อ่านข่าวนี้
วิเคราะห์ 5 แนวทางคำพิพากษาคดีรับจำนำข้าว
จากที่นี่
https://news.thaipbs.or.th/content/265388

ทีมข่าวการเมืองไทยพีบีเอส ได้สัมภาษณ์ความเห็นของนักวิเคราะห์การเมืองและผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายถึงแนวทางคำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีประวัติศาสตร์นี้ ซึ่งสามารถสรุปได้เป็น 5 แนวทาง คือ
แนวทางที่ 1 "มีความผิดทุกกรณีและต้องได้รับโทษทางอาญา" คือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ กรณีละเลยไม่ดำเนินการระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว
แนวทางที่ 2 "มีความผิดทุกกรณี ต้องได้รับโทษ แต่ให้รอลงอาญา" เนื่องจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นอดีตนายกรัฐมนตรี เคยทำคุณงามความดี ผู้ที่ก่อประโยชน์ให้กับประเทศชาติบ้านเมืองมาก่อน
แนวทางที่ 3 "มีความผิด ต้องรับโทษทางอาญา แต่ไม่ต้องชดใช้ความเสียหาย"
แนวทางที่ 4 "ไม่มีความผิดและไม่ต้องรับโทษทางอาญา แต่ต้องชดใช้ความเสียหาย" คือ พฤติการณ์ไม่เข้าข่ายกระทำความผิด ไม่มีเจตนาปล่อยปละละเลยและไม่ต้องรับโทษตามคำฟ้อง หากแต่ยังคงต้องชดใช้ความเสียหายแก่รัฐตามคดีทางปกครอง
แนวทางที่ 5 "ไม่มีความผิดและไม่ต้องรับโทษทางอาญา ส่วนจะต้องชดใช้ความเสียหายแก่รัฐหรือไม่ให้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของรัฐบาลชุดปัจจุบัน
ไม่ว่าคำพิพากษาจะออกมาเป็นอย่างไร นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์เห็นว่าการอธิบายเหตุและผลของคดีให้ประชาชนเข้าใจเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดความขัดแย้งของสถานการณ์การเมืองหลังคำพิพากษาได้
รศ.ยุทธพร อิสรชัย คณบดีรัฐศาสตร์ ม.สุโขทัยธรรมาธิราช กล่าวว่า ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นบวกหรือเป็นลบ ย่อมต้องมีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางเช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นหลังศาลฎีกามีคำพิพากษายกฟ้องอดีตนายกฯ สมชาย วงศ์สวัสดิ์และพวกในคดีการสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ
"คดีเหล่านี้มีความเป็นการเมืองมาเกี่ยวข้องด้วย แม้ศาลจะยึดข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเป็นหลักในการพิจารณาก็ตาม แต่ในทางสังคม พอมีความเป็นการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง การตั้งคำถาม ความพอใจ ความไม่พอใจ ทัศนคติ มุมมองต่อคดีที่แตกต่างกันไปย่อมมีแน่นอน" รศ.ยุทธพรกล่าว
*** ปิดโหวต วันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ.2560 เวลา 01:18:15 น.
แนวทางคำพิพากษาคดีรับจำนำข้าว แนวทางไหน? ที่คุณอยากให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะจำเลย ก้าวเข้าไป...
จากที่นี่ https://news.thaipbs.or.th/content/265388
ทีมข่าวการเมืองไทยพีบีเอส ได้สัมภาษณ์ความเห็นของนักวิเคราะห์การเมืองและผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายถึงแนวทางคำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีประวัติศาสตร์นี้ ซึ่งสามารถสรุปได้เป็น 5 แนวทาง คือ
แนวทางที่ 1 "มีความผิดทุกกรณีและต้องได้รับโทษทางอาญา" คือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ กรณีละเลยไม่ดำเนินการระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว
แนวทางที่ 2 "มีความผิดทุกกรณี ต้องได้รับโทษ แต่ให้รอลงอาญา" เนื่องจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นอดีตนายกรัฐมนตรี เคยทำคุณงามความดี ผู้ที่ก่อประโยชน์ให้กับประเทศชาติบ้านเมืองมาก่อน
แนวทางที่ 3 "มีความผิด ต้องรับโทษทางอาญา แต่ไม่ต้องชดใช้ความเสียหาย"
แนวทางที่ 4 "ไม่มีความผิดและไม่ต้องรับโทษทางอาญา แต่ต้องชดใช้ความเสียหาย" คือ พฤติการณ์ไม่เข้าข่ายกระทำความผิด ไม่มีเจตนาปล่อยปละละเลยและไม่ต้องรับโทษตามคำฟ้อง หากแต่ยังคงต้องชดใช้ความเสียหายแก่รัฐตามคดีทางปกครอง
แนวทางที่ 5 "ไม่มีความผิดและไม่ต้องรับโทษทางอาญา ส่วนจะต้องชดใช้ความเสียหายแก่รัฐหรือไม่ให้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของรัฐบาลชุดปัจจุบัน
ไม่ว่าคำพิพากษาจะออกมาเป็นอย่างไร นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์เห็นว่าการอธิบายเหตุและผลของคดีให้ประชาชนเข้าใจเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดความขัดแย้งของสถานการณ์การเมืองหลังคำพิพากษาได้
รศ.ยุทธพร อิสรชัย คณบดีรัฐศาสตร์ ม.สุโขทัยธรรมาธิราช กล่าวว่า ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นบวกหรือเป็นลบ ย่อมต้องมีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางเช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นหลังศาลฎีกามีคำพิพากษายกฟ้องอดีตนายกฯ สมชาย วงศ์สวัสดิ์และพวกในคดีการสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ
"คดีเหล่านี้มีความเป็นการเมืองมาเกี่ยวข้องด้วย แม้ศาลจะยึดข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเป็นหลักในการพิจารณาก็ตาม แต่ในทางสังคม พอมีความเป็นการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง การตั้งคำถาม ความพอใจ ความไม่พอใจ ทัศนคติ มุมมองต่อคดีที่แตกต่างกันไปย่อมมีแน่นอน" รศ.ยุทธพรกล่าว