แม่จ๋า...
นานมาแล้วที่ผมไม่ได้พูดคำนี้ เป็นคำที่พูดเมื่อไรก็ออกมาจากหัวใจ
จากหัวใจของลูกคนหนึ่ง ที่รักแม่ไม่น้อยกว่าลูกทุกคนในโลกนี้
ลูกทุกคนที่มีแม่เพียงคนเดียวในชีวิตนี้...
.............
ลูกชายคนนี้ของแม่ ดูดดื่มน้ำนมตักตวงเอาเลือดจากอกของแม่มาเป็นอาหารเลี้ยงตัวเองนานกว่าพี่ ๆ คนอื่น
กว่าผมจะหย่านม..แม่บอกก็สามขวบกว่า
สมัยนั้นจะมีนมผงขายหรือไม่ผมไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ใจก็คือถึงจะมีขายแต่แม่ก็ไม่มีเงินซื้อ
บ้านของเราจนเกินกว่าที่จะซื้อมันมากินได้
หลังจากนั้น..ผมยังได้ใช้หยาดเหงื่อแรงกายของแม่แลกมาซึ่งอาหารการกิน เครื่องแต่งกาย และการร่ำเรียนต่อมาอีกเนิ่นนานนับเป็นสิบปี
หยาดเหงื่อแรงกายจากการนั่งพับถุงกระดาษของแม่ ที่แม่ทำตั้งแต่เช้ายันดึกดื่น
แม่ไปรับกระดาษมาจากโรงงานแห่งหนึ่ง โชคดีที่โรงงานแห่งนั้นอยู่ไม่ไกลบ้านมากนัก เดินไปกลับประมาณ 2 ชั่วโมง
แม่ไม่นั่งรถเมล์ อะไรที่เสียตังค์แม่มักจะไม่ยอมทำ
ลูกหกในเจ็ดคนของแม่ไปเรียนหนังสือ ลูกคนที่เจ็ดคือผมนั้นจะได้ไปกับแม่ด้วย แม่ไม่เคยทิ้งผมเอาไว้ให้อยู่คนเดียว
......
แม่ใช้สองมือที่หยาบกร้านนั้น หิ้วกระดาษหนาหนัก แม้ผมจะเข้าช่วย แต่ก็ช่วยอะไรได้ไม่มากนอกเสียจากทำให้เกะกะมากขึ้น
เมื่อกลับมาถึงบ้าน แม่แกะกระดาษออกมาเรียงเป็นแถว ใช้แป้งเปียกที่ทำจากแป้งผสมน้ำร้อนทาบริเวณขอบกระดาษจนทั่วถึง
แล้วแม่ก็พับ แผ่นแล้วแผ่นเล่าผ่านมือแม่ออกมา ผมได้แต่เพียงช่วยเรียงซ้อน ๆ กันเอาไว้ แล้วเอาท่อนไม้ทับไม่ให้ปลิวไป
ตามแรงลม ลมซึ่งมาจากพัดลมเครื่องเล็ก ๆ ที่เวลาจะให้มันหมุนต้องใช้มือหมุนให้มันติดเสียก่อน
แม่ทำอยู่อย่างนี้เรื่อยมา เพราะเงินเดือนที่พ่อทำได้ ไม่พอจะเลี้ยงลูกทั้งเจ็ดคน แม่จะต้องทำทุกอย่างเพื่อช่วยพ่อ
พ่อเป็นแค่เสมียนบริษัทเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง เงินเดือนเท่าไหร่นั้นผมจำไม่ได้ รู้แต่ว่าไม่มากเท่าใดนัก ไม่พอใช้ในครอบครัวที่มีอยู่ถึงเก้าชีวิต
แม่พับถุงกระดาษ ขายได้ร้อยละหกสลึง พันละสิบห้าบาท
การพับถุงกระดาษหนึ่งพันใบ ต้องเสียเวลาทำไม่น้อยกว่าหนึ่งวัน
ผมยังจำได้ดี ภาพที่ผมต้องรอให้แม่พับถุงใบที่พันเสร็จ แล้วผมกับแม่ก็ช่วยกันยกถุงพันใบนั้นไปแลกเอาเงินมา
ภาพที่แม่ยื่นเงินทั้งสิบห้าบาทนั้นให้ผมไปโรงเรียน พร้อมกับคำพูดที่ว่า "เอาไปเถิดลูก เดี๋ยวแม่ก็พับมาขายได้อีก.."
เป็นภาพและเสียงที่คมชัดตราตรึงอยู่ในหัวใจของลูกคนนี้เสมอมา
แม่ไม่เคยปริปากบ่นอะไรออกมาทั้งที่เหนื่อยใจแทบขาด มีแต่ดวงตาที่มีแต่แววรักใคร่และห่วงใยลูก ๆ
ดวงตาที่อยู่ใต้หน้าผากซึ่งพราวไปด้วยเหงื่อเม็ดน้อยใหญ่ที่ดูเหมือนจะไม่เคยเหือดแห้งไปได้เลยคู่นั้น
..........
ช่วงเรียนอยู่ป.4 ผมเกเรียนอย่างมาก เนื่องจากเพิ่งเริ่มเรียนวิชาภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นวิชาที่ผมไม่ชอบ และครูที่สอนก็ดุมาก
เป็นครูที่ไร้จิตวิทยาในการสอนโดยสิ้นเชิง
ผมมักจะแกล้งปวดหัวในตอนเช้า ใช้มือถู ๆ ที่หน้าผากให้ร้อน เวลาแม่จับจะได้รู้ว่าผมไม่สบายจริง ๆ
ไม่ก็แกล้งนอนใต้ผ้าห่มให้เหงื่อเปียกชุ่มตัว เพื่อจะบอกแม่ว่าปวดท้อง จะได้ไม่ต้องไปโรงเรียน
ผมรู้..แม่รู้ว่าผมแกล้งป่วยการเมือง แต่แม่ก็มักจะยอมให้ผมหยุดเรียน
วันหนึ่งผมถูกครูคนที่ว่าตีด้วยไม้เรียวที่ทำจากแท่งพลาสติก ตีจนเลือดซิบออกมาจากรอยแนวเขียวคล้ำพราวไปทั้งก้น
จากสาเหตุที่ไม่สามารถท่องศัพท์ได้ครบตามคำสั่ง
แม่เห็นบาดแผล แม่กอดผมอย่างสงสารจับใจ แต่แม่ไม่โทษครู แม่บอกว่าครูเขาอยากจะให้เราได้ดี ครูเขาถึงตีเรา
แต่ผมไม่คิดอย่างนั้น ผมไม่ยอมไปโรงเรียนอีกต่อไป
ผมบอกแม่ว่า ผมจะอยู่บ้านช่วยแม่พับถุงขาย ผมจะพับให้ได้เยอะ ๆ จะหาเงินให้ได้เยอะ ๆ
แม่หัวเราะ แล้วบอกผมว่า "ไม่ได้"
แม่เรียนไม่สูงนัก แม่จึงไม่มีถ้อยคำดี ๆ มาสั่งสอนผม
ท่านบอกอย่างเดียวว่า "ลูกไม่เรียนไม่ได้..ลูกจะลำบากอย่างแม่กับพ่อไม่ได้.."
การลากเข็นผมไปโรงเรียนจึงได้เกิดขึ้นในวันนั้น
ผมเดินร้องไห้ตลอดทาง ผวาเข้าเกาะต้นไม้ทุกต้น เสาไฟฟ้าทุกต้น แม้แต่ต้นหญ้าหรือรั้วของบ้านทุกบ้านที่เดินผ่าน
แม่แกะมือผมออก ทั้งลากทั้งจูง ทั้งพร่ำบ่นทั้งเหนื่อยหอบ
แต่แม่ไม่เคยลงมือตีผมเลย ไม่เคยตีเลยตลอดชีวิตของผม
เมื่อไปถึงโรงเรียน แม่ขอเข้าพบครูคนนั้น ครูสอนวิชาภาษาอังกฤษ
แม่ไปพูดอย่างไรไม่ทราบ คุณครูคนนั้นออกมาหาผม ที่ยืนรออยู่หน้าโรงเรียน
"ครูรับปากว่าจะไม่ตีเธออีกต่อไปแล้ว ครูสัญญา.."
...........
แม่ครับ..เมื่อผมโตขึ้นเป็นวัยรุ่น ตอนนั้นครอบครัวของเรามีฐานะดีขึ้นบ้าง เพราะพี่ชายคนโตและคนรอง
สามารถหางานทำได้ในขณะที่เรียนไปด้วย
แต่แม่ก็ยังไม่หยุดพับถุง
อาจจะเป็นเพราะพ่อป่วยบ่อย ร่างกายที่กรำงานหนักและดื่มหนักสูบหนัก ทำให้ไม่สามารถต่อสู้กับโรคต่าง ๆ ได้
อาจจะเป็นเพราะพี่คนที่มีรายได้ ตัวเขาเองก็ต้องกินต้องใช้อยู่เหมือนกัน
และยังมีลูก ๆ อีกตั้งสี่ห้าคนที่ล้วนแต่ต้องใช้เงินทั้งนั้น
นั่นคงเป็นสาเหตุที่ทำให้แม่ต้องพับถุงขายต่อไป
..........
แม่เป็นผู้หญิงร่างท้วม..เวลาหัวเราะแม่จะตาหยี..
สิ่งหนึ่งที่แม่เสพติด เป็นสิ่งเดียวที่ลูก ๆ ทุกคนมักจะจามเมื่อเข้าใกล้แม่
แม่ติดยานัตถุ์ ท่านั่งนัตถุ์ยาของแม่ก็เป็นภาพที่ติดตาของผมจนทุกวันนี้
แม่จะเหยียดขาออกไป เอาขาหนึ่งไปซ้อนกับอีกข้างหนึ่ง มือซ้ายแบ มือขวาถือหลอด
เป่าบดยาไปมา ก่อนจะใส่เข้าหลอดแล้วเป่าพรืด
ลูก ๆ ที่อยู่ใกล้กระเจิงออกไปอย่างรวดเร็ว
แม่หัวเราะพุงกระเพื่อม..ใช้ผ้าเช็ดหน้าสั่งน้ำมูกดังปื้ด
วันละสองสามครั้งที่แม่ทำอย่างนี้ จนผ้าถุงและเสื้อของแม่เหม็นแต่ยานัตถุ์
แต่แม่รู้ไหม ผมชอบนอนตักแม่ที่สุดเลย
ตักแม่ที่มีผ้าถุงกลิ่นยานัตถุ์นี่แหละ เป็นความนุ่มนิ่มที่ผมคุ้นเคย เป็นกลิ่นที่ผมจดจำ
.........
ลูกของแม่คนนี้เรียนไม่เก่ง แต่ก็พอเอาตัวรอดได้
ใกล้จะจบก็ได้งานทำ เป็นงานที่ผมชอบทำมาก แม่มักเป็นห่วงผมเสมอที่ผมต้องกลับบ้านดึก ๆ ดื่น ๆ
ไม่ว่ากี่โมงที่ผมเข้าบ้าน แม่จะลุกขึ้นมาดูผม แล้วถามว่ากินข้าวมาหรือยัง
ผมจำได้ดีถึงวันแรก ที่ผมนำเงินมาให้แม่
เป็นเงินที่ผมได้จากการทำงานก้อนแรกในชีวิต จำนวนเก้าร้อยบาทถ้วน
แบงค์ร้อยสีแดงสดเก้าใบ ได้มาเท่าไรผมยื่นให้แม่ทั้งหมด
เหมือนเมื่อคราวที่แม่ยื่นเงินสิบห้าบาทให้กับผม..ทั้งที่แม่เองไม่มีเงินติดตัวซักบาทในวันนั้น
ผมยื่นให้แม่เงียบ ๆ แม่รับไปเงียบ ๆ
ผมไปนั่งกินข้าว แม่นั่งดูโทรทัศน์
ผมเห็นแม่นั่งน้ำตาไหล ทั้ง ๆ ที่โทรทัศน์กำลังเสนอข่าวจากทางราชการ
แม่หยิบเงินนั้นขึ้นมามาดูอีกครั้ง บรรจงพับอย่างสุดหวง ค่อย ๆ สอดเข้ากระเป๋าเสื้อคอกระเช้าของแม่อย่างทะนุถนอม
ผมไม่ถามแม่ว่าแม่เป็นอะไร เพราะผมเองก็กำลังกินข้าวแกล้มน้ำตาอยู่เหมือนกัน
เป็นน้ำตาแห่งความตื้นตัน เป็นน้ำตาแห่งความภาคภูมิใจ
ผมจะไม่ยอมให้แม่พับถุงขายอีกต่อไปแล้ว...
.........
วันแม่นี้นะครับ..ผมจะไปกราบแม่
ผมจะไปกอดแม่ หอมแก้มแม่ และนอนหนุนตักแม่
แม้แม่จะไม่ได้นัตถุ์ยาแล้ว แม้แม่จะมีแต่หนังหุ้มกระดูกแล้ว แม้แม่จะลุกนั่งเดินเหินไม่ได้แล้ว
และแม้แม่จะมองอะไรไม่เห็นแล้ว
แต่ผมเชื่อว่าอ้อมกอดของแม่นั้น จะอบอุ่นมิรู้วาย
จะเรียกขวัญและกำลังใจสำหรับการดำเนินชีวิตของผมให้กลับมาอีกครั้ง
เหมือนกับทุกครั้งที่ผมเคยได้รับจากแม่เสมอมา
แม่จ๋า...ผมรักแม่ครับ...
....................................
ผมอ่านเรื่องนี้พร้อมน้ำตา
เรื่องนี้ผมเขียนไว้หลายปีแล้ว
ผมจะอ่านงานเขียนของผมชิ้นนี้ทุกครั้งที่ถึงวันแม่
ไม่ว่าปีนั้นจะเป็นปีที่แย่สำหรับผม หรือเป็นปีที่ดีสำหรับผมก็ตาม
ผมจะเปิดขึ้นมาอ่านเสมอมา
ทุกวันนี้ ผมมีชีวิตที่ดี มีหลักฐานที่มั่นคง
แต่ผมไม่มีแม่
แม่จากผมไปแล้ว..
แม่จ๋า..ผมคิดถึงแม่ครับ..
จากลูกของแม่คนนี้...
นานมาแล้วที่ผมไม่ได้พูดคำนี้ เป็นคำที่พูดเมื่อไรก็ออกมาจากหัวใจ
จากหัวใจของลูกคนหนึ่ง ที่รักแม่ไม่น้อยกว่าลูกทุกคนในโลกนี้
ลูกทุกคนที่มีแม่เพียงคนเดียวในชีวิตนี้...
.............
ลูกชายคนนี้ของแม่ ดูดดื่มน้ำนมตักตวงเอาเลือดจากอกของแม่มาเป็นอาหารเลี้ยงตัวเองนานกว่าพี่ ๆ คนอื่น
กว่าผมจะหย่านม..แม่บอกก็สามขวบกว่า
สมัยนั้นจะมีนมผงขายหรือไม่ผมไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ใจก็คือถึงจะมีขายแต่แม่ก็ไม่มีเงินซื้อ
บ้านของเราจนเกินกว่าที่จะซื้อมันมากินได้
หลังจากนั้น..ผมยังได้ใช้หยาดเหงื่อแรงกายของแม่แลกมาซึ่งอาหารการกิน เครื่องแต่งกาย และการร่ำเรียนต่อมาอีกเนิ่นนานนับเป็นสิบปี
หยาดเหงื่อแรงกายจากการนั่งพับถุงกระดาษของแม่ ที่แม่ทำตั้งแต่เช้ายันดึกดื่น
แม่ไปรับกระดาษมาจากโรงงานแห่งหนึ่ง โชคดีที่โรงงานแห่งนั้นอยู่ไม่ไกลบ้านมากนัก เดินไปกลับประมาณ 2 ชั่วโมง
แม่ไม่นั่งรถเมล์ อะไรที่เสียตังค์แม่มักจะไม่ยอมทำ
ลูกหกในเจ็ดคนของแม่ไปเรียนหนังสือ ลูกคนที่เจ็ดคือผมนั้นจะได้ไปกับแม่ด้วย แม่ไม่เคยทิ้งผมเอาไว้ให้อยู่คนเดียว
......
แม่ใช้สองมือที่หยาบกร้านนั้น หิ้วกระดาษหนาหนัก แม้ผมจะเข้าช่วย แต่ก็ช่วยอะไรได้ไม่มากนอกเสียจากทำให้เกะกะมากขึ้น
เมื่อกลับมาถึงบ้าน แม่แกะกระดาษออกมาเรียงเป็นแถว ใช้แป้งเปียกที่ทำจากแป้งผสมน้ำร้อนทาบริเวณขอบกระดาษจนทั่วถึง
แล้วแม่ก็พับ แผ่นแล้วแผ่นเล่าผ่านมือแม่ออกมา ผมได้แต่เพียงช่วยเรียงซ้อน ๆ กันเอาไว้ แล้วเอาท่อนไม้ทับไม่ให้ปลิวไป
ตามแรงลม ลมซึ่งมาจากพัดลมเครื่องเล็ก ๆ ที่เวลาจะให้มันหมุนต้องใช้มือหมุนให้มันติดเสียก่อน
แม่ทำอยู่อย่างนี้เรื่อยมา เพราะเงินเดือนที่พ่อทำได้ ไม่พอจะเลี้ยงลูกทั้งเจ็ดคน แม่จะต้องทำทุกอย่างเพื่อช่วยพ่อ
พ่อเป็นแค่เสมียนบริษัทเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง เงินเดือนเท่าไหร่นั้นผมจำไม่ได้ รู้แต่ว่าไม่มากเท่าใดนัก ไม่พอใช้ในครอบครัวที่มีอยู่ถึงเก้าชีวิต
แม่พับถุงกระดาษ ขายได้ร้อยละหกสลึง พันละสิบห้าบาท
การพับถุงกระดาษหนึ่งพันใบ ต้องเสียเวลาทำไม่น้อยกว่าหนึ่งวัน
ผมยังจำได้ดี ภาพที่ผมต้องรอให้แม่พับถุงใบที่พันเสร็จ แล้วผมกับแม่ก็ช่วยกันยกถุงพันใบนั้นไปแลกเอาเงินมา
ภาพที่แม่ยื่นเงินทั้งสิบห้าบาทนั้นให้ผมไปโรงเรียน พร้อมกับคำพูดที่ว่า "เอาไปเถิดลูก เดี๋ยวแม่ก็พับมาขายได้อีก.."
เป็นภาพและเสียงที่คมชัดตราตรึงอยู่ในหัวใจของลูกคนนี้เสมอมา
แม่ไม่เคยปริปากบ่นอะไรออกมาทั้งที่เหนื่อยใจแทบขาด มีแต่ดวงตาที่มีแต่แววรักใคร่และห่วงใยลูก ๆ
ดวงตาที่อยู่ใต้หน้าผากซึ่งพราวไปด้วยเหงื่อเม็ดน้อยใหญ่ที่ดูเหมือนจะไม่เคยเหือดแห้งไปได้เลยคู่นั้น
..........
ช่วงเรียนอยู่ป.4 ผมเกเรียนอย่างมาก เนื่องจากเพิ่งเริ่มเรียนวิชาภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นวิชาที่ผมไม่ชอบ และครูที่สอนก็ดุมาก
เป็นครูที่ไร้จิตวิทยาในการสอนโดยสิ้นเชิง
ผมมักจะแกล้งปวดหัวในตอนเช้า ใช้มือถู ๆ ที่หน้าผากให้ร้อน เวลาแม่จับจะได้รู้ว่าผมไม่สบายจริง ๆ
ไม่ก็แกล้งนอนใต้ผ้าห่มให้เหงื่อเปียกชุ่มตัว เพื่อจะบอกแม่ว่าปวดท้อง จะได้ไม่ต้องไปโรงเรียน
ผมรู้..แม่รู้ว่าผมแกล้งป่วยการเมือง แต่แม่ก็มักจะยอมให้ผมหยุดเรียน
วันหนึ่งผมถูกครูคนที่ว่าตีด้วยไม้เรียวที่ทำจากแท่งพลาสติก ตีจนเลือดซิบออกมาจากรอยแนวเขียวคล้ำพราวไปทั้งก้น
จากสาเหตุที่ไม่สามารถท่องศัพท์ได้ครบตามคำสั่ง
แม่เห็นบาดแผล แม่กอดผมอย่างสงสารจับใจ แต่แม่ไม่โทษครู แม่บอกว่าครูเขาอยากจะให้เราได้ดี ครูเขาถึงตีเรา
แต่ผมไม่คิดอย่างนั้น ผมไม่ยอมไปโรงเรียนอีกต่อไป
ผมบอกแม่ว่า ผมจะอยู่บ้านช่วยแม่พับถุงขาย ผมจะพับให้ได้เยอะ ๆ จะหาเงินให้ได้เยอะ ๆ
แม่หัวเราะ แล้วบอกผมว่า "ไม่ได้"
แม่เรียนไม่สูงนัก แม่จึงไม่มีถ้อยคำดี ๆ มาสั่งสอนผม
ท่านบอกอย่างเดียวว่า "ลูกไม่เรียนไม่ได้..ลูกจะลำบากอย่างแม่กับพ่อไม่ได้.."
การลากเข็นผมไปโรงเรียนจึงได้เกิดขึ้นในวันนั้น
ผมเดินร้องไห้ตลอดทาง ผวาเข้าเกาะต้นไม้ทุกต้น เสาไฟฟ้าทุกต้น แม้แต่ต้นหญ้าหรือรั้วของบ้านทุกบ้านที่เดินผ่าน
แม่แกะมือผมออก ทั้งลากทั้งจูง ทั้งพร่ำบ่นทั้งเหนื่อยหอบ
แต่แม่ไม่เคยลงมือตีผมเลย ไม่เคยตีเลยตลอดชีวิตของผม
เมื่อไปถึงโรงเรียน แม่ขอเข้าพบครูคนนั้น ครูสอนวิชาภาษาอังกฤษ
แม่ไปพูดอย่างไรไม่ทราบ คุณครูคนนั้นออกมาหาผม ที่ยืนรออยู่หน้าโรงเรียน
"ครูรับปากว่าจะไม่ตีเธออีกต่อไปแล้ว ครูสัญญา.."
...........
แม่ครับ..เมื่อผมโตขึ้นเป็นวัยรุ่น ตอนนั้นครอบครัวของเรามีฐานะดีขึ้นบ้าง เพราะพี่ชายคนโตและคนรอง
สามารถหางานทำได้ในขณะที่เรียนไปด้วย
แต่แม่ก็ยังไม่หยุดพับถุง
อาจจะเป็นเพราะพ่อป่วยบ่อย ร่างกายที่กรำงานหนักและดื่มหนักสูบหนัก ทำให้ไม่สามารถต่อสู้กับโรคต่าง ๆ ได้
อาจจะเป็นเพราะพี่คนที่มีรายได้ ตัวเขาเองก็ต้องกินต้องใช้อยู่เหมือนกัน
และยังมีลูก ๆ อีกตั้งสี่ห้าคนที่ล้วนแต่ต้องใช้เงินทั้งนั้น
นั่นคงเป็นสาเหตุที่ทำให้แม่ต้องพับถุงขายต่อไป
..........
แม่เป็นผู้หญิงร่างท้วม..เวลาหัวเราะแม่จะตาหยี..
สิ่งหนึ่งที่แม่เสพติด เป็นสิ่งเดียวที่ลูก ๆ ทุกคนมักจะจามเมื่อเข้าใกล้แม่
แม่ติดยานัตถุ์ ท่านั่งนัตถุ์ยาของแม่ก็เป็นภาพที่ติดตาของผมจนทุกวันนี้
แม่จะเหยียดขาออกไป เอาขาหนึ่งไปซ้อนกับอีกข้างหนึ่ง มือซ้ายแบ มือขวาถือหลอด
เป่าบดยาไปมา ก่อนจะใส่เข้าหลอดแล้วเป่าพรืด
ลูก ๆ ที่อยู่ใกล้กระเจิงออกไปอย่างรวดเร็ว
แม่หัวเราะพุงกระเพื่อม..ใช้ผ้าเช็ดหน้าสั่งน้ำมูกดังปื้ด
วันละสองสามครั้งที่แม่ทำอย่างนี้ จนผ้าถุงและเสื้อของแม่เหม็นแต่ยานัตถุ์
แต่แม่รู้ไหม ผมชอบนอนตักแม่ที่สุดเลย
ตักแม่ที่มีผ้าถุงกลิ่นยานัตถุ์นี่แหละ เป็นความนุ่มนิ่มที่ผมคุ้นเคย เป็นกลิ่นที่ผมจดจำ
.........
ลูกของแม่คนนี้เรียนไม่เก่ง แต่ก็พอเอาตัวรอดได้
ใกล้จะจบก็ได้งานทำ เป็นงานที่ผมชอบทำมาก แม่มักเป็นห่วงผมเสมอที่ผมต้องกลับบ้านดึก ๆ ดื่น ๆ
ไม่ว่ากี่โมงที่ผมเข้าบ้าน แม่จะลุกขึ้นมาดูผม แล้วถามว่ากินข้าวมาหรือยัง
ผมจำได้ดีถึงวันแรก ที่ผมนำเงินมาให้แม่
เป็นเงินที่ผมได้จากการทำงานก้อนแรกในชีวิต จำนวนเก้าร้อยบาทถ้วน
แบงค์ร้อยสีแดงสดเก้าใบ ได้มาเท่าไรผมยื่นให้แม่ทั้งหมด
เหมือนเมื่อคราวที่แม่ยื่นเงินสิบห้าบาทให้กับผม..ทั้งที่แม่เองไม่มีเงินติดตัวซักบาทในวันนั้น
ผมยื่นให้แม่เงียบ ๆ แม่รับไปเงียบ ๆ
ผมไปนั่งกินข้าว แม่นั่งดูโทรทัศน์
ผมเห็นแม่นั่งน้ำตาไหล ทั้ง ๆ ที่โทรทัศน์กำลังเสนอข่าวจากทางราชการ
แม่หยิบเงินนั้นขึ้นมามาดูอีกครั้ง บรรจงพับอย่างสุดหวง ค่อย ๆ สอดเข้ากระเป๋าเสื้อคอกระเช้าของแม่อย่างทะนุถนอม
ผมไม่ถามแม่ว่าแม่เป็นอะไร เพราะผมเองก็กำลังกินข้าวแกล้มน้ำตาอยู่เหมือนกัน
เป็นน้ำตาแห่งความตื้นตัน เป็นน้ำตาแห่งความภาคภูมิใจ
ผมจะไม่ยอมให้แม่พับถุงขายอีกต่อไปแล้ว...
.........
วันแม่นี้นะครับ..ผมจะไปกราบแม่
ผมจะไปกอดแม่ หอมแก้มแม่ และนอนหนุนตักแม่
แม้แม่จะไม่ได้นัตถุ์ยาแล้ว แม้แม่จะมีแต่หนังหุ้มกระดูกแล้ว แม้แม่จะลุกนั่งเดินเหินไม่ได้แล้ว
และแม้แม่จะมองอะไรไม่เห็นแล้ว
แต่ผมเชื่อว่าอ้อมกอดของแม่นั้น จะอบอุ่นมิรู้วาย
จะเรียกขวัญและกำลังใจสำหรับการดำเนินชีวิตของผมให้กลับมาอีกครั้ง
เหมือนกับทุกครั้งที่ผมเคยได้รับจากแม่เสมอมา
แม่จ๋า...ผมรักแม่ครับ...
....................................
ผมอ่านเรื่องนี้พร้อมน้ำตา
เรื่องนี้ผมเขียนไว้หลายปีแล้ว
ผมจะอ่านงานเขียนของผมชิ้นนี้ทุกครั้งที่ถึงวันแม่
ไม่ว่าปีนั้นจะเป็นปีที่แย่สำหรับผม หรือเป็นปีที่ดีสำหรับผมก็ตาม
ผมจะเปิดขึ้นมาอ่านเสมอมา
ทุกวันนี้ ผมมีชีวิตที่ดี มีหลักฐานที่มั่นคง
แต่ผมไม่มีแม่
แม่จากผมไปแล้ว..
แม่จ๋า..ผมคิดถึงแม่ครับ..