขาส่งไม่ไหว โดนด่าอีกคร่าว่าเอามาให้เรา ทั้งที่เราก็มีรถของใครของมันขับนะไม่เคยมายุ่งกันแปลกคนจริงๆเห็นแก่ได้ ครอบครัวเขาก็พากันขนของกับไปในบ้านพัก แบบเด็กน้อยปัญญาอ่อนมาก แล้วก็เที่ยวเอาเรื่องเราไปพูดจนมีหลายคนมาคุยกับพ่อเราว่า ทำไมถึงมาเจอครอบครัวแบบนี้ได้เนอะ คนแถวนั้นก็บอกกันว่าเราเกิดมาในบ้านที่มีให้แทบจะทุกอย่าง ไม่ขาดอะไรอะไรขนาดนั้น ครอบครัวก็อบอุ่นดี มีฐานะและการศึกษามากกว่าบ้านเขาทุกคน จะต้องไปเกาะบ้านอย่างคนแบบนั้นทำไม ฯ สารพัดนานาคนจะมาพูด จนมีแต่คนสงสารเรา เราเลยบอกว่าไม่ต้องห่วงค่ะแรงมาแรงกลับต่อไปไม่สนใจใครทั้งนั้น ย้ายไปได้ไม่กี่วัน มางัดบ้านขนของไปอีก ร่วมถึงทีวี50นิ้วที่แฟนเราถอยใหม่ไว้ในห้องโถง โซฟา เครื่องเสียง และสารพัด เราเลยคุยกับแฟนบอกว่าช่างเหอะ ของนอกกาย อย่าไปสนใจมาก เรามีของเราครบหมด ไม่ต้องไปคิดไรมาก ทุกวันนี้กลับกลายเป็นเราต้องปลอบใจแฟนกับเรื่องครอบครัวมันแทน กับความคิดสมัยเก่าๆ ไม่โงหัวมองบ้านเมืองสังคมรอบข้าง

ทางนี้ทางทางนั้นทางโดยไม่รู้ความจริงอะไรเลย ต่ำตมมาก ยิ่งกว่าบัวไม่พ้นน้ำอีก
ทั้งหมดนี้แค่ส่วนนึงจริงๆ ความจริงมีอีกมากมากเลย
อีกนึดนึงนะ
ท้ายสุดนะเราสงสัยว่า รอยสักเราเป็นเรื่องกับชีวิตคนอื่นมากขนาดนั้นเลยหรอ
ถึงกับขนาดว่าต้องดูถูกคนอื่นได้ โดยที่ตัวเองอยู่ต่ำกว่ารอยสักพวกนี้ด้วยซ้ำ
ไม่รู้จะเรียกคนที่มีความคิดต่ำตมขนาดนี้ว่า #แม่ผัว ได้ไหม
ไม่คิดว่าชีวิตจะมาเจอคนแบบนี้ได้ขนาดนี้เลย ขอเล่าเป็นตอนๆเป็นเหตุการณืไปเลยตั้งแต่แรกนะค่ะ อาจจะยาวหน่อย
ขอบคุณที่จะอ่านและรับฟังสิ่งที่มันเกิดนะค่ะ
1.เรากับแฟนแต่งงานกันเมื่อช่วงต้นปี60ที่ผ่าน เรากับแฟนคบกันไม่นานเท่าไร แต่รู้จักกันมานานมากๆแล้ว เขาอายุห่างกับเรา 7 ปี มีลูกติด 1คน อายุประมาณ12-13 ปีได้ โดยที่ครอบครัวเขามีเขาเป็นลูกชายคนโต อารมว่าเสาหลักเลยก็ว่าได้ มีน้องสาวคนกลางที่แต่งงานไปอยู่ที่อื่น นานๆมาที และน้องชายคนเล็ก ซึ่งอายุรุ่นราวคราวเดียวกับลูกชายของเขาเลย โดยที่ก่อนแต่งไม่ได้รู้จักกับครอบครัวเขามากนัก ไปเจอ พูดคุย แต่ไม่ได้สนิทอะไรส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตไปไหนมาไหนกับแฟนเรา และลูกเขากับน้องเขาบ้างเป็นครั้งคราว โดยที่มารู้ทีหลังหลังจาก ผู้ใหญ่คุยกันว่า พ่อของแฟนเราเป็นลูกน้องเก่าของพ่อเราเอง เขาจะอาศัยอยู่ในบ้านพักของหน่วยงาน แต่แฟนเราทำงานทำเรื่องกู้ซื้อบ้านผ่าน ก็คงยังไปๆมาๆระหว่างบ้านใหม่และบ้านพัก และบ้านเรากับเขาอยู่ใกล็กันมากประมาณ1กิโลกว่าๆได้
2.เรากับแฟนแต่งงานกัน โดยที่พ่อแม่ของเขาไม่ค่อยสบอารม เราสังเกตุทุกอย่างเอง ตอนแรกคิดว่าคิดไปเอง แต่ทุกคนรอบข้างก็บอกเราแบบนั้น เงินในการจัดงานแต่งงาน คือเงินแฟนเอามาจัดงาน เงินเราซื้อทองทั้งหมด และที่เหลือคือเงินสินสอดที่วางรวมถึงจิปาถะคือเงินที่บ้านเราทั้งหมด โดยที่พ่อแม่แฟนไม่ได้มาถามไถ่มายุ่งมาถามอะไร แม้กระทั่งวันงาน ก็ไม่มาช่วยงานอะไรใดๆ ขนาดว่าแฟนเราต้องมาที่บ้านเราเพื่อช่วยงาน แม่เขากลับด่าว่ามาช่วยทำไมให้ไปที่บ้าน ไปดูแลญาติพี่น้องตัวเองที่มา พอถึงวันงาน แม่เขาก็ออกฤทธิ์ ทำพฤติกรรมที่เรียกว่าสันดานออกมากลางงานพิธีว่า ปวดหัวมาก มาดึงลูกชายที่ทำพิธีอยู่ว่า จะกลับบ้าน ไปส่งที่บ้านตอนนี้เลย เราหันไปพร้อมกับบอกออกไป ไม่มีคนพาไปหรือไม่รู้กาละเทศะ ทุกคนในงานหันมามองเราพร้อมกับความเงียบ จนงานแต่งผ่านไป ไม่ช่วยเราแล้ว ยังมาขอค่าอันนั้นอันนี้อีก เรางงใจมาก งานแต่งเราไม่มีใครรู้ว่าคนไหนคือแม่แฟนเรา พอทุกคนรู้ถึงกับบอกว่า คนนี้หรอ เออ..สรุปไปว่าญาติ พี่น้องเรา ไปแสดงอาการต่ำทรามใส่แทบทุกคน ขนาดเพื่อนเราเห็นเพื่อนเรายังบอกว่าน่าจะมีศึกใหญ่ละ แต่เราก็เงียบไม่อยากทะเลาะกับแฟนเรา...
3.แม่ของเขาเป็นคนแถบจังหวัดที่ติดเขมร คือเป็นเขมรแหละ ไม่มีความรู้แต่อวด พูดจาหน้าอน่างหลังอย่าง เรื่องแบบนี้เขาหูเราแทบทุกวัน เพราะพ่อของเขาเป็นลูกน้องเก่าพ่อเรา ซึ่งเพื่อนร่วมงานต่างๆของพ่อเขาก็จะสนิทกับที่บ้านเราหลายคน ก็จะมาบอกต่างๆนาๆ รวมถึงการบอกว่า เราคงดวงไม่ดีที่ตกเป็นสะใภ้บ้านนี้ เราใช้ชีวิตปกติหลังแต่งงาน ไปๆมาๆเพราะบ้านเราใกล้ๆกัน วันเทศกาลหรืออะไรเราก็พาแฟนเรากราบพ่อแม่รดน้ำดำหัวอะไร ตามแบบที่เราทำกับที่บ้านเรามาตลอด แต่ในเรื่องที่บอกเราจะไม่อะไรถ้าวันนึงเราได้ยินกับตัวเอง หลังสงกรานต์ปลายเดือนเมษาถ้าเราจำไม่ผิด เย็นวันนั้นเราเลิกงานเราแวะบ้านเรา เราเลยเข้าบ้านแฟนมืดหน่อย ส่วนแฟนเรามีกินเลี้ยงที่ทำงานเลยยังไม่กลับ เราเปิดประตูเข้าบ้านไป เราได้ยินเสียงคนคุยโทรศัพในบ้านนั้นก็คือแม่ของเขา เรารู้ว่าเขาตั้งใจพูดให้เราได้ยิน บอกว่าครอบครัวเราเก็บเงินงานแต่งไปหมด(ทั้งที่เขาไม่ได้มีน้ำใจมาช่วยอะไรสักกะบาทกับเรา) บอกว่าเราสักเป็น ผู้หญิงแบบนั้นแบบนี้(เราสักแล้วเราไปทำใครเจ็บปวดเมื่อหน้าที่การงานที่เรารับผิดชอบนั้นดูแลตัวเราเองได้ดีด้วยและพ่อแม่เราก็ไม่ได้ว่าอะไรถ้าคือความชอบของเราที่ไม่เดือดร้อนใคร) บอกว่าเรามาเกาะลูกเขากิน(ห่ะ ..เรานี้นะ หาเงินได้มากกว่าลูกเขาซะอีก) และด่าเสียๆหายๆคำพูดหยาบคาย
4.เราใช้ชีวิตปกติไปบ้างไม่ไปบ้างเจอก็ไม่ไหว้ เพราะเราไม่เคารพคนแบบนี้ เราซื้อไรไปกินเมื่อก่อนก็จะเผื่อทุกคนในบ้าน แต่หลังๆมาตั้งแต่มีเรื่องไม่ซื้อไม่กินไม่สน แล้วน้องชายเขาจะเป็นเหมือนเด็กสมาธิสั้น ที่ทำอะไรไปเรื่อยๆไม่คิดอะไร เราเคยซื้อของกินมาไว้ในตู้เย็น เขาก็เอาทุกอย่างมากินจนหมดไม่สนว่าของใคร เราทะเลาะกับแฟนหลายรอบมาก ว่าทำไมไม่มีใครสั่งใครสอนเด็กพวกนี้ มีแต่คนโอ๋และตามใจ ทั้งที่บ้านก้ไม่ได้มีไรเลยนะ หนี้สิน การศึกษา สารพัด มีแต่ความคิดกับการกระทำต่ำๆที่แสดงออกมาทั้งนั้น ล่าสึดก่อนจะย้ายออกจากบ้านกลับไปอยู่บ้านพักกันนั้น เราเอาน้ำมะเขือเทศแช่เย็นไว้เป็นแพ็ค น้องชายมาเจาะกินแล้วน่าจะกินไม่ได้ เอามาวางแช่ไว้ที่เดิม เราหัวเสียมากที่วันๆนึงเข้ามาของของเราต้องหายต้องหมดทุกครั้ง นางมาเลยจ้าว่าซื้ออะไรมาซื้อกินกันสองคนเคยคิดจะเผื่อคนอื่นไหม เราเลยบอกว่าก็หัดดูที่ลูกคุณกินมั้งนะว่า กินล้างผลาญกินของคนอื่นขนาดนี้ ใครจะซื้อมาให้กินไหว
พอแฟนเราเลิกงานกลับมา ด่าแฟนเราจ้า บอกว่าหลงเรามากเกินไป มีอะไรก็ให้เราหมด จากที่นางเคยได้จากลูกนางได้น้อยลง นางไม่พอใจ เหมือนนางไม่อยากให้ลูกมีครอบครัวหรือมีใครแต่จะต้องอยู่กับนาง เราเลยบอกแฟนว่า ก็เอาไปคิดกันเองนะ ว่าเงินเดือนแฟนสามหมื่นกว่าๆ หักค่าบ้านหมื่นห้า ค่าไฟนี้ทุกตัวในบ้านที่อยู่รวมกันเลยนะ4พันกว่า( ซึ่งตอนพ่อแม่เขามาอยู่ที่บ้านหลังนี้เราจะไปอยู่บ้านเรา เราจะแค่ไปๆมาๆเท่านั้น) ค่าน้ำ6-7 ร้อย ค่าอินเตอร์เนต ของใช้ในบ้าน อาหารเสบียง จิปาถะ ต่อเดือน เหลือใช้ไม่ถึงกลางเดือน ก็ใช้เงินกับเราแล้ว นอกจากเดือนไหนจะพิศวาส ให้เดือนละ 5พัน หรือ3 พัน บางเดือนก็ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ จนแฟนมาเถียงกับพ่อแม่อีกครั้งอย่างใหญ๋โตว่าให้แฟนเราเอารถยนต์ของเขาเข้าไฟแนนซ์ซะ พ่อและแม่จะเอาเงิน แต่แฟนเราบอกว่าเขามีภาระทุกเดือนเยอะขนาดนี้ เขาส่งไม่ไหว โดนด่าอีกคร่าว่าเอามาให้เรา ทั้งที่เราก็มีรถของใครของมันขับนะไม่เคยมายุ่งกันแปลกคนจริงๆเห็นแก่ได้ ครอบครัวเขาก็พากันขนของกับไปในบ้านพัก แบบเด็กน้อยปัญญาอ่อนมาก แล้วก็เที่ยวเอาเรื่องเราไปพูดจนมีหลายคนมาคุยกับพ่อเราว่า ทำไมถึงมาเจอครอบครัวแบบนี้ได้เนอะ คนแถวนั้นก็บอกกันว่าเราเกิดมาในบ้านที่มีให้แทบจะทุกอย่าง ไม่ขาดอะไรอะไรขนาดนั้น ครอบครัวก็อบอุ่นดี มีฐานะและการศึกษามากกว่าบ้านเขาทุกคน จะต้องไปเกาะบ้านอย่างคนแบบนั้นทำไม ฯ สารพัดนานาคนจะมาพูด จนมีแต่คนสงสารเรา เราเลยบอกว่าไม่ต้องห่วงค่ะแรงมาแรงกลับต่อไปไม่สนใจใครทั้งนั้น ย้ายไปได้ไม่กี่วัน มางัดบ้านขนของไปอีก ร่วมถึงทีวี50นิ้วที่แฟนเราถอยใหม่ไว้ในห้องโถง โซฟา เครื่องเสียง และสารพัด เราเลยคุยกับแฟนบอกว่าช่างเหอะ ของนอกกาย อย่าไปสนใจมาก เรามีของเราครบหมด ไม่ต้องไปคิดไรมาก ทุกวันนี้กลับกลายเป็นเราต้องปลอบใจแฟนกับเรื่องครอบครัวมันแทน กับความคิดสมัยเก่าๆ ไม่โงหัวมองบ้านเมืองสังคมรอบข้าง
ทั้งหมดนี้แค่ส่วนนึงจริงๆ ความจริงมีอีกมากมากเลย
อีกนึดนึงนะ
ท้ายสุดนะเราสงสัยว่า รอยสักเราเป็นเรื่องกับชีวิตคนอื่นมากขนาดนั้นเลยหรอ
ถึงกับขนาดว่าต้องดูถูกคนอื่นได้ โดยที่ตัวเองอยู่ต่ำกว่ารอยสักพวกนี้ด้วยซ้ำ