2017 เป็นปีที่คนปั่นจักรยานไม่เป็นมายี่สิบกว่าปีอย่างเราจู่ๆก็ลุกขึ้นมาซื้อจักรยานพับและหัดปั่นอยู่หกเดือนจนเป็น
และแน่นอน สาเหตุที่กระทู้นี้อยู่ในห้องการ์ตูนย่อมไม่ใช่แค่ว่าเราไปอากิบะและคอมิเกะ ขึ้นหัวกระทู้มาแบบนี้ มันต้องเกี่ยวกับการ์ตูมากกว่านั้นแน่ๆ 55555
จุดเริ่มต้นของทุกอย่างคือ Yowamushi Pedal (โอตาคุปั่นสะท้านโลก / โอตาคุน่องเหล็ก) ค่ะ ;)
และเราไปคอมิเกะเพื่อเก็บโด yowapedal และปั่นจักรยานในอากิบะตามรอยโอโนดะคุงค่ะ 5555555
คอมิเกะนี่คงไม่ต้องรีวิวกันแล้ว อากิบะก็เช่นกัน มาฟังเรื่องการไปตามรอยเพดัลของเรากันดีกว่าค่ะ ;)
ถึงจะบอกว่าตามรอย แต่เราก็ไม่ได้ไปตามสถานที่ที่ออกมาในอนิเมะ/มังงะนอกจากอากิบะหรอกนะคะ (ถึงเราจะอยากลองปั่นจากชิบะมาอากิบะก็เถอะ 5555) ต้องเรียกว่าไปปั่นจักรยานที่ญี่ปุ่นแบบโอตาคุ(ฟุโจวชิ)มากกว่า แต่สนุกดี ฟินมากค่ะ สาวๆคนไหนอยากลองบ้างก็เอาไปใช้เป็นไกด์คร่าวๆได้ ส่วนหนุ่มๆที่ปั่นจักรยานคงเชี่ยวชาญมากกว่าเรากันอยู่แล้วเนอะ ;)
ขอเริ่มจากอุปกรณ์ของเราสำหรับทริปนี้ก่อนละกันนะคะ จักรยานที่เราใช้คือจักรยานพับ Dahon Vybe D7 ติดตะแกรงหน้าของ vincita ปกติติดกระกร้าด้วย แต่ยัดใส่กระเป๋าไม่ลงเลยจำใจถอดทิ้งไว้ที่บ้านค่ะ (คิดว่าไม่เป็นไรมั้ง แต่ที่ไหนได้...) ติดไฟหน้า ติดไฟหลัง ไมล์ธรรมดาตัวนึง หมวก ถุงมือ (เพราะชอบล้มจนมือเปิง 5555) แล้วก็เป้ที่พอกันน้ำได้กับเสื้อกันฝนเพราะเห็นว่าฝนชอบตกค่ะ
ตัวจักรยานหนัก 12 กิโลกว่า เราใช้กระเป๋าเดินทาง MOVE สำหรับจักรยาน หนัก 10 กิโล กระเป๋าผ้า Dahon ไว้ใส่จักรยานที่พับแล้วไม่ให้เปื้อนอย่างอื่นในกระเป๋า ใส่สูบลงไปในกระเป๋าอันนึง ยางในสำรอง2เส้นเพราะหลอนยางแตกมาสองรอบแล้วหาอะไหล่ไม่ได้เกือบอาทิตย์ เสื้อผ้าของใช้ รวมแล้วกระเป๋าหนัก 29 โลกว่าค่ะ 55555
ต้องพูดถึงตัวกระเป๋าเดินทางนิดนึง จริงๆเป็นกระเป๋ากึ่งบุกึ่งแข็งสำหรับ road bike ค่ะ เราใส่จักรยานพับก็เหลือที่เกือบครึ่งใบ ต้องเอาสายกระเป๋าผ้ามามัดๆกับสายในกระเป๋าเดินทางเอาเองตามวิจารณญาน พอไม่ให้จักรยานกลิ้ง แล้วพื้นที่ที่เหลือเราก็ยัดสัมภาระที่เหลือทุกอย่างตามใจเลยค่ะ 55555
ถึงกระเป๋าจะหนัก แต่ก็ลากได้ไม่ลำบากบนพื้นเรียบ แต่ยกนี่ไม่ไหวค่ะ เราต้องพึ่งคนช่วยยกขึ้นลงตอนเช็คอิน ขึ้นแท็กซี่ ขึ้นบัส ตลอดทริป 55555
เราบินกับ scoot กระเป๋าเป็น oversized ทั้งขาไปและกลับ ขาไปที่นาริตะไม่ต้องยืนรอสายพานขนกระเป๋าเลยค่ะ เค้าตั้งรอไว้ให้ เห็นแต่ไกล แต่ขากลับที่ดอนเมืองมากะสายพานค่ะ 555
ขาไปกระเป๋าเราหนัก 29 เฉียดสามสิบโล ขากลับหนัก 40.1 กิโล ส่วนต่างคือน้ำหนักโดซะเป็นหลัก กระเป๋ายังคงลากได้ ไม่บุบสลาย แต่ scoot ให้โหลดสัมภาระได้ไม่เกินชิ้นละ 30 โล แม้เราจะซื้อน้ำหนักไว้ 40 โล ถ้าใครจะขนโดกลับมาแบบเราก็เตรียมกระเป๋าผ้าอีกใบไว้ใส่โดโหลดน้ำหนักแยกกันด้วยนะคะ ;)
สิ่งต่อไปคือโรงแรม เราพักที่ Akihabara Bay Hotel เป็นโรงแรมแคปซูลสำหรับผู้หญิงเท่านั้น นอนสบาย เพื่อนเยอะดีเหมือนอยู่หอ และที่สำคัญคือมีให้พร้อมทุกอย่างตั้งแต่สบู่แปรงสีฟันไปจนถึงชุดนอนและเครื่องซักผ้าอบผ้า สายชาร์จก็ยืมได้ที่ล็อบบี้ คือไม่ต้องหิ้วกระเป๋ามาก็นอนได้เลย สบายมากค่ะ ชอบ โลเกชั่นก็อยู่ตรงสถานีอากิบะ หลังห้าง Yodobashi และชะโงกหน้าไปก็มี Lawson ที่มีขนมให้ซื้อมากินได้ 24 ชั่วโมงเลย
เป็นโรงแรมที่เราอยากแนะนำถ้าชอบหรือโอเคกับการนอนโรงแรมแคปซูลที่ทำเสียงดังไม่ได้ ได้ยินเสียงคนอื่นบ้าง แต่มี point หลักที่ต้องพูดถึงนิดนึงคือกระเป๋าเดินทางไซส์จักรยานฝากที่ล็อบบี้ไม่ได้นะคะ หมายถึงว่าถ้าเอาจักรยานมาโรงแรมจะไม่มีที่ให้วางค่ะ
ได้เวลาพูดถึงจักรยานบ้างแล้วล่ะ ที่นี่ขี่จักรยานกันบนฟุตบาทเป็นปกติ แถวสถานีอากิบะมีลานจอดพร้อมล็อคจักรยานแบบหยอดเหรียญหลายที่ จอดค้างคืนก็แค่ 200 เยน จอดตามรั้ว หน้าร้าน ข้างทาง ก็ได้ ถ้าจอดหน้าร้านหรือริมรั้วเราจะเอาสายล็อคคล้องไว้ แต่กลางคืนเราชอบจอดลานจอดเพราะหน้าโรงแรมไม่มีที่ให้ล็อคค่ะ เราไม่อยากให้จักรยานเราไปเกะกะใครเค้าด้วย 555
การได้ขี่จักรยานในโตเกียวจากอากิบะไปสอยโดเพดัลที่โตเกียวบิ๊กไซท์นี่มันฟินมากค่ะสำหรับเรา ระหว่างทางผ่านกินซ่า ผ่านบรรยากาศย่านต่างๆตั้งแต่คนแน่นจนต้องเข็นเอา ไปจนถึงปั่นขึ้นสะพาน ไหลลงจากสะพานอย่างเร็วพร้อมโดนลมตีส่ายไปส่ายมา ดูวิวอ่าวขาไปขากลับ บรรยากาศมันต่างจากปั่นจักรยานไปไหนมาไหนในไทยมากค่ะ ปั่นได้ชิวๆ สบายๆ ไม่ต้องกลัวรถหรือมอไซจะมาสอยเรา ระวังไม่ให้ชนคนเดินกับดูสัญญาณไฟข้ามถนนด้วยก็พอละ
และที่สำคัญที่สุดสำหรับการปั่นจักรยานไปกลับคอมิเกะ คือเราไม่ต้องเบียดคนแน่นค่ะ ใครเคยผ่านตามาบ้างน่าจะพอรู้ว่าการเดินทางกลับจากคอมิเกะ 4โมงเย็นงานเลิกนี่มันโคตรแน่นอย่างกับสยามวันศุกร์เงินเดือนออกที่เป็นวันหยุดยาวด้วย คือไปทางไหนก็ติด แท็กซี่ก็รอนาน รถไฟก็คนแน่น แต่พอปั่นจักรยานมา เราอยากกลับเมื่อไหร่ก็กลับได้ ตังหมดตัวเพราะซื้อโดหมดแล้วก็ยังกลับได้ (555555+) มีอุปสรรคอย่างเดียวคือแดดร้อนกับโดหนัก และไม่ได้เอาตะกร้ามาด้วย ต้องเอากระเป๋าใส่โดมัดกับตะแกรง หล่นตลอดทางจนโดเยินทุกเล่ม T^T
อีกอย่างที่เจอคือหลงทาง ด้วยความที่เราไม่รู้จักทาง และ GPS ทั้งมือถือกะ iPad ก็เบลอทั้งคู่ นำทางเราไม่ได้เลยทั้งทริป ที่หนีบมือถือไว้ดูแผนที่บนแฮนด์ก็ลืมเอาไป เราเลยทั้งขี่เลย ขี่ผิดทาง หาทางไม่เจอ กินเวลาหลงไปครึ่งทริปได้ค่ะ 55555
ขอพูดถึงเรื่องแพคจักรยานนึดนึงละกัน เพราะสาวๆคงไม่ถนัดกันเท่าไหร่ สิ่งที่เราทำมีแค่ปล่อยลมออกจากยางให้มันแบน พับ แล้วยัดลงกระเป๋าผ้า Dahon เอาวางในกระเป๋าใหญ่เลยค่ะ ไม่ได้บุอะไรทั้งนั้น
กระเป๋าที่เราใช้นี่ดีตรงที่เราไม่บุจักรยานก็ไม่บุบสลาย และมีรูปจักรยานหน้ากระเป๋าเลย ทุกคนพร้อมใจกันติดสติ๊กเกอร์ fragile ให้เราและรู้โดยไม่ต้องบอกว่าข้างในเป็นจักรยาน
อ้อ อย่าลืมเอาสูบไปด้วยนะคะ ถ้าให้ดีลองสูบกับรถตัวเองดูด้วยว่าสูบได้ สูบเข้า อย่างรถเราสูบบางอันมันสูบไม่เข้าค่ะ 5555555
ถ้าไม่เคยสูบลมจักรยานเองมาก่อน ลองฝึกปล่อยลมแล้วสูบใหม่ดูสักครั้งค่ะ ที่ล้อจะมีตัวนูนๆบอกว่าต้องสูบลม min และ max กี่ psi จริงๆถ้าทำไม่เป็นหรือมีปัญหาอะไรแถวอากิบะก็มีร้านจักรยานอยู่ (อยู่ข้างโรงแรมเราเลยร้านนึง 5555) ให้เค้าช่วยดูให้ได้ แต่จะเหนื่อยตรงลากไปๆมาๆนี่ล่ะค่ะ 5555
เอาตะกร้าไปด้วยนะคะ โดมันหนัก เอา cable ties (ที่รัดสายไฟที่เป็นเส้นๆพลาสติก) กับกรรไกรดีๆติดไปก็ได้ค่ะ ไปถึงก็ติดตะกร้า พอกลับก็ตัดสายออก โดจะได้ไม่เยินเหมือนเราค่ะ...
เนื่องจากกระเป๋าจักรยานใบใหญ่กว่ากระเป๋าเดินทางปกติมาก ขอพูดถึงวิธีการเดินทางของเรานิดนึงค่ะ
ขามา เรามาไฟลท์เช้าวันแรกของคอมิเกะ เลยอยากส่งกระเป๋าไปโรงแรมแล้วตัวเองไปเดินคอมิเกะ แมวดำไม่รับส่งกระเป๋าจักรยาน แต่ JAL ABC ส่งให้ ของจะไปถึงเช้าวันรุ่งขึ้น เราเลยตัดสินใจแยกกระเป๋าเสื้อผ้าของใช้ออกมาแล้วส่งแยกชิ้นให้ของใช้ไปถึงภายในวันนั้นค่ะ สรุปของใช้มาสี่ทุ่ม จักรยานมาสิบโมงนิดๆ
ขากลับ เราขอคำแนะนำจากพนักงานโรงแรมว่าจะไปสนามบินยังไงดี เค้าแนะนำให้ลากกระเป๋าไปเรียกแท็กซี่หน้าสถานีอากิบะไปสถานีโตเกียว แล้วต่อ Keisei Bus ไปนาริตะ บัสไม่มีปัญหาค่ะ เอากระเป๋าเราขึ้นอย่างสบายๆ แต่แท็กซี่ยัดกระเป๋าเราไม่ลงค่ะ (แท็กซี่ไทยใส่ที่นั่งเบาะหลัง แต่เช้านั้นฝนตก เค้าคงไม่อยากให้เบาะเปื้อน) เลยเอาขึ้นท้ายรถแบบไม่ปิดกระโปรงแล้วขับช้าๆเอา
อื่นๆ อย่างละเล็กละน้อย
- เราปั่นไป C92 วันที่สอง ซึ่งเป็นวันที่มีโดเพดัล คนปั่นจักรยานไปเยอะพอสมควรเลย แต่เราไม่รู้ว่าวันอื่นก็เยอะอย่างนี้มั้ย เราปั่นไปวันเดียว
- วันแรกเราไปชิมลาง หลงทางรถไฟกว่าจะไปถึงก็สองโมงกว่าได้ บู้ทเก็บไปเกินครึ่งละค่ะ
- วันที่สองไปถึงบ่ายโมง บูทส่วนมากยังอยู่ กำลังเก็บร้าน แต่คนไม่เยอะ เราว่าเดินง่ายดีค่ะสำหรับมือใหม่คอมิเกะ (5555) แต่ต้องรีบเดินรีบซื้อนะคะ เพราะบ่ายสองร้านก็หายไปครึ่งนึงแล้ว
- ถ้าจะไปเที่ยงๆ บ่ายๆ แบบเรา กินข้าวก่อนไปถึงงานเลยค่ะ แถวงานคนเยอะมากกก เสียเวลาค่ะ เดี๋ยวจะไม่ทัน
- โดที่ออกในงาน toranoana ก็มีขายนะคะ ตอนเราไปถึงเจอโดที่เล็งไว้ปิดร้านแล้ว ก็ถอดใจไป แต่แล้วก็ไปได้ที่โทระค่ะ
- ซื้อโดในคอมิเกะไม่มีถุงให้ อย่าลืมเตรียมถุงใหญ่ๆ หนาๆ ไปหอบกลับนะคะ และอย่าประมาทความหน้ามืดของตัวเอง เรามีสามหมื่นก็หมดสามหมื่น เหมาแผงไปหลายเจ้า รู้ตัวอีกทีก็ตอนเหลือตังแค่พันเยน 55555
- ร้าน le.cyc (ル・サイクakiba店) มีไฟหน้าเป็นแมวเกาะแฮนด์ขายด้วย น่ารักมากค่ะ แนะนำๆ XD
อย่างสุดท้ายที่อยากพูดถึงคือ ปั่นจักรยานที่ญี่ปุ่นนี่มันสนุกจริงๆค่ะ รู้สึกเข้าใจโอโนะดะคุง เทชิมะซัง และทุกคนในเรื่องมากขึ้นเลยว่าทำไมถึงชอบปั่นจักรยานขนาดนั้น
แค่ออกแรงปั่น ก็ไปถึงจุดหมาย หัวใจเปรียบเหมือนเครื่องยนต์ ตอนปั่นที่ไทยไม่เคยรู้สึกอย่างนั้นเลย เพราะต้องคอยระวังรถราเต็มไปหมด แต่ที่ญี่ปุ่น ถึงหลงทางก็สนุก ปั่นไปเรื่อยๆ ได้เห็นทิวทัศน์ใหม่ๆ สัมผัสกับผู้คนและบรรยากาศอย่างที่นั่งรถหรือรถไฟให้เราไม่ได้ อยากหยุดพักตรงไหนก็พักได้ จะปั่นชิวดูร้านริมทางหรือพยามยามทำความเร็วแข่งกับตัวเองก็ได้
จักรยานนี่มันสนุกจริงๆค่ะ ;)
---
ต่อไปนี้เป็นลงรูป ซึ่งก็ไม่ได้มีเยอะอะไรหรอกค่ะ มัวแต่หลงทาง 5555
มีคนทักว่าไปคนเดียวไม่กลัวเค้าไม่ให้เข้าประเทศเหรอ เลยหิ้วนี่ไปค่ะ อิตะแบ็ก ประกาศว่าเราจะไปเทตังที่อากิบะ/คอมิเกะ 55555

ภายในกระเป๋าที่เรายัดลงไปและน้ำหนักรวมขาไปค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เจอห้างที่ทำที่จอดจักรยานไว้ให้เฉพาะด้วย
Diver City Tokyo ที่ Odaiba ค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สั่งชุดใหญ่ไฟกะพริบ (Garmin Varia Radar กับไมล์) จาก Amazon Japan ให้ไปส่งที่ Lawson แถวที่พักก่อนเราเองจะบินไปด้วย สะดวกมากค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ได้ไปตัดแว่น Megane Ichiba X Yowamushi Pedal ที่อุเอโนะด้วย แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมาค่ะ ;)
อากิบะ จักรยาน และ C92 [ปั่นตาม Yowamushi Pedal]
และแน่นอน สาเหตุที่กระทู้นี้อยู่ในห้องการ์ตูนย่อมไม่ใช่แค่ว่าเราไปอากิบะและคอมิเกะ ขึ้นหัวกระทู้มาแบบนี้ มันต้องเกี่ยวกับการ์ตูมากกว่านั้นแน่ๆ 55555
จุดเริ่มต้นของทุกอย่างคือ Yowamushi Pedal (โอตาคุปั่นสะท้านโลก / โอตาคุน่องเหล็ก) ค่ะ ;)
และเราไปคอมิเกะเพื่อเก็บโด yowapedal และปั่นจักรยานในอากิบะตามรอยโอโนดะคุงค่ะ 5555555
คอมิเกะนี่คงไม่ต้องรีวิวกันแล้ว อากิบะก็เช่นกัน มาฟังเรื่องการไปตามรอยเพดัลของเรากันดีกว่าค่ะ ;)
ถึงจะบอกว่าตามรอย แต่เราก็ไม่ได้ไปตามสถานที่ที่ออกมาในอนิเมะ/มังงะนอกจากอากิบะหรอกนะคะ (ถึงเราจะอยากลองปั่นจากชิบะมาอากิบะก็เถอะ 5555) ต้องเรียกว่าไปปั่นจักรยานที่ญี่ปุ่นแบบโอตาคุ(ฟุโจวชิ)มากกว่า แต่สนุกดี ฟินมากค่ะ สาวๆคนไหนอยากลองบ้างก็เอาไปใช้เป็นไกด์คร่าวๆได้ ส่วนหนุ่มๆที่ปั่นจักรยานคงเชี่ยวชาญมากกว่าเรากันอยู่แล้วเนอะ ;)
ขอเริ่มจากอุปกรณ์ของเราสำหรับทริปนี้ก่อนละกันนะคะ จักรยานที่เราใช้คือจักรยานพับ Dahon Vybe D7 ติดตะแกรงหน้าของ vincita ปกติติดกระกร้าด้วย แต่ยัดใส่กระเป๋าไม่ลงเลยจำใจถอดทิ้งไว้ที่บ้านค่ะ (คิดว่าไม่เป็นไรมั้ง แต่ที่ไหนได้...) ติดไฟหน้า ติดไฟหลัง ไมล์ธรรมดาตัวนึง หมวก ถุงมือ (เพราะชอบล้มจนมือเปิง 5555) แล้วก็เป้ที่พอกันน้ำได้กับเสื้อกันฝนเพราะเห็นว่าฝนชอบตกค่ะ
ตัวจักรยานหนัก 12 กิโลกว่า เราใช้กระเป๋าเดินทาง MOVE สำหรับจักรยาน หนัก 10 กิโล กระเป๋าผ้า Dahon ไว้ใส่จักรยานที่พับแล้วไม่ให้เปื้อนอย่างอื่นในกระเป๋า ใส่สูบลงไปในกระเป๋าอันนึง ยางในสำรอง2เส้นเพราะหลอนยางแตกมาสองรอบแล้วหาอะไหล่ไม่ได้เกือบอาทิตย์ เสื้อผ้าของใช้ รวมแล้วกระเป๋าหนัก 29 โลกว่าค่ะ 55555
ต้องพูดถึงตัวกระเป๋าเดินทางนิดนึง จริงๆเป็นกระเป๋ากึ่งบุกึ่งแข็งสำหรับ road bike ค่ะ เราใส่จักรยานพับก็เหลือที่เกือบครึ่งใบ ต้องเอาสายกระเป๋าผ้ามามัดๆกับสายในกระเป๋าเดินทางเอาเองตามวิจารณญาน พอไม่ให้จักรยานกลิ้ง แล้วพื้นที่ที่เหลือเราก็ยัดสัมภาระที่เหลือทุกอย่างตามใจเลยค่ะ 55555
ถึงกระเป๋าจะหนัก แต่ก็ลากได้ไม่ลำบากบนพื้นเรียบ แต่ยกนี่ไม่ไหวค่ะ เราต้องพึ่งคนช่วยยกขึ้นลงตอนเช็คอิน ขึ้นแท็กซี่ ขึ้นบัส ตลอดทริป 55555
เราบินกับ scoot กระเป๋าเป็น oversized ทั้งขาไปและกลับ ขาไปที่นาริตะไม่ต้องยืนรอสายพานขนกระเป๋าเลยค่ะ เค้าตั้งรอไว้ให้ เห็นแต่ไกล แต่ขากลับที่ดอนเมืองมากะสายพานค่ะ 555
ขาไปกระเป๋าเราหนัก 29 เฉียดสามสิบโล ขากลับหนัก 40.1 กิโล ส่วนต่างคือน้ำหนักโดซะเป็นหลัก กระเป๋ายังคงลากได้ ไม่บุบสลาย แต่ scoot ให้โหลดสัมภาระได้ไม่เกินชิ้นละ 30 โล แม้เราจะซื้อน้ำหนักไว้ 40 โล ถ้าใครจะขนโดกลับมาแบบเราก็เตรียมกระเป๋าผ้าอีกใบไว้ใส่โดโหลดน้ำหนักแยกกันด้วยนะคะ ;)
สิ่งต่อไปคือโรงแรม เราพักที่ Akihabara Bay Hotel เป็นโรงแรมแคปซูลสำหรับผู้หญิงเท่านั้น นอนสบาย เพื่อนเยอะดีเหมือนอยู่หอ และที่สำคัญคือมีให้พร้อมทุกอย่างตั้งแต่สบู่แปรงสีฟันไปจนถึงชุดนอนและเครื่องซักผ้าอบผ้า สายชาร์จก็ยืมได้ที่ล็อบบี้ คือไม่ต้องหิ้วกระเป๋ามาก็นอนได้เลย สบายมากค่ะ ชอบ โลเกชั่นก็อยู่ตรงสถานีอากิบะ หลังห้าง Yodobashi และชะโงกหน้าไปก็มี Lawson ที่มีขนมให้ซื้อมากินได้ 24 ชั่วโมงเลย
เป็นโรงแรมที่เราอยากแนะนำถ้าชอบหรือโอเคกับการนอนโรงแรมแคปซูลที่ทำเสียงดังไม่ได้ ได้ยินเสียงคนอื่นบ้าง แต่มี point หลักที่ต้องพูดถึงนิดนึงคือกระเป๋าเดินทางไซส์จักรยานฝากที่ล็อบบี้ไม่ได้นะคะ หมายถึงว่าถ้าเอาจักรยานมาโรงแรมจะไม่มีที่ให้วางค่ะ
ได้เวลาพูดถึงจักรยานบ้างแล้วล่ะ ที่นี่ขี่จักรยานกันบนฟุตบาทเป็นปกติ แถวสถานีอากิบะมีลานจอดพร้อมล็อคจักรยานแบบหยอดเหรียญหลายที่ จอดค้างคืนก็แค่ 200 เยน จอดตามรั้ว หน้าร้าน ข้างทาง ก็ได้ ถ้าจอดหน้าร้านหรือริมรั้วเราจะเอาสายล็อคคล้องไว้ แต่กลางคืนเราชอบจอดลานจอดเพราะหน้าโรงแรมไม่มีที่ให้ล็อคค่ะ เราไม่อยากให้จักรยานเราไปเกะกะใครเค้าด้วย 555
การได้ขี่จักรยานในโตเกียวจากอากิบะไปสอยโดเพดัลที่โตเกียวบิ๊กไซท์นี่มันฟินมากค่ะสำหรับเรา ระหว่างทางผ่านกินซ่า ผ่านบรรยากาศย่านต่างๆตั้งแต่คนแน่นจนต้องเข็นเอา ไปจนถึงปั่นขึ้นสะพาน ไหลลงจากสะพานอย่างเร็วพร้อมโดนลมตีส่ายไปส่ายมา ดูวิวอ่าวขาไปขากลับ บรรยากาศมันต่างจากปั่นจักรยานไปไหนมาไหนในไทยมากค่ะ ปั่นได้ชิวๆ สบายๆ ไม่ต้องกลัวรถหรือมอไซจะมาสอยเรา ระวังไม่ให้ชนคนเดินกับดูสัญญาณไฟข้ามถนนด้วยก็พอละ
และที่สำคัญที่สุดสำหรับการปั่นจักรยานไปกลับคอมิเกะ คือเราไม่ต้องเบียดคนแน่นค่ะ ใครเคยผ่านตามาบ้างน่าจะพอรู้ว่าการเดินทางกลับจากคอมิเกะ 4โมงเย็นงานเลิกนี่มันโคตรแน่นอย่างกับสยามวันศุกร์เงินเดือนออกที่เป็นวันหยุดยาวด้วย คือไปทางไหนก็ติด แท็กซี่ก็รอนาน รถไฟก็คนแน่น แต่พอปั่นจักรยานมา เราอยากกลับเมื่อไหร่ก็กลับได้ ตังหมดตัวเพราะซื้อโดหมดแล้วก็ยังกลับได้ (555555+) มีอุปสรรคอย่างเดียวคือแดดร้อนกับโดหนัก และไม่ได้เอาตะกร้ามาด้วย ต้องเอากระเป๋าใส่โดมัดกับตะแกรง หล่นตลอดทางจนโดเยินทุกเล่ม T^T
อีกอย่างที่เจอคือหลงทาง ด้วยความที่เราไม่รู้จักทาง และ GPS ทั้งมือถือกะ iPad ก็เบลอทั้งคู่ นำทางเราไม่ได้เลยทั้งทริป ที่หนีบมือถือไว้ดูแผนที่บนแฮนด์ก็ลืมเอาไป เราเลยทั้งขี่เลย ขี่ผิดทาง หาทางไม่เจอ กินเวลาหลงไปครึ่งทริปได้ค่ะ 55555
ขอพูดถึงเรื่องแพคจักรยานนึดนึงละกัน เพราะสาวๆคงไม่ถนัดกันเท่าไหร่ สิ่งที่เราทำมีแค่ปล่อยลมออกจากยางให้มันแบน พับ แล้วยัดลงกระเป๋าผ้า Dahon เอาวางในกระเป๋าใหญ่เลยค่ะ ไม่ได้บุอะไรทั้งนั้น
กระเป๋าที่เราใช้นี่ดีตรงที่เราไม่บุจักรยานก็ไม่บุบสลาย และมีรูปจักรยานหน้ากระเป๋าเลย ทุกคนพร้อมใจกันติดสติ๊กเกอร์ fragile ให้เราและรู้โดยไม่ต้องบอกว่าข้างในเป็นจักรยาน
อ้อ อย่าลืมเอาสูบไปด้วยนะคะ ถ้าให้ดีลองสูบกับรถตัวเองดูด้วยว่าสูบได้ สูบเข้า อย่างรถเราสูบบางอันมันสูบไม่เข้าค่ะ 5555555
ถ้าไม่เคยสูบลมจักรยานเองมาก่อน ลองฝึกปล่อยลมแล้วสูบใหม่ดูสักครั้งค่ะ ที่ล้อจะมีตัวนูนๆบอกว่าต้องสูบลม min และ max กี่ psi จริงๆถ้าทำไม่เป็นหรือมีปัญหาอะไรแถวอากิบะก็มีร้านจักรยานอยู่ (อยู่ข้างโรงแรมเราเลยร้านนึง 5555) ให้เค้าช่วยดูให้ได้ แต่จะเหนื่อยตรงลากไปๆมาๆนี่ล่ะค่ะ 5555
เอาตะกร้าไปด้วยนะคะ โดมันหนัก เอา cable ties (ที่รัดสายไฟที่เป็นเส้นๆพลาสติก) กับกรรไกรดีๆติดไปก็ได้ค่ะ ไปถึงก็ติดตะกร้า พอกลับก็ตัดสายออก โดจะได้ไม่เยินเหมือนเราค่ะ...
เนื่องจากกระเป๋าจักรยานใบใหญ่กว่ากระเป๋าเดินทางปกติมาก ขอพูดถึงวิธีการเดินทางของเรานิดนึงค่ะ
ขามา เรามาไฟลท์เช้าวันแรกของคอมิเกะ เลยอยากส่งกระเป๋าไปโรงแรมแล้วตัวเองไปเดินคอมิเกะ แมวดำไม่รับส่งกระเป๋าจักรยาน แต่ JAL ABC ส่งให้ ของจะไปถึงเช้าวันรุ่งขึ้น เราเลยตัดสินใจแยกกระเป๋าเสื้อผ้าของใช้ออกมาแล้วส่งแยกชิ้นให้ของใช้ไปถึงภายในวันนั้นค่ะ สรุปของใช้มาสี่ทุ่ม จักรยานมาสิบโมงนิดๆ
ขากลับ เราขอคำแนะนำจากพนักงานโรงแรมว่าจะไปสนามบินยังไงดี เค้าแนะนำให้ลากกระเป๋าไปเรียกแท็กซี่หน้าสถานีอากิบะไปสถานีโตเกียว แล้วต่อ Keisei Bus ไปนาริตะ บัสไม่มีปัญหาค่ะ เอากระเป๋าเราขึ้นอย่างสบายๆ แต่แท็กซี่ยัดกระเป๋าเราไม่ลงค่ะ (แท็กซี่ไทยใส่ที่นั่งเบาะหลัง แต่เช้านั้นฝนตก เค้าคงไม่อยากให้เบาะเปื้อน) เลยเอาขึ้นท้ายรถแบบไม่ปิดกระโปรงแล้วขับช้าๆเอา
อื่นๆ อย่างละเล็กละน้อย
- เราปั่นไป C92 วันที่สอง ซึ่งเป็นวันที่มีโดเพดัล คนปั่นจักรยานไปเยอะพอสมควรเลย แต่เราไม่รู้ว่าวันอื่นก็เยอะอย่างนี้มั้ย เราปั่นไปวันเดียว
- วันแรกเราไปชิมลาง หลงทางรถไฟกว่าจะไปถึงก็สองโมงกว่าได้ บู้ทเก็บไปเกินครึ่งละค่ะ
- วันที่สองไปถึงบ่ายโมง บูทส่วนมากยังอยู่ กำลังเก็บร้าน แต่คนไม่เยอะ เราว่าเดินง่ายดีค่ะสำหรับมือใหม่คอมิเกะ (5555) แต่ต้องรีบเดินรีบซื้อนะคะ เพราะบ่ายสองร้านก็หายไปครึ่งนึงแล้ว
- ถ้าจะไปเที่ยงๆ บ่ายๆ แบบเรา กินข้าวก่อนไปถึงงานเลยค่ะ แถวงานคนเยอะมากกก เสียเวลาค่ะ เดี๋ยวจะไม่ทัน
- โดที่ออกในงาน toranoana ก็มีขายนะคะ ตอนเราไปถึงเจอโดที่เล็งไว้ปิดร้านแล้ว ก็ถอดใจไป แต่แล้วก็ไปได้ที่โทระค่ะ
- ซื้อโดในคอมิเกะไม่มีถุงให้ อย่าลืมเตรียมถุงใหญ่ๆ หนาๆ ไปหอบกลับนะคะ และอย่าประมาทความหน้ามืดของตัวเอง เรามีสามหมื่นก็หมดสามหมื่น เหมาแผงไปหลายเจ้า รู้ตัวอีกทีก็ตอนเหลือตังแค่พันเยน 55555
- ร้าน le.cyc (ル・サイクakiba店) มีไฟหน้าเป็นแมวเกาะแฮนด์ขายด้วย น่ารักมากค่ะ แนะนำๆ XD
อย่างสุดท้ายที่อยากพูดถึงคือ ปั่นจักรยานที่ญี่ปุ่นนี่มันสนุกจริงๆค่ะ รู้สึกเข้าใจโอโนะดะคุง เทชิมะซัง และทุกคนในเรื่องมากขึ้นเลยว่าทำไมถึงชอบปั่นจักรยานขนาดนั้น
แค่ออกแรงปั่น ก็ไปถึงจุดหมาย หัวใจเปรียบเหมือนเครื่องยนต์ ตอนปั่นที่ไทยไม่เคยรู้สึกอย่างนั้นเลย เพราะต้องคอยระวังรถราเต็มไปหมด แต่ที่ญี่ปุ่น ถึงหลงทางก็สนุก ปั่นไปเรื่อยๆ ได้เห็นทิวทัศน์ใหม่ๆ สัมผัสกับผู้คนและบรรยากาศอย่างที่นั่งรถหรือรถไฟให้เราไม่ได้ อยากหยุดพักตรงไหนก็พักได้ จะปั่นชิวดูร้านริมทางหรือพยามยามทำความเร็วแข่งกับตัวเองก็ได้
จักรยานนี่มันสนุกจริงๆค่ะ ;)
---
ต่อไปนี้เป็นลงรูป ซึ่งก็ไม่ได้มีเยอะอะไรหรอกค่ะ มัวแต่หลงทาง 5555
มีคนทักว่าไปคนเดียวไม่กลัวเค้าไม่ให้เข้าประเทศเหรอ เลยหิ้วนี่ไปค่ะ อิตะแบ็ก ประกาศว่าเราจะไปเทตังที่อากิบะ/คอมิเกะ 55555
ภายในกระเป๋าที่เรายัดลงไปและน้ำหนักรวมขาไปค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เจอห้างที่ทำที่จอดจักรยานไว้ให้เฉพาะด้วย
Diver City Tokyo ที่ Odaiba ค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สั่งชุดใหญ่ไฟกะพริบ (Garmin Varia Radar กับไมล์) จาก Amazon Japan ให้ไปส่งที่ Lawson แถวที่พักก่อนเราเองจะบินไปด้วย สะดวกมากค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ได้ไปตัดแว่น Megane Ichiba X Yowamushi Pedal ที่อุเอโนะด้วย แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมาค่ะ ;)