The Battleship Island (Seung-wan Ryoo, 2017) คะแนน B

By Form Corleone
"หนังสามารถสร้างอารมณ์ความเกลียดชังต่อฝ่ายตรงข้ามได้ตลอดเวลาซึ่งมันดูเกินไปที่จะเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง" ภาพยนตร์จากประเทศเกาหลีอิงจากเรื่องจริงในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง โดยโฟกัสไปที่เรื่องราวระหว่างญี่ปุ่นและเกาหลีที่เปรียบเสมือนคู่แค้นกันตลอดเวลา เล่าเรื่องราวบนเกาะฮาชิมะหรือเกาะเรือรบที่เรารู้จักกัน แต่เราเพียงรู้จักแง่มุมเรื่องราวตำนานผีสิงหรือความเหี้ยนของสถานที่แห่งนี้โดยไม่ได้สนใจประวัติความเป็นหมายของเกาะนี้มากเท่าไหร่ หนังเรื่องนี้จึงพาเราสัมผัสอีกมุมหนึ่งของเกาะฮาชิมะใน 'The Battleship Island' แม้จะเป็นเพียงการบอกเล่าเพียงด้านเดียวก็ตาม ตัวหนังมีงานโปรดักชั่นที่ค่อนข้างสูงและงาน CG ที่ค่อนข้างดี แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของวงการภาพยนตร์ประเทศเกาหลีได้อย่างชัดเจน แม้วิธีเล่าเรื่องจะไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากพล็อตหนังสงครามเรื่องอื่นๆ ยิ่งไปกว่านั้นตัวละครในเรื่องยังละม้ายคล้ายคลึงกับหนังบางเรื่องในฝั่งฮอลลีวูดจนทำให้เรานึกถึงขึ้นมาตอนที่กำลังนั่งดูอยู่หลายเรื่องด้วยกัน ภาพรวมของหนังเรื่องนี้สามารถส่งมอบความทุกข์ ความเศร้า รวมถึงแง่มุมของความโหดร้ายของฝั่งตรงข้ามแบบไม่แคร์ว่าเรื่องจริงเรื่องแต่งอันนั้นจะสำคัญกว่ากัน ทั้งหมดที่หนังนำเสนอจึงทำให้เราไม่สามารถเชื่อเรื่องราวในเรื่องว่าคือเรื่องจริงได้ รวมไปถึงวิธีการกำกับของ 'Seung-wan Ryoo' ที่ค่อนข้างพยายามบิ้วท์อารมณ์ในหลายๆจังหวะจนทำให้เรารู้สึกขัดใจและไม่เป็นธรรมชาติเท่าที่ควรซึ่งเป็นเหมือนดาบสองคมที่ทำให้ตัวหนังเองลดคุณค่าลงในการนิยามว่า 'สร้างจากเรื่องจริง' การเล่าเรื่องราวฝ่ายตรงข้ามในที่นี้คือญี่ปุ่นให้ดูใจร้ายแบบจงใจกระทำมากเกินไปนั้นดูจะเป็นความบ้าคลั่งที่สร้างภาพให้ญี่ปุ่นเลวร้ายมากเกินความจำเป็น

อย่างไรก็ตาม หนังยังสามารถตอบสนองความสนุกและให้อารมณ์ความรู้สึกได้ค่อนข้างดี ถ้าเราไม่ติดใจถึงเหตุการณ์หรือข้อความต่างๆที่หนังต้องการสื่อสารมากจนเกินไป การนั่งดูภาพยนตร์เรื่องนี้คงจะตอบโจทย์ความบันเทิงได้ในระดับที่น่าพอใจ การแสดงของเหล่านักแสดงนำนั้นทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่และค่อนข้างดีมากในจังหวะที่ต้องบีบเค้นซีนดราม่าเพื่อเรียกความสงสารหรือเรียกน้ำตาให้กับโชคชะตาที่โหดร้ายทารุณเหลือเกิน ฉากแอคชั่นในสมรภูมิรบบนเกาะฮาชิมะให้ความรู้สึกฮึกเหิมและเอาใจช่วยแม้จะรู้ทั้งรู้ว่าเป็นการจงใจกระทำหรือจูงใจให้เรารู้สึกคล้อยตามไปกับเหตุการณ์ในเรื่องแบบไม่ประนีประนอมเลย และถ้าใครหลงกลเชื่อสิ่งที่หนังเล่าหรือพยายามถ่ายทอดขึ้นมาแบบฝังใจคงจะเกลียดพวกญี่ปุ่นไปแบบอัตโนมัติ แต่ก็อย่างที่บอกไปว่าเหรียญมีสองด้านเสมอเพียงแค่ด้านนี้เป็นการเล่าเรื่องของฝ่ายเกาหลีก็เท่านั้น นอกจากนี้เมื่อตัวหนังมีประเด็นของแรงงานเกาหลีที่ตกเป็นทาสต้องทำงานรับใช้นายญี่ปุ่นบนเกาะแห่งนี้ เราจึงเห็นพฤติกรรมของตัวละครในเรื่องที่แตกต่างกันออกไปอย่างชัดเจน ทั้งตัวละครที่จงรักภักดีต่อประเทศตัวเองหรือตัวละครที่หักหลังทรยศประเทศตัวเอง และแม้กระทั่งตัวละครที่ไม่ได้รักชาติเท่ากับการเอาชีวิตตัวเองให้รอดปลอดภัย ดังนั้น ตัวหนังจึงสามารถสะท้อนแง่มุมจิตใต้สำนึกของมนุษย์ได้หลายรูปแบบ และแม้ว่าจะมีประเด็นของการทรยศประเทศตัวเองหรือหักหลังเพื่อนรวมชาติเพื่อตอบสนองความอยู่รอดของตน แต่จนแล้วจนรอดหนังก็เลือกที่จะเชิดชูความสามัคคีของประชาชนเกาหลีแบบน่าหมั่นไส้อยู่พอสมควร แต่ก็เข้าใจได้ในระดับหนึ่งที่หนังพยายามเล่าเรื่องแบบนี้(ใครจะเล่าให้ฝั่งตัวเองดูแย่คงจะไม่มีหรอก...แต่อย่าลืมว่าป้ายแปะบนหัวตัวเองคืองานที่สร้างจากเรื่องจริง...ชวนให้ตลกอยู่เหมือนกัน)

ท้ายสุดแล้วนั้น ภาพรวมทั้งหมดของ 'The Battleship Island' น่าจะเป็นงานที่มีทั้งข้อดีและข้อเสียผสมกันไป ความสนุกและความบันเทิงด้านอารมณ์ความรู้สึกเศร้านั้นมาเต็ม ใครที่ชอบงานสไตล์ดราม่าเกาหลีเรื่องนี้น่าจะถูกใจไม่น้อย และถ้าใครอินกับเรื่องราวทั้งหมดที่หนังพยายามบิ้วท์มาคงจะมีน้ำตาซึมกันบ้าง แต่สำหรับเราเพียงรู้สึกเฉยๆในความบิ้วท์ของงานนี้ และอีกจุดหนึ่งที่เรามองว่าตัวหนังยังทำได้ไม่ดีคือการตัดสลับเหตุการณ์ช่วงเวลาต่างๆในเรื่องระหว่างตัวละครยังมีความไม่ลงรอยในบางจังหวะ สุดท้าย แม้ว่าหน้าหนังจะเป็นภาพยนตร์แนวสงครามแต่ประเด็นหลักยังคงเป็นแง่มุมความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ที่จับต้องได้และสามารถเข้าถึงได้ง่ายจนเหมาะกับทุกเพศทุกวัยครับ...

ขอให้มีความสุขกับการรับชมภาพยนตร์ครับ
ตัวอย่างหนัง

ฝากกด like Page ด้วยนะครับ
Page:
https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog:
http://moviesdelightclub.blogspot.com/
Review: The Battleship Island (Seung-wan Ryoo, 2017) เขียนโดย Form Corleone
By Form Corleone
"หนังสามารถสร้างอารมณ์ความเกลียดชังต่อฝ่ายตรงข้ามได้ตลอดเวลาซึ่งมันดูเกินไปที่จะเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง" ภาพยนตร์จากประเทศเกาหลีอิงจากเรื่องจริงในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง โดยโฟกัสไปที่เรื่องราวระหว่างญี่ปุ่นและเกาหลีที่เปรียบเสมือนคู่แค้นกันตลอดเวลา เล่าเรื่องราวบนเกาะฮาชิมะหรือเกาะเรือรบที่เรารู้จักกัน แต่เราเพียงรู้จักแง่มุมเรื่องราวตำนานผีสิงหรือความเหี้ยนของสถานที่แห่งนี้โดยไม่ได้สนใจประวัติความเป็นหมายของเกาะนี้มากเท่าไหร่ หนังเรื่องนี้จึงพาเราสัมผัสอีกมุมหนึ่งของเกาะฮาชิมะใน 'The Battleship Island' แม้จะเป็นเพียงการบอกเล่าเพียงด้านเดียวก็ตาม ตัวหนังมีงานโปรดักชั่นที่ค่อนข้างสูงและงาน CG ที่ค่อนข้างดี แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของวงการภาพยนตร์ประเทศเกาหลีได้อย่างชัดเจน แม้วิธีเล่าเรื่องจะไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากพล็อตหนังสงครามเรื่องอื่นๆ ยิ่งไปกว่านั้นตัวละครในเรื่องยังละม้ายคล้ายคลึงกับหนังบางเรื่องในฝั่งฮอลลีวูดจนทำให้เรานึกถึงขึ้นมาตอนที่กำลังนั่งดูอยู่หลายเรื่องด้วยกัน ภาพรวมของหนังเรื่องนี้สามารถส่งมอบความทุกข์ ความเศร้า รวมถึงแง่มุมของความโหดร้ายของฝั่งตรงข้ามแบบไม่แคร์ว่าเรื่องจริงเรื่องแต่งอันนั้นจะสำคัญกว่ากัน ทั้งหมดที่หนังนำเสนอจึงทำให้เราไม่สามารถเชื่อเรื่องราวในเรื่องว่าคือเรื่องจริงได้ รวมไปถึงวิธีการกำกับของ 'Seung-wan Ryoo' ที่ค่อนข้างพยายามบิ้วท์อารมณ์ในหลายๆจังหวะจนทำให้เรารู้สึกขัดใจและไม่เป็นธรรมชาติเท่าที่ควรซึ่งเป็นเหมือนดาบสองคมที่ทำให้ตัวหนังเองลดคุณค่าลงในการนิยามว่า 'สร้างจากเรื่องจริง' การเล่าเรื่องราวฝ่ายตรงข้ามในที่นี้คือญี่ปุ่นให้ดูใจร้ายแบบจงใจกระทำมากเกินไปนั้นดูจะเป็นความบ้าคลั่งที่สร้างภาพให้ญี่ปุ่นเลวร้ายมากเกินความจำเป็น
อย่างไรก็ตาม หนังยังสามารถตอบสนองความสนุกและให้อารมณ์ความรู้สึกได้ค่อนข้างดี ถ้าเราไม่ติดใจถึงเหตุการณ์หรือข้อความต่างๆที่หนังต้องการสื่อสารมากจนเกินไป การนั่งดูภาพยนตร์เรื่องนี้คงจะตอบโจทย์ความบันเทิงได้ในระดับที่น่าพอใจ การแสดงของเหล่านักแสดงนำนั้นทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่และค่อนข้างดีมากในจังหวะที่ต้องบีบเค้นซีนดราม่าเพื่อเรียกความสงสารหรือเรียกน้ำตาให้กับโชคชะตาที่โหดร้ายทารุณเหลือเกิน ฉากแอคชั่นในสมรภูมิรบบนเกาะฮาชิมะให้ความรู้สึกฮึกเหิมและเอาใจช่วยแม้จะรู้ทั้งรู้ว่าเป็นการจงใจกระทำหรือจูงใจให้เรารู้สึกคล้อยตามไปกับเหตุการณ์ในเรื่องแบบไม่ประนีประนอมเลย และถ้าใครหลงกลเชื่อสิ่งที่หนังเล่าหรือพยายามถ่ายทอดขึ้นมาแบบฝังใจคงจะเกลียดพวกญี่ปุ่นไปแบบอัตโนมัติ แต่ก็อย่างที่บอกไปว่าเหรียญมีสองด้านเสมอเพียงแค่ด้านนี้เป็นการเล่าเรื่องของฝ่ายเกาหลีก็เท่านั้น นอกจากนี้เมื่อตัวหนังมีประเด็นของแรงงานเกาหลีที่ตกเป็นทาสต้องทำงานรับใช้นายญี่ปุ่นบนเกาะแห่งนี้ เราจึงเห็นพฤติกรรมของตัวละครในเรื่องที่แตกต่างกันออกไปอย่างชัดเจน ทั้งตัวละครที่จงรักภักดีต่อประเทศตัวเองหรือตัวละครที่หักหลังทรยศประเทศตัวเอง และแม้กระทั่งตัวละครที่ไม่ได้รักชาติเท่ากับการเอาชีวิตตัวเองให้รอดปลอดภัย ดังนั้น ตัวหนังจึงสามารถสะท้อนแง่มุมจิตใต้สำนึกของมนุษย์ได้หลายรูปแบบ และแม้ว่าจะมีประเด็นของการทรยศประเทศตัวเองหรือหักหลังเพื่อนรวมชาติเพื่อตอบสนองความอยู่รอดของตน แต่จนแล้วจนรอดหนังก็เลือกที่จะเชิดชูความสามัคคีของประชาชนเกาหลีแบบน่าหมั่นไส้อยู่พอสมควร แต่ก็เข้าใจได้ในระดับหนึ่งที่หนังพยายามเล่าเรื่องแบบนี้(ใครจะเล่าให้ฝั่งตัวเองดูแย่คงจะไม่มีหรอก...แต่อย่าลืมว่าป้ายแปะบนหัวตัวเองคืองานที่สร้างจากเรื่องจริง...ชวนให้ตลกอยู่เหมือนกัน)
ท้ายสุดแล้วนั้น ภาพรวมทั้งหมดของ 'The Battleship Island' น่าจะเป็นงานที่มีทั้งข้อดีและข้อเสียผสมกันไป ความสนุกและความบันเทิงด้านอารมณ์ความรู้สึกเศร้านั้นมาเต็ม ใครที่ชอบงานสไตล์ดราม่าเกาหลีเรื่องนี้น่าจะถูกใจไม่น้อย และถ้าใครอินกับเรื่องราวทั้งหมดที่หนังพยายามบิ้วท์มาคงจะมีน้ำตาซึมกันบ้าง แต่สำหรับเราเพียงรู้สึกเฉยๆในความบิ้วท์ของงานนี้ และอีกจุดหนึ่งที่เรามองว่าตัวหนังยังทำได้ไม่ดีคือการตัดสลับเหตุการณ์ช่วงเวลาต่างๆในเรื่องระหว่างตัวละครยังมีความไม่ลงรอยในบางจังหวะ สุดท้าย แม้ว่าหน้าหนังจะเป็นภาพยนตร์แนวสงครามแต่ประเด็นหลักยังคงเป็นแง่มุมความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ที่จับต้องได้และสามารถเข้าถึงได้ง่ายจนเหมาะกับทุกเพศทุกวัยครับ...
ขอให้มีความสุขกับการรับชมภาพยนตร์ครับ
ตัวอย่างหนัง
ฝากกด like Page ด้วยนะครับ
Page: https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog: http://moviesdelightclub.blogspot.com/