[CR] เมืองในสายหมอก 'ปิล็อค'

จริงๆ วันหยุดยาวที่ผ่านมา เรากะว่าจะไป ป่าปงเปียง หรือ แม่กลางหลวง ที่เชียงใหม่ แต่........
ตั๋วรถเต็มหมดแล้ว!
คือชิลล์แงะ กะว่าเดี๋ยวค่อยไปหาเอาดาบหน้า คืนนั้นเลยต้องเปิดหาที่เที่ยวใหญ่เลย
ลูกไผ่: “พี่ปุ่น งั้นเราไปปิล็อคกันมั้ยคะ”
พี่ปุ่น: “ไปสิ”
จริงๆ ปิล็อค เป็นที่ที่เราอยากไปกันนานแล้ว แต่ว่าเท่าที่หาข้อมูลเร็วๆ ยังหาทางไปแบบรถสาธารณะไม่ได้ ครั้นจะขับรถไปเอง ดูทางแล้ว รถเราอาจจะไม่รอด
รอบนี้เราลอง search หาข้อมูลดูทางกันใหม่ แล้วก็คิดว่า “เฮ้ย น่าจะขับรถไปเองได้อยู่ล่ะน่า”
ปะ ไปดูกันว่าไปกันได้จริงๆรึเปล่า


Day 1:
เราออกเดินทางจากกรุงเทพ ประมาณ 10 โมง ขับตามพี่ Google map ไปเรื่อยๆ ประมาณเ 3 ชั่วโมง เราก็มาถึงกาญจนบุรี ขับผ่านน้ำตกไทรโยคน้อย ขึ้นไปตามทางที่ไปทองผาภูมิ ทางเส้นนี้ยังสวยละก็อากาศดีไม่เปลี่ยนเลย
เส้นทางไปปิล็อคเป็นถนนลาดยางดีมาก จนกระทั่งมาถึง 30 กม.สุด ป๊าดด นี่เรานึกว่าอยู่บนโลกพระจันทร์ 30 กม.สุดท้ายยังเป็นถนนลาดยางก็จริง แต่จะเป็นหลุมเป็นบ่อเยอะมาก ต้องค่อยๆขับหลบหลุม บางที่หลบไม่ได้ก็ต้องค่อยๆแหย่งล้อลงหลุมไปอย่างช้าๆ นิ่มๆ ตรงนี้สงสารรถมากค่ะ
และแล้วเราก็มาถึงอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ ข้างบนนี้มีหมอกลงหนามาก เพราะฝนตกมาทั้งวัน สมกับเป็นเมืองในหมอกตั้งแต่ยังทันถึงหมูบ้านจริงๆ ที่อุทยานเริ่มมีคนกางเต๊นท์กันแล้ว


ขับไปอีก 8 กม. เราก็มาถึงแล้วค่ะ หมู่บ้านอิต่อง
อิต่องเป็นชื่อหมู่บ้าน ส่วนปิล็อคเป็นชื่อของเหมืองค่ะ


มาถึงตรงนี้แล้ว คงตอบข้อสงสัยของหลายๆคนที่สงสัยเหมือนเราว่า ขับถขึ้นไปเองได้รึเปล่า
ได้ค่ะ เราขับ Honda City ขึ้นไปสบายเลย แค่ตรง 30 กม.สุดท้าย อาจจะต้องคอยหลบหลุมกันหน่อยค่ะ เช็คสภาพรถและลมยางดีๆก่อนมานะคะ เพื่อความปลอดภัย

พอผ่าน “ชาวบ้านอิต่องยินดีต้อนรับทุกท่าน” แล้วจะเจอนักท่องเที่ยวและบ้านพักโฮมสเตย์อยู่ทางซ้ายมือ ตรงมีอยู่ไม่กี่ที่
ลูกไผ่: “โห จะมีที่พักมั้ยคะนี่พี่ปุ่น”
พี่ปุ่น: “นั่นสิ แต่เราจะไปพักที่ในหมู่บ้านกันเลยใช่มั้ย”
ลูกไผ่: “ใช่ค่ะ มาถึงนี่แล้วอยากไปพักที่หมู่บ้านเลยอ่ะค่ะ แต่จะเต็มมั้ยคะนี่”
พี่ปุ่น: “เดี๋ยวหาที่จอดรถ Search ดูก่อนดีกว่า”

คือช่วง 30 กม.สุดท้ายนี่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์นะคะ ส่วนตรงบริเวณป้ายหมู่บ้านอิต่องนี้มีสัญญาณค่ะ แต่อินเตอร์เน็ตแทบจะใช้ไม่ได้เลย

จากที่โทรหาหลายที่ เราพบว่า ที่พักเต็มหมดแล้ว! นี่แงะ ทริปนี้ไม่ตกรถนะค้า (แกเอารถมาเองไงไผ่!) แต่ตกที่พัก! มันต้องมีอะไรอย่างนี้ทุกทริปสิน่ะ

ลูกไผ่: “แงะ ยังไงดีอ่ะคะพี่ปุ่น”
พี่ปุ่น: “เรานอนในรถได้นะ ไผ่ว่าไงอ่ะ”
ลูกไผ่: “โห แล้วจะจอดตรงไหนอ่ะคะ อีกอย่าง แล้วจะเข้าห้องน้ำที่ไหน”
พี่ปุ่น: “งั้นเดี๋ยวลงไปถามที่อุทยานดู ไปนอนเต๊นท์ละกัน”
ลูกไผ่: “โอเค”

ตอนนี้เกือบ 6 โมงเย็นแล้ว เราตัดสินใจขับรถลงมา 8 กม. เพื่อมาที่อุทยานทองผาภูมิ วันนี้คุยกันว่ายังไม่ขึ้นไปที่หมู่บ้าน เพราะว่าหมอกหนา ถ้าดึกกว่านี้ทางจะมืดและอันตรายมาก เราควรจัดการหาที่พักสำหรับคืนนี้ให้ได้ก่อน

ระหว่างทางเราลองกดโทรหาอุทยานเพื่อสอบถามเรื่องที่พักก่อน เพราะอีกใจก็กลัวว่าอุทยานจะปิดซะก่อน ใช้เวลาพักใหญ่เลยกว่าจะโทรติด
ลูกไผ่: “รบกวนสอบถามหน่อยค่ะว่ายังมีที่พักอยู่รึเปล่าคะ”
เจ้าหน้าที่: “รอซักครู่นะคะ”

แล้วเราก็ได้ยินเสียงเค้าวอหาอุทยาน เพื่อสอบถามเรื่องที่พัก แต่ด้วยคลื่นที่ไม่ชัดเลย ทำให้เค้าต้องรอคำตอบนานมาก จนสายเราหลุดไปรอบนึง แล้วโทรไปรอคำตอบอีกนานเลย ตอนนั้นเราก็ยังมีความหวังเล็กๆ ว่าถ้าเค้ารอเช็คอยู่อย่างนี้ อาจจะมีที่พักเหลือให้เราอยู่ก็ได้ จนกระทั่ง
เจ้าหน้าที่: “ที่พักเต็มหมดแล้วค่ะ”

เง้ออออออออ ม่ายน้าาาาาาาา

ลูกไผ่: “แล้วยังมีเต๊นท์ให้เช่าเหลืออยู่มั้ยคะ”
เจ้าหน้าที่: “มีค่ะ ติดต่อที่อุทยานได้เลยนะคะ”
ลูกไผ่: “โอเค ขอบคุณมากค่ะ”

แล้วเราก็ขับรถมาถึงอุทยานพอดี เราเสียค่าเข้าอุทยานทั้งหมด 170 บาท เป็นค่าเข้าอุทยานของเราสองคนและรถ 1 คัน รวมถึงค่าสถานที่กางเต๊นท์


พื้นข้างในอุทยานเป็นดินแดนและโคลนเฉอะแฉะมาก เราขับไปจอดที่หน้าศูนย์บริการนักท่องเที่ยว พี่ปุ่นเดินนำเข้าไปสอบถามก่อน แล้วเดินออกมาบอกเรา
พี่ปุ่น: “ไผ่ มีที่พัก 1,200 เอาป่าว”
ลูกไผ่: “อ้าว เต๊นท์หมดเหรอคะ”
พี่ปุ่น: “มี แต่เค้าจะไม่มีที่กันฝนให้ คือนอนก็จะเปียกนะ เพราะพื้นมันแฉะมาก”
ลูกไผ่: “อ๋อ ได้ๆค่ะ โอเค”

แล้วเราก็เดินเข้าไปที่หน้า counter กับพี่ปุ่น
ลูกไผ่: “อ๋อยยย...โชคดีจัง มีที่พักด้วย เอ๊ะ ทำไมตอนแรกโทรหาที่อุทยาน เค้าบอกว่าเต็มแล้วอ่ะคะ”
พนักงาน: “บ้านพักเต็มหมดแลว แต่นี่พี่ไปขอหัวหน้ามา ให้เปิดเรือนรับรองให้พักเถอะ แย่มากเลย นักท่องเที่ยวไม่มีที่พักเลย หัวหน้าเค้าเลยยอมให้เปิดเรือนรับรอง”
ลูกไผ่: "โหย โชคดีมาก ขอบคุณมากๆเลยนะคะ”
เจ้าหน้าที่: “ร้านอาหารและร้านค้าสวัสดิการปิดตอน 20:00 น. นะ ส่วนน้ำกับไฟจะมีให้ตั้งแต่ 6 โมงถึง 3 ทุ่มนะ”
ลูกไผ่: “โอเคค่ะ”

เย้! มีที่นอนแล้ววววว


นว่าจะเอาของไปเก็บแล้วก็ลงมาทานข้าว ละก็รีบกลับไปอาบน้ำให้ทันก่อน 3 ทุ่ม
และแล้วเราก็พบว่า ทางที่ไปที่พัก เป็นเนินดินแดงขรุขระ และเป็นโคลน ชิทททท!!!! นี่มันทางขึ้นเขากระโจมชัดๆ เราล้อปัดติดโคลนอยู่พักนึง แล้วก็เริ่มหา line ถนนที่มีคนใช้ขับขึ้นไป ทุลักทุเลมาก คือรถอิชั้นไม่ใช่ 4 wheel นะฮ้าาาา
พอขึ้นมาได้ เราคุยกันแบบไม่ต้องคิดเลยว่า เดี๋ยวเดินลงไปทานข้าวเอาละกันนะ ค่อยเอารถลงทีเดียวตอนจะกลับเลยละกัน

ที่พักของเรามี 2 ชั้น ชั้นล่างเป็นลานโล่งไว้จัดเลี้ยงอาหารและมีห้องพัก 1 ห้องด้านล่าง ชั้นบนมีห้องพักอีก 2 ห้อง เราได้ห้องชั้นบนขวา
ห้องกว้าง ห้องน้ำสะอาดเลยทีเดียว


วางของเสร็จแล้ว ก็เดินลงมาข้างล่าง ขอแช๊ะถ่ายรูปวิวจากตรงนี้ซักนิด อากาศดีมากๆ เย็นๆ มีลมพักเสียงต้นไม้หวีดหวิว มีหมอกหนาตลอดเวลา


อ๊ะ มาดูทางที่เราขับรถขึ้นมากัน


ค่อยๆเดินลงมาก็มาถึงลานกว้างก่อนถึงร้านอาหาร ที่ลานกว้างนี้เค้ามีแผงโชลาร์เซลล์วางอยู่เต็มเลย


ที่ร้านอาหารไม่มีใครเลย คงเพราะเย็นมากแล้ว ด้านข้างเป็นลำธาร เสียงน้ำไหลดัง



เราเลือกสั่งผัดกระเพราะหมูสับไข่ดาวเหมือนกันทั้งคู่ คือตอนนี้หิวมาก อะไรก็ได้ที่ง่ายๆ ได้เร็วๆ นี่ขนาดสั่งง่ายๆแล้วนะ แต่เราก็รอกันนานเลย แล้วก็ถึงบางอ้อว่า อ๋ออออ คนที่มาพักที่นี่เค้าสั่งอาหารใส่กล่องไปทานที่บ้านพักที่เต๊นท์กัน ไม่ได้มาทานที่ร้าน คิวก็เลยเยอะเลย ล้วนแล้วเป็นเมนูเดียวกันทั้งสิ้น 555
ในที่สุดเราก็ได้แล้ววว ที่นี่เค้าใส่กล่องโฟมมาให้แฮะ
อาหารมื้อนี้ 40 บาท อิ่มและอร่อยมากกกกก


พอทานกันเสร็จก็แวะร้านค้าสวัสดิการ ซื้อขนมไปตุนเผื่อคืนนี้หิว
ตอนขากลับเดินขึ้นไป ก็มืดแล้ว ขอขอบคุณไฟฉาย iphone ที่ทำให้เราเดินขึ้นมารอดถึงที่พัก 555


Day 2:
วันนี้เรากะตื่นกันเช้าๆ จะได้ขึ้นไปดูวิวที่เนินช้างศึก กับที่หมู่บ้าน แต่พอนาฬิกาปลุก 6 โมงก็แล้ว 7 โมงก็แล้ว   ตื่นขึ้นมาก็ได้ยินเสียงฝนตก แถมมองออกไปก็มีแต่หมอกหนาเต็มไปหมด ขึ้นไปก็คงไม่เห็นอะไรนอกจากหมอก นอนต่อค่า! 555 จน 8 โมงกว่าๆ
พี่ปุ่น: “ไผ่ ตื่นได้แล้ว มาดูหมอกเร็ว”

เราก็เลยลุกขึ้นมาล้างหน้า แปรงฟัน เก็บของ อากาศยังชื้นๆ มีหมอกหนาตลอดเวลา


ถึงเวลาต้องขับรถลงทางวิบากแล้ว บอกเลยตอนลงมานี่สงสารรถสุดใจ เพิ่งจะอยากได้ 4 wheels ขึ้นมาก็ตอนนี้แหละ


ระหว่างทางขึ้นไปหมู่บ้าน หมอกยังคงหนาตลอดทาง


และแล้วเราก็มาถึงตัวหมู่บ้านอีต่องแล้วววว ใครที่ขึ้นมาถึง ถ้าเจอที่จอดรถก็จอดได้เลยนะคะ วนไปข้างในจะไม่มีที่จอดรถเอา อย่างเราวนอยู่รอบนึงถึงได้ที่จอด


อากาศดีมากกกค่ะ สมชื่อ ‘เมืองในสายหมอก’ จริงๆ


ทางเข้าหมู่บ้านจะมีแม่น้ำพาดผ่าน และมีสะพานให้ข้ามที่อีกฝั่ง ซึ่งเป็นตลาดอีต่อง


ด้านขวาของสะพานข้ามแม่น้ำ จะมีสะพานเหมืองแร่ ซึ่งสร้างไว้เมื่อปี 2482


เมื่อเดินมาที่สะพานข้ามแม่น้ำไปที่ตลาดบ้านอีต่อง จะเห็นป้ายที่ระลึกที่นักท่องเที่ยวมาเขียนข้อความแล้วห้อยไว้หนาแน่นเต็มไปหมดเลยค่ะ



สงสัยกันล่ะสิว่า แล้วเค้าไปเอาป้ายสำหรับเขียนข้อความที่ระลึกนี้มาจากไหน แหมะ แค่ข้ามสะพานมาก็ถึงบางอ้อเลย เค้ามีขายอยู่ตรงอีกฝั่งนึงของสะพาน หน้าทางเข้าตลาด อันละ 20 บาทค่ะ


ในตลาดก็จะมีทั้งของสด พวกผักต่างๆ


และของแห้ง ซึ่งเป็นของส่วนใหญ่เป็นของจากฝั่งพม่า


พอเดินผ่านตลาดเลี้ยวซ้ายมาจะเข้าสู่ตัวหมู่บ้าน ที่มีโฮมสเตย์อยู่ทั้ง 2 ฝั่งถนน (ซึ่งเต็มหมดแล้วเมื่อเรามาถึง T^T)


มาถึงนี่ไม่ต้องกลัวอดตายเลยค่ะ ของกิน 2 ข้างทางเพียบ


เราเลือกแวะฝากท้องที่ร้านกาแฟ ที่ดูมีความ Local น่านั่งมากๆ ร้านหนึ่ง


ที่ร้านเป็นคุณลุงกับคุณป้าช่วยกันทำ มีของกินให้เลือกทานได้ทั้งทานเป็นข้าวจริงจังหนักท้องไปเลย หรือจะเป็นอาหารเช้าเบาๆ
พี่ปุ่น: “เอาโอวัลตินร้อนครับ”
ลูกไผ่: “เอานมร้อนค่ะ”
คุณป้า: “โอวัลตินกับนมร้อนนะลูก”
ลูกไผ่: “ค่า ไข่นอกกระทะนี่คืออะไรเหรอคะ”
คุณป้า: “ก็เหมือนไข่กระทะเลยจ้า แต่ว่าจะใส่เครื่องเข้าไปด้วย”
ลูกไผ่: “อ๋อ งั้นหนูเอาไข่กระทะที่นึงค่ะ”
พี่ปุ่น: “2 เลยครับ ผมเอาด้วย”
คุณป้า: “ได้จ้า”


แปปนึงคุณป้าก็เอาเครื่องดื่มและไข่กระทะมาเสิร์ฟ โอ้ย เครื่องดื่มอุ่นๆกับไข่กระทะร้อนๆ ในร้านแบบนี้ และอากาศเย็นๆในหมอกอย่างนี้ มันฟินสุดๆ เศร้า> <):


ระหว่างที่เรานั่งทานอยู่ ก็มีขบวนคนแต่งชุดขาว ตีฆ้อง อุ้มพะพุทธรูปเดินผ่านมา จริงๆเราเจอขบวนนี้รอบนึงตอนที่กำลังข้ามสะพานมา เหมือนจะเป็นขบวนเพื่อเชิญชวนให้คนร่วมทำบุญ

ชื่อสินค้า:   ปิล็อค
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่