สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 24
ประมวลรัษฎากรของเราล้าหลัง และการบังคับใช้ไม่เป็นธรรมนะครับ
มุมมองของหลวงที่มองมายังเอกชน
ไม่สัมพันธ์กับสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน
พูดถึงผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มบุคคลธรรมดา
รัฐต้องพิจารณาออกกฎหมาย และแก้ไขประมวลรัษฎากร
ให้ทันกับลักษณะการ "มีอยู่" ของหน่วยเศรษฐกิจ ฐานภาษี ลักษณะการดำเนินธุรกิจ
ให้ทันแบบ "มีอยู่จริง" ไม่ใช่จะบังคับใช้ในแบบอุดมคติ
ที่ตัวเองมองผ่านแว่นของความล้าหลัง ไร้ความสามารถในการติดตาม ประเมินผล
แล้วสามารถสังเคราะห์ออกมาเป็นกฎหมาย ให้สามารถบังคับใช้ได้จริงอย่างเป็นธรรม
แม่บทของประมวลรัษฎากร ไม่เอื้อให้เอกชนบุคคลธรรมดารายย่อย ลืมตาอ้าปากได้ ในธุรกิจท้องถิ่น
จะเอื้อแต่นโยบายใหม่ๆ ในรูปแบบนิติบุคคล เช่น BOI, การลดอัตราภาษีแบบก้าวหน้า
โครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เพิ่งจะแก้ไขใหม่ มีผลบังคับใช้ในปีภาษี 2560 นี่เอง
ในอดีตจนถึงปีภาษี 2559
หักค่าใช้จ่าย 40% ไม่เกิน 60,000
หักลดหย่อนผู้มีเงินได้ 30,000
ในมุมมองของหลวง
ท่าน assume ว่า บรรดาปวงประชาควรใช้จ่ายเงินเพื่อสนองประโยชน์สุขในไลฟ์สไตล์
ได้เพียงเดือนละ 7,500 บาท เท่านั้น ตีไปต่อวัน วันละ 250 บาท
ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท คุณยังหาคนงานไม่ได้เลย
ไม่ว่าคุณจะจบการศึกษาชั้นอะไร ทำงานเป็นคอเสื้อขาว หรือคอเสื้อน้ำเงิน คือ 250 บาท
นี่ยังดี ปีภาษี 2560 อุตส่าห์เขยิบขึ้นมาให้
หักค่าใช้จ่าย 50% ไม่เกิน 100,000
หักลดหย่อนผู้มีเงินได้ 60,000
นี่พูดกันกว้างๆ ยังไม่ต้องลงรายละเอียดถึงลดหย่อนอื่นๆ นะ
เอาแบบโครงสร้างภาษีของรุ่นคนสร้างชาติ คนกำลังสร้างเนื้อสร้างตัว
เป็นหลักเป็นฐาน ให้ชาติต่อไปอีกยี่สิบ สามสิบปี
ไอ้รายได้ที่รัฐวางโครงสร้างไว้ มันไม่เอื้อในมุมมองให้คนเหลือออม หรือเติบโต ขยายกิจการได้
พอหน่วยภาษีบุคคลธรรมดาใดๆ เข้าไปอยู่ระบบ จึงอยู่ไม่ได้ เพราะโครงสร้างภาษีไม่เอื้อให้เติบโตได้
มนุษย์เงินเดือนโอดครวญ บอกว่า ทำไมมีแต่ตัวเองที่ถูกหัก ณ ที่จ่าย ผ่านแบบ ภ.ง.ด.1 ไม่ยุติธรรมเลย
เพราะรัฐมองแต่หน่วยภาษี ที่ตนเองติดตามง่าย ทำงานง่าย ทำแบบเดิมๆ เพิ่มเติมคือไม่ต้องทำ
ผ่านกลไกการควบคุมเกี่ยวกับรายจ่ายต้องห้าม ภาษีซื้อต้องห้าม
ภ.ง.ด.1, ภ.ง.ด.3, ภ.ง.ด.53, ภ.พ.30 ที่ผูกโยงกันอยู่ในฐานกำไรสุทธิของ ภ.ง.ด.50
เพราะ ภ.ง.ด.1 เป็นหนึ่งในโครงสร้างค่าใช้จ่ายในฐานกำไรสุทธิ คุณมนุษย์เงินเดือนจึงถูกติดตามได้ง่าย
ตามมนุษย์เงินเดือนนั้นง่าย ทำงานง่าย แบบไม่ต้องทำ เขาก็ตามเอา เท่านั้นเอง
แต่ตามเอาภาษีกับบุคคลธรรมดายื่นแบบ ภ.ง.ด.90 มันทำงานยาก
หลวงท่านต้องทำงานเยอะ ต้องติดตามพัฒนาการทางสังคม
รูปแบบทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป ยิ่งในปัจจุบันยิ่งซับซ้อนมากขึ้นตามซอกหลืบออนไลน์
โครงสร้างฐานภาษี โครงสร้างค่าใช้จ่าย ของค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมใหม่ๆ การค้าแบบใหม่ๆ
โอย . . . ทำงานยาก ไม่ทำดีกว่า เหมารวมง่ายกว่า
หากหลวงท่านทำงานหนักหน่อย
สร้างแม่บทของประมวลรัษฎากรใหม่ ให้สอดคล้องกับสภาพทางเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนไปมาก
ทำให้เกิดการบังคับใช้ที่เป็นธรรมได้ ในหน่วยธุรกิจรายย่อย
พ่อค้าแม่ค้ารายย่อย ขายของกันกำไรเดือนเป็นแสนนั้น จะมีโอกาสสนองคุณแผ่นดิน
ได้มากกว่ามนุษย์เงินเดือน ที่ท่านไปบีบเอาง่ายๆ
เพียงแต่ต้องมีการบังคับใช้ที่เป็นธรรม
และต้องใช้มาตรฐานการบัญชีที่รับรองทั่วไป
ในมุมมองของการบังคับใช้ที่สามารถเป็นจริงได้ ในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจของจริง
รายจ่ายต้องห้ามในมุมมองของนิติบุคคล
หลวงท่านก็จะเอามาบังคับใช้ในลักษณะเดียวกันกับการประกอบกิจการรายย่อย ยุบยิบ มันเป็นจริงไม่ได้
ท่านจะบังคับใช้การรับรู้รายได้ - ค่าใช้จ่าย ผ่านกลไก ภ.พ.30 อย่างเดียว
ในข้อเท็จจริง มันมีต้นทุน ต้นน้ำ ที่พิสูจน์ทราบข้อเท็จจริงทางบัญชีได้ยาก
หลวงท่านต้องมีเกณฑ์ประนีประนอม compromise
ให้มันเอื้อต่อการดำเนินกิจการไปได้
ปวงราษฎ์ดำเนินชีวิตไปได้อย่างปกติสุข ประโยชน์นั้นจะกลับคืนมาสร้างชาติเอง
โครงสร้างภาษีของท่านโบราณ
ราวกับฐานภาษีของท่านยังอยู่ในสังคมเกษตรกรรม
หรือกำลังสร้างบ้านแปงเมืองเหมือนชีวิตที่ดำเนินอยู่ในสามสิบ สี่สิบปีที่แล้ว
เครื่องมือออนไลน์มีมากมาย ระบบฐานข้อมูลมีมากมาย
ท่านสามารถเอามาใช้ประโยชน์ประกอบการบังคับใช้กฎหมายได้มหาศาล
ขาดแต่ความกระตือรือร้นในการจะเปลี่ยนแปลงตนเองให้เข้ากันได้
กับสภาพการณ์ของสิ่งแวดล้อมทางธุรกิจในปัจจุบัน
ความเน่าในมันมีอยู่ถ้วนทั่ว ทุกองคาพยพของสังคม
รอแต่คนมีกำลังความสามารถเข้ามาขุดรากถอนโคนมันออกไป
บ่นไป ตามใจนึกได้ก็เท่านั้น
พิจารณาอะไร ต้องดูโครงสร้างประกอบบริบทที่เป็นจริงได้ งานจะสำเร็จลุล่วงโดยดี ไม่งั้นจะตีบตัน
คนพิจารณาแล้ว แม้ด้วยใจไม่เป็นธรรม
ก็ขอยอมใจ ไม่อาจอยู่ได้ในระบบโดยสะอาดใส ปราศจากด่างพร้อย
รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง เข้ากันได้กับการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินทุกกรณี
ท่านๆ เหล่านั้น ก็เพียงแต่ ขอให้ชีวิตดำเนินต่อไปได้โดยปกติสุข
มันเป็นอย่างนี้ เพราะมันเป็นอย่างนี้ นะครับ
การมาของ blockchain
สามารถเอามาปรับใช้สร้างหน่วยงานกำกับดูแล invoice กลางได้
ให้กลไก blockchain ดูแล transaction ของประชาคมการค้ากันเอง
หน่วยงานรัฐเพียงออกกฎหมายกำกับดูแล และบังคับใช้ให้เป็นธรรมโดยเท่าเทียม
ใครใคร่ค้า ต้องเข้าระบบ blockchain เปิด invoice ขายจากระบบ
ก่อนเปิดขาย ต้องนำเข้าข้อมูลซื้อ
หากซื้อมาขายไป อ้างอิงการนำเข้าสต๊อกซื้อ จาก tax point ของการเพิ่มมูลค่าขายผ่าน blockchain
หากเป็นคนขายต้นน้ำ เป็นผู้ผลิต หรือผู้ให้บริการสินค้าไม่มีตัวตน
สร้างระบบรับเข้า blockchain พร้อมแสดงเหตุผลอ้างอิงตามเกณฑ์ทางภาษีและมาตรฐานทางบัญชีที่รับรองทั่วไป
ใน module ทางการเงินประกอบ tax point ของการซื้อ - ขาย
ก็ใช้ blockchain ของสถาบันการเงินที่จะพัฒนาในอนาคต หรือใช้ coins ต่างๆ ชำระราคาซื้อขาย
เพื่อแสดงร่องรอย transaction ทางการเงิน
สำคัญที่สุดคือรัฐต้องมีกฎหมายสอดส่องการทุ่มตลาดของโมเดิร์นเทรดด้วย
กรมการค้าภายในควรกำกับดูแลกลไกโปรโมชั่น ต่ำกว่าราคาทุนด้วย
จริงอยู่คนซื้อคนสุดท้าย ได้ประโยชน์สูงสุด แต่มันจะกลายเป็น zero sum game
เพราะทุนใหญ่ได้เงินไป จ่ายค่าแรงลูกจ้างนิดหน่อย ที่เหลือเขาเอาไปเก็บ เป็น landlord เงินมันก็ฝืด
ดูแลตลาดบ้านๆ บ้าง เงินมันก็หมุนกันอยู่ในประชาคมนี่แหละ
รัฐสามารถดึงข้อมูลของระบบไปรษณีย์ ระบบลอจิสติกส์
ผ่านฐานข้อมูลของเลขประจำตัวประชาชนที่ใช้ตอนส่งไปรษณีย์
ตรวจสอบความถี่ ตรวจสอบปริมาณ transaction ประกอบได้
สำหรับภาษีมูลค่าเพิ่มก็ขยายเกณฑ์เถิด
เกณฑ์ล้านแปดนี่ไม่ทราบว่าใช้มาตั้งแต่เริ่มใช้ภาษีมูลค่าเพิ่ม ตั้งแต่ พ.ศ. 2535 รึเปล่า
25 ปีนี้ อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และอัตราเงินเฟ้อ เปลี่ยนแปลงไปมาก
พอเข้าระบบ ก็ไปเพิ่มค่าใช้จ่ายขายและบริหาร ให้เขาไปอีก
หลวงท่านควรพิจารณาเกณฑ์ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มใหม่ได้แล้วกระมัง
ทำแผนแม่บท 5 - 10 ปี กวาดต้อนผู้ค้าเข้าระบบ โดยให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ใครเข้าเร็วได้ประโยชน์เร็ว
พร้อมออกกฎหมายกำกับดูแล คาดโทษ บังคับใช้ให้เป็นธรรมโดยเท่าเทียม
สำหรับการค้าออฟไลน์ ก็สุดแท้แต่หลวงท่านจะเห็นสมควรควบคุมบังคับใช้
แต่รัฐศรีธนญชัยอย่างเรา เดี๋ยวก็ไม่วายลงไปขายใต้ดินกันอยู่ดี
โดยส่วนตัวนั้น จุดยืนผม ก็ไม่เห็นด้วยกับการเลี่ยงรับผิดชอบภาระทางภาษี
แต่โดยกลไก ภายใต้อำนาจรัฐนี้ ผู้ใช้ชีวิตอยู่ในรัฐ ยังไงซะทุกๆ การจับจ่าย ก็มีระบบภาษี
ไม่ระบบใด ก็ระบบหนึ่ง สอดส่องดูแลทำงานอยู่ แม้ไม่อยู่ในรูปแบบที่เป็นทางการ
เช่น ภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ end user จ่ายในการอุปโภค บริโภค
.
ผมขออนุญาตยกตัวอย่างเล็กๆ สักหนึ่งตัวอย่าง นะครับ
บุคคลธรรมดาผู้หนึ่ง เป็นคนหนุ่มวัยทำงาน ทำงานได้รับเงินเดือน เดือนละ 30,000 บาท
รวมมีเงินได้ในปีภาษีสามแสนหก
ได้รับสิทธิหักค่าใช้จ่าย 50% ไม่เกินแสน ได้หนึ่งแสนถ้วน
คงเหลือเงินได้ยกไป สองแสนหก
ได้รับสิทธิหักลดหย่อนผู้เงินได้ หกหมื่นบาท
คงเหลือเงินได้ยกไป สองแสนถ้วน
ตีไปว่าเขาเป็นคนโสด ไม่มีลดหย่อนอะไรอีก มีลดหย่อนประกันสังคมอีกเก้าพัน
คงเหลือเป็นเงินได้พึงประเมินสุทธิ 191,000 บาท
150,000 บาท แรก ได้รับยกเว้น
ยกไปคำนวณ ในอัตราก้าวหน้าที่อัตรา 5% ของจำนวนเงิน 41,000 บาท
คิดเป็นเงินภาษีที่ต้องนำส่งในแบบ ภ.ง.ด.91 รวมเป็นจำนวนเงินภาษี 2,050 บาท
อันที่จริง เพียงแค่พ่อหนุ่มคนนี้มัธยัสถ์ เจียดเงินเพื่อสะสมความมั่งคั่งให้ตนเอง เพื่อสร้าง capital gain
ผ่านทาวน์เฮาส์หลังเล็กๆ ในราคาตลาดปัจจุบันประมาณสองล้านบาท ผ่อนชำระประมาณหมื่นสอง - หมื่นสี่
เขาจะเสียดอกเบี้ยกู้ยืมเพื่อที่อยู่อาศัย สมมติว่าอัตรา 3.5% ต่อปี เอาไปใช้เป็นสิทธิลดหย่อนได้ 75,000 บาท
เพียงเท่านี้ เขาก็จะไม่ต้องเสียภาษีในช่วงวัยหนุ่มของเขาแล้ว
ดอกเบี้ยกู้ยืมเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยนี้ จะช่วยเขาลดหย่อนไปจนหน้าที่การงานเขาเติบโต
จนได้รับเงินเดือน เดือนละ 50,000 บาท เขาก็คงเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสุทธิต่อปีเพียง 10,300 บาท
นี่ยังไม่ได้นำสิทธิลดหย่อนอื่น ซึ่งอาจจะมีได้อีกนะครับ เช่น การซื้อ LTF RMF
เท่านี้ มนุษย์เงินเดือนคนนี้ก็ยืดอกพกถุง แล้วพร้อมที่จะพ่นคำผรุสวาท
ใส่ใครๆ ก็ได้ในโลกโซเชียลที่ไม่เสียภาษีอย่างตัวเอง
เอ็งมันชั่วช้า สามานย์ ไม่รักชาติ โกงชาติ บลาๆ บลาๆ
.
ไปดูน้องสาวอีกคนครับ
เธอเห็นความแตกต่างด้านราคาของสินค้าที่ UK กับ ช็อปในห้างใจกลางเมือง
เธอจึงนำเข้ากระเป๋าใบนี้เข้ามาขาย โดยผ่านการนำเข้าทางไปรษณีย์
ผ่านพิธีการศุลกากร และภาษีมูลค่าเพิ่ม ถูกต้องทุกอย่าง
ศุลกากรท่านประเมินกระเป๋าใบนี้หนึ่งแสนบาท
พิกัดอัตราภาษีศุลกากร 5% และมีภาษีมูลค่าเพิ่มจากอัตราประเมินอีก 7%
สรุปรวมคือน้องคนนี้ต้องเสียภาษีนำเข้ากระเป๋าใบนี้ 12% เป็นเงิน 12,000 บาท
เธอไม่ได้เคลมอะไรกับรัฐอีกแล้วครับ หมื่นสองนี้ จ่ายแล้วจ่ายเลย
ต้นทุนขายของเธอคือ 112,000 เธอขายไป 140,000 ได้กำไร 28,000 บาท
เงินได้ตรงนี้ เธอไม่ได้นำไปรวมคำนวณในการยื่นแบบ ภ.ง.ด.90
.
พอหนุ่มคนข้างบนเห็นน้องสาวคนนี้ไม่ยื่นแบบ 90
ตะโกนมาเลย . . . "อีเลว! หิ้วของมาขาย ไม่ยื่นแบบเสียภาษี แกมันชั่วช้า สามานย์ ไม่รักชาติ บลาๆ บลาๆ . . . "
น้องสาวคนนี้เหลือบตามองบน บอก . . .
"เอ่อ . . . หนูเสียไปเน็ตๆ หมื่นสอง ไม่เอาคืนสักบาทเลยนะพี่
พี่เงินเดือนเท่าไรคะ เป็นวิศวกรฝึกงานใช่มั้ย เสียภาษีปีละสองพันกว่า
ด่าหนูซะอย่างกับเป็นจารชน ขโมยสูตรคูณเอาไปทำระเบิดนิวเคลียร์ . . . "
.
เรื่องมันเป็นอย่างนี้นะครับท่านผู้ชม
บางที ในหนึ่งเหตุการณ์ มันมีมุมมองในรายละเอียด ลึกซึ้ง แตกต่างกัน
ในแง่มุมของความรับผิดทางภาษี ในหน้าที่พลเมือง
ทุกคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในรัฐ ล้วนต้องรับผิด ไม่ทางใด ก็ทางหนึ่ง ไม่ทางตรง ก็ทางอ้อม
ข้อพิพาท หรือวาทกรรม สาดโคลนใส่กัน บางทีข้อเท็จจริง ก็อาจไม่ได้มีด้านเดียวอย่างที่ใจเรานึก
การที่มีคนไม่นำส่งภาษีเงินได้ ไม่ว่าจะฐานภาษีใดๆ ก็ตาม
มันอาจจะมีข้อดี ในการที่ อาจจะนำไปช่วยสร้างงาน ให้ผู้อื่นต่อไปได้อีกหลายทอด
กระจายเงินลงไปใน community ให้สามารถหมุนไป ขยายมูลค่าเพิ่มงอกเงยทบทวี
สร้างประโยชน์ สร้างความมั่งคั่ง ให้คนอื่นๆ ต่อๆ ไป ต่อๆ ไป ได้มหาศาล
.
อีหนูคนข้างบน อาจจะขายกระเป๋านั่น ปีละ 12 ใบ เสียภาษีให้ศุลกากรและสรรพากร 144,000 บาท
กำไรตัวเองได้ 336,000 เอาไปซื้อ suzuki celerio ไว้ขับไปรับส่งของ
เสียภาษีสรรพสามิตอีก ราวๆ 60,000
ระหว่างปีมีเสีย vat จากค่าบริการเช็คระยะ ซ่อมบำรุง รถคันนี้อีกนิดหน่อย ค่าน้ำมันอีก
สิ้นปี ต่อทะเบียนเสียภาษี ซื้อประกัน ซื้อ พรบ.
โดยคร่าวๆ อีหนูนี่ จ่ายภาษีให้รัฐไประหว่างปีภาษีราวๆ สองแสนกว่าบาท
ไอ้หนุ่มข้างบน นั่งเคี้ยวไส้กรอกสโมคกี้ไบท์
จิ้มคีย์บอร์ดด่า . . . กูเสียภาษีปีละสองพันฝ่านะเฟร้ย !
อีหน้าสวย . . . แกมันชั่วช้า สามานย์ ไม่รักชาติ โกงชาติ ถ้าไม่รักประเทศนี้ ออกนอกประเทศไปเลยไป ไป ไป ไป ไป
มุมมองของหลวงที่มองมายังเอกชน
ไม่สัมพันธ์กับสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน
พูดถึงผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มบุคคลธรรมดา
รัฐต้องพิจารณาออกกฎหมาย และแก้ไขประมวลรัษฎากร
ให้ทันกับลักษณะการ "มีอยู่" ของหน่วยเศรษฐกิจ ฐานภาษี ลักษณะการดำเนินธุรกิจ
ให้ทันแบบ "มีอยู่จริง" ไม่ใช่จะบังคับใช้ในแบบอุดมคติ
ที่ตัวเองมองผ่านแว่นของความล้าหลัง ไร้ความสามารถในการติดตาม ประเมินผล
แล้วสามารถสังเคราะห์ออกมาเป็นกฎหมาย ให้สามารถบังคับใช้ได้จริงอย่างเป็นธรรม
แม่บทของประมวลรัษฎากร ไม่เอื้อให้เอกชนบุคคลธรรมดารายย่อย ลืมตาอ้าปากได้ ในธุรกิจท้องถิ่น
จะเอื้อแต่นโยบายใหม่ๆ ในรูปแบบนิติบุคคล เช่น BOI, การลดอัตราภาษีแบบก้าวหน้า
โครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เพิ่งจะแก้ไขใหม่ มีผลบังคับใช้ในปีภาษี 2560 นี่เอง
ในอดีตจนถึงปีภาษี 2559
หักค่าใช้จ่าย 40% ไม่เกิน 60,000
หักลดหย่อนผู้มีเงินได้ 30,000
ในมุมมองของหลวง
ท่าน assume ว่า บรรดาปวงประชาควรใช้จ่ายเงินเพื่อสนองประโยชน์สุขในไลฟ์สไตล์
ได้เพียงเดือนละ 7,500 บาท เท่านั้น ตีไปต่อวัน วันละ 250 บาท
ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท คุณยังหาคนงานไม่ได้เลย
ไม่ว่าคุณจะจบการศึกษาชั้นอะไร ทำงานเป็นคอเสื้อขาว หรือคอเสื้อน้ำเงิน คือ 250 บาท
นี่ยังดี ปีภาษี 2560 อุตส่าห์เขยิบขึ้นมาให้
หักค่าใช้จ่าย 50% ไม่เกิน 100,000
หักลดหย่อนผู้มีเงินได้ 60,000
นี่พูดกันกว้างๆ ยังไม่ต้องลงรายละเอียดถึงลดหย่อนอื่นๆ นะ
เอาแบบโครงสร้างภาษีของรุ่นคนสร้างชาติ คนกำลังสร้างเนื้อสร้างตัว
เป็นหลักเป็นฐาน ให้ชาติต่อไปอีกยี่สิบ สามสิบปี
ไอ้รายได้ที่รัฐวางโครงสร้างไว้ มันไม่เอื้อในมุมมองให้คนเหลือออม หรือเติบโต ขยายกิจการได้
พอหน่วยภาษีบุคคลธรรมดาใดๆ เข้าไปอยู่ระบบ จึงอยู่ไม่ได้ เพราะโครงสร้างภาษีไม่เอื้อให้เติบโตได้
มนุษย์เงินเดือนโอดครวญ บอกว่า ทำไมมีแต่ตัวเองที่ถูกหัก ณ ที่จ่าย ผ่านแบบ ภ.ง.ด.1 ไม่ยุติธรรมเลย
เพราะรัฐมองแต่หน่วยภาษี ที่ตนเองติดตามง่าย ทำงานง่าย ทำแบบเดิมๆ เพิ่มเติมคือไม่ต้องทำ
ผ่านกลไกการควบคุมเกี่ยวกับรายจ่ายต้องห้าม ภาษีซื้อต้องห้าม
ภ.ง.ด.1, ภ.ง.ด.3, ภ.ง.ด.53, ภ.พ.30 ที่ผูกโยงกันอยู่ในฐานกำไรสุทธิของ ภ.ง.ด.50
เพราะ ภ.ง.ด.1 เป็นหนึ่งในโครงสร้างค่าใช้จ่ายในฐานกำไรสุทธิ คุณมนุษย์เงินเดือนจึงถูกติดตามได้ง่าย
ตามมนุษย์เงินเดือนนั้นง่าย ทำงานง่าย แบบไม่ต้องทำ เขาก็ตามเอา เท่านั้นเอง
แต่ตามเอาภาษีกับบุคคลธรรมดายื่นแบบ ภ.ง.ด.90 มันทำงานยาก
หลวงท่านต้องทำงานเยอะ ต้องติดตามพัฒนาการทางสังคม
รูปแบบทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป ยิ่งในปัจจุบันยิ่งซับซ้อนมากขึ้นตามซอกหลืบออนไลน์
โครงสร้างฐานภาษี โครงสร้างค่าใช้จ่าย ของค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมใหม่ๆ การค้าแบบใหม่ๆ
โอย . . . ทำงานยาก ไม่ทำดีกว่า เหมารวมง่ายกว่า
หากหลวงท่านทำงานหนักหน่อย
สร้างแม่บทของประมวลรัษฎากรใหม่ ให้สอดคล้องกับสภาพทางเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนไปมาก
ทำให้เกิดการบังคับใช้ที่เป็นธรรมได้ ในหน่วยธุรกิจรายย่อย
พ่อค้าแม่ค้ารายย่อย ขายของกันกำไรเดือนเป็นแสนนั้น จะมีโอกาสสนองคุณแผ่นดิน
ได้มากกว่ามนุษย์เงินเดือน ที่ท่านไปบีบเอาง่ายๆ
เพียงแต่ต้องมีการบังคับใช้ที่เป็นธรรม
และต้องใช้มาตรฐานการบัญชีที่รับรองทั่วไป
ในมุมมองของการบังคับใช้ที่สามารถเป็นจริงได้ ในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจของจริง
รายจ่ายต้องห้ามในมุมมองของนิติบุคคล
หลวงท่านก็จะเอามาบังคับใช้ในลักษณะเดียวกันกับการประกอบกิจการรายย่อย ยุบยิบ มันเป็นจริงไม่ได้
ท่านจะบังคับใช้การรับรู้รายได้ - ค่าใช้จ่าย ผ่านกลไก ภ.พ.30 อย่างเดียว
ในข้อเท็จจริง มันมีต้นทุน ต้นน้ำ ที่พิสูจน์ทราบข้อเท็จจริงทางบัญชีได้ยาก
หลวงท่านต้องมีเกณฑ์ประนีประนอม compromise
ให้มันเอื้อต่อการดำเนินกิจการไปได้
ปวงราษฎ์ดำเนินชีวิตไปได้อย่างปกติสุข ประโยชน์นั้นจะกลับคืนมาสร้างชาติเอง
โครงสร้างภาษีของท่านโบราณ
ราวกับฐานภาษีของท่านยังอยู่ในสังคมเกษตรกรรม
หรือกำลังสร้างบ้านแปงเมืองเหมือนชีวิตที่ดำเนินอยู่ในสามสิบ สี่สิบปีที่แล้ว
เครื่องมือออนไลน์มีมากมาย ระบบฐานข้อมูลมีมากมาย
ท่านสามารถเอามาใช้ประโยชน์ประกอบการบังคับใช้กฎหมายได้มหาศาล
ขาดแต่ความกระตือรือร้นในการจะเปลี่ยนแปลงตนเองให้เข้ากันได้
กับสภาพการณ์ของสิ่งแวดล้อมทางธุรกิจในปัจจุบัน
ความเน่าในมันมีอยู่ถ้วนทั่ว ทุกองคาพยพของสังคม
รอแต่คนมีกำลังความสามารถเข้ามาขุดรากถอนโคนมันออกไป
บ่นไป ตามใจนึกได้ก็เท่านั้น
พิจารณาอะไร ต้องดูโครงสร้างประกอบบริบทที่เป็นจริงได้ งานจะสำเร็จลุล่วงโดยดี ไม่งั้นจะตีบตัน
คนพิจารณาแล้ว แม้ด้วยใจไม่เป็นธรรม
ก็ขอยอมใจ ไม่อาจอยู่ได้ในระบบโดยสะอาดใส ปราศจากด่างพร้อย
รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง เข้ากันได้กับการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินทุกกรณี
ท่านๆ เหล่านั้น ก็เพียงแต่ ขอให้ชีวิตดำเนินต่อไปได้โดยปกติสุข
มันเป็นอย่างนี้ เพราะมันเป็นอย่างนี้ นะครับ
การมาของ blockchain
สามารถเอามาปรับใช้สร้างหน่วยงานกำกับดูแล invoice กลางได้
ให้กลไก blockchain ดูแล transaction ของประชาคมการค้ากันเอง
หน่วยงานรัฐเพียงออกกฎหมายกำกับดูแล และบังคับใช้ให้เป็นธรรมโดยเท่าเทียม
ใครใคร่ค้า ต้องเข้าระบบ blockchain เปิด invoice ขายจากระบบ
ก่อนเปิดขาย ต้องนำเข้าข้อมูลซื้อ
หากซื้อมาขายไป อ้างอิงการนำเข้าสต๊อกซื้อ จาก tax point ของการเพิ่มมูลค่าขายผ่าน blockchain
หากเป็นคนขายต้นน้ำ เป็นผู้ผลิต หรือผู้ให้บริการสินค้าไม่มีตัวตน
สร้างระบบรับเข้า blockchain พร้อมแสดงเหตุผลอ้างอิงตามเกณฑ์ทางภาษีและมาตรฐานทางบัญชีที่รับรองทั่วไป
ใน module ทางการเงินประกอบ tax point ของการซื้อ - ขาย
ก็ใช้ blockchain ของสถาบันการเงินที่จะพัฒนาในอนาคต หรือใช้ coins ต่างๆ ชำระราคาซื้อขาย
เพื่อแสดงร่องรอย transaction ทางการเงิน
สำคัญที่สุดคือรัฐต้องมีกฎหมายสอดส่องการทุ่มตลาดของโมเดิร์นเทรดด้วย
กรมการค้าภายในควรกำกับดูแลกลไกโปรโมชั่น ต่ำกว่าราคาทุนด้วย
จริงอยู่คนซื้อคนสุดท้าย ได้ประโยชน์สูงสุด แต่มันจะกลายเป็น zero sum game
เพราะทุนใหญ่ได้เงินไป จ่ายค่าแรงลูกจ้างนิดหน่อย ที่เหลือเขาเอาไปเก็บ เป็น landlord เงินมันก็ฝืด
ดูแลตลาดบ้านๆ บ้าง เงินมันก็หมุนกันอยู่ในประชาคมนี่แหละ
รัฐสามารถดึงข้อมูลของระบบไปรษณีย์ ระบบลอจิสติกส์
ผ่านฐานข้อมูลของเลขประจำตัวประชาชนที่ใช้ตอนส่งไปรษณีย์
ตรวจสอบความถี่ ตรวจสอบปริมาณ transaction ประกอบได้
สำหรับภาษีมูลค่าเพิ่มก็ขยายเกณฑ์เถิด
เกณฑ์ล้านแปดนี่ไม่ทราบว่าใช้มาตั้งแต่เริ่มใช้ภาษีมูลค่าเพิ่ม ตั้งแต่ พ.ศ. 2535 รึเปล่า
25 ปีนี้ อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และอัตราเงินเฟ้อ เปลี่ยนแปลงไปมาก
พอเข้าระบบ ก็ไปเพิ่มค่าใช้จ่ายขายและบริหาร ให้เขาไปอีก
หลวงท่านควรพิจารณาเกณฑ์ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มใหม่ได้แล้วกระมัง
ทำแผนแม่บท 5 - 10 ปี กวาดต้อนผู้ค้าเข้าระบบ โดยให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ใครเข้าเร็วได้ประโยชน์เร็ว
พร้อมออกกฎหมายกำกับดูแล คาดโทษ บังคับใช้ให้เป็นธรรมโดยเท่าเทียม
สำหรับการค้าออฟไลน์ ก็สุดแท้แต่หลวงท่านจะเห็นสมควรควบคุมบังคับใช้
แต่รัฐศรีธนญชัยอย่างเรา เดี๋ยวก็ไม่วายลงไปขายใต้ดินกันอยู่ดี
โดยส่วนตัวนั้น จุดยืนผม ก็ไม่เห็นด้วยกับการเลี่ยงรับผิดชอบภาระทางภาษี
แต่โดยกลไก ภายใต้อำนาจรัฐนี้ ผู้ใช้ชีวิตอยู่ในรัฐ ยังไงซะทุกๆ การจับจ่าย ก็มีระบบภาษี
ไม่ระบบใด ก็ระบบหนึ่ง สอดส่องดูแลทำงานอยู่ แม้ไม่อยู่ในรูปแบบที่เป็นทางการ
เช่น ภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่มที่ end user จ่ายในการอุปโภค บริโภค
.
ผมขออนุญาตยกตัวอย่างเล็กๆ สักหนึ่งตัวอย่าง นะครับ
บุคคลธรรมดาผู้หนึ่ง เป็นคนหนุ่มวัยทำงาน ทำงานได้รับเงินเดือน เดือนละ 30,000 บาท
รวมมีเงินได้ในปีภาษีสามแสนหก
ได้รับสิทธิหักค่าใช้จ่าย 50% ไม่เกินแสน ได้หนึ่งแสนถ้วน
คงเหลือเงินได้ยกไป สองแสนหก
ได้รับสิทธิหักลดหย่อนผู้เงินได้ หกหมื่นบาท
คงเหลือเงินได้ยกไป สองแสนถ้วน
ตีไปว่าเขาเป็นคนโสด ไม่มีลดหย่อนอะไรอีก มีลดหย่อนประกันสังคมอีกเก้าพัน
คงเหลือเป็นเงินได้พึงประเมินสุทธิ 191,000 บาท
150,000 บาท แรก ได้รับยกเว้น
ยกไปคำนวณ ในอัตราก้าวหน้าที่อัตรา 5% ของจำนวนเงิน 41,000 บาท
คิดเป็นเงินภาษีที่ต้องนำส่งในแบบ ภ.ง.ด.91 รวมเป็นจำนวนเงินภาษี 2,050 บาท
อันที่จริง เพียงแค่พ่อหนุ่มคนนี้มัธยัสถ์ เจียดเงินเพื่อสะสมความมั่งคั่งให้ตนเอง เพื่อสร้าง capital gain
ผ่านทาวน์เฮาส์หลังเล็กๆ ในราคาตลาดปัจจุบันประมาณสองล้านบาท ผ่อนชำระประมาณหมื่นสอง - หมื่นสี่
เขาจะเสียดอกเบี้ยกู้ยืมเพื่อที่อยู่อาศัย สมมติว่าอัตรา 3.5% ต่อปี เอาไปใช้เป็นสิทธิลดหย่อนได้ 75,000 บาท
เพียงเท่านี้ เขาก็จะไม่ต้องเสียภาษีในช่วงวัยหนุ่มของเขาแล้ว
ดอกเบี้ยกู้ยืมเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยนี้ จะช่วยเขาลดหย่อนไปจนหน้าที่การงานเขาเติบโต
จนได้รับเงินเดือน เดือนละ 50,000 บาท เขาก็คงเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสุทธิต่อปีเพียง 10,300 บาท
นี่ยังไม่ได้นำสิทธิลดหย่อนอื่น ซึ่งอาจจะมีได้อีกนะครับ เช่น การซื้อ LTF RMF
เท่านี้ มนุษย์เงินเดือนคนนี้ก็ยืดอกพกถุง แล้วพร้อมที่จะพ่นคำผรุสวาท
ใส่ใครๆ ก็ได้ในโลกโซเชียลที่ไม่เสียภาษีอย่างตัวเอง
เอ็งมันชั่วช้า สามานย์ ไม่รักชาติ โกงชาติ บลาๆ บลาๆ
.
ไปดูน้องสาวอีกคนครับ
เธอเห็นความแตกต่างด้านราคาของสินค้าที่ UK กับ ช็อปในห้างใจกลางเมือง
เธอจึงนำเข้ากระเป๋าใบนี้เข้ามาขาย โดยผ่านการนำเข้าทางไปรษณีย์
ผ่านพิธีการศุลกากร และภาษีมูลค่าเพิ่ม ถูกต้องทุกอย่าง
ศุลกากรท่านประเมินกระเป๋าใบนี้หนึ่งแสนบาท
พิกัดอัตราภาษีศุลกากร 5% และมีภาษีมูลค่าเพิ่มจากอัตราประเมินอีก 7%
สรุปรวมคือน้องคนนี้ต้องเสียภาษีนำเข้ากระเป๋าใบนี้ 12% เป็นเงิน 12,000 บาท
เธอไม่ได้เคลมอะไรกับรัฐอีกแล้วครับ หมื่นสองนี้ จ่ายแล้วจ่ายเลย
ต้นทุนขายของเธอคือ 112,000 เธอขายไป 140,000 ได้กำไร 28,000 บาท
เงินได้ตรงนี้ เธอไม่ได้นำไปรวมคำนวณในการยื่นแบบ ภ.ง.ด.90
.
พอหนุ่มคนข้างบนเห็นน้องสาวคนนี้ไม่ยื่นแบบ 90
ตะโกนมาเลย . . . "อีเลว! หิ้วของมาขาย ไม่ยื่นแบบเสียภาษี แกมันชั่วช้า สามานย์ ไม่รักชาติ บลาๆ บลาๆ . . . "
น้องสาวคนนี้เหลือบตามองบน บอก . . .
"เอ่อ . . . หนูเสียไปเน็ตๆ หมื่นสอง ไม่เอาคืนสักบาทเลยนะพี่
พี่เงินเดือนเท่าไรคะ เป็นวิศวกรฝึกงานใช่มั้ย เสียภาษีปีละสองพันกว่า
ด่าหนูซะอย่างกับเป็นจารชน ขโมยสูตรคูณเอาไปทำระเบิดนิวเคลียร์ . . . "
.
เรื่องมันเป็นอย่างนี้นะครับท่านผู้ชม
บางที ในหนึ่งเหตุการณ์ มันมีมุมมองในรายละเอียด ลึกซึ้ง แตกต่างกัน
ในแง่มุมของความรับผิดทางภาษี ในหน้าที่พลเมือง
ทุกคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในรัฐ ล้วนต้องรับผิด ไม่ทางใด ก็ทางหนึ่ง ไม่ทางตรง ก็ทางอ้อม
ข้อพิพาท หรือวาทกรรม สาดโคลนใส่กัน บางทีข้อเท็จจริง ก็อาจไม่ได้มีด้านเดียวอย่างที่ใจเรานึก
การที่มีคนไม่นำส่งภาษีเงินได้ ไม่ว่าจะฐานภาษีใดๆ ก็ตาม
มันอาจจะมีข้อดี ในการที่ อาจจะนำไปช่วยสร้างงาน ให้ผู้อื่นต่อไปได้อีกหลายทอด
กระจายเงินลงไปใน community ให้สามารถหมุนไป ขยายมูลค่าเพิ่มงอกเงยทบทวี
สร้างประโยชน์ สร้างความมั่งคั่ง ให้คนอื่นๆ ต่อๆ ไป ต่อๆ ไป ได้มหาศาล
.
อีหนูคนข้างบน อาจจะขายกระเป๋านั่น ปีละ 12 ใบ เสียภาษีให้ศุลกากรและสรรพากร 144,000 บาท
กำไรตัวเองได้ 336,000 เอาไปซื้อ suzuki celerio ไว้ขับไปรับส่งของ
เสียภาษีสรรพสามิตอีก ราวๆ 60,000
ระหว่างปีมีเสีย vat จากค่าบริการเช็คระยะ ซ่อมบำรุง รถคันนี้อีกนิดหน่อย ค่าน้ำมันอีก
สิ้นปี ต่อทะเบียนเสียภาษี ซื้อประกัน ซื้อ พรบ.
โดยคร่าวๆ อีหนูนี่ จ่ายภาษีให้รัฐไประหว่างปีภาษีราวๆ สองแสนกว่าบาท
ไอ้หนุ่มข้างบน นั่งเคี้ยวไส้กรอกสโมคกี้ไบท์
จิ้มคีย์บอร์ดด่า . . . กูเสียภาษีปีละสองพันฝ่านะเฟร้ย !
อีหน้าสวย . . . แกมันชั่วช้า สามานย์ ไม่รักชาติ โกงชาติ ถ้าไม่รักประเทศนี้ ออกนอกประเทศไปเลยไป ไป ไป ไป ไป
แสดงความคิดเห็น
รักชาติจริงควรเสียภาษีในถูกกฏหมายนะคะ อยากให้สรรพากรหามาตราการจัดการคนที่ขายของออนไลน์ผ่านFacebook และ Line ค่ะ
1. การขายผ่าน Facebook และ Line ไม่มี Transaction ทำให้ดูรายการได้ยากว่ายอดขายเท่าไรกันแน่ ข้อมูลลูกค้าให้ตามสืบก็ไม่มี
2. การขายผ่านช่องทางเหล่านี้แน่นอนไม่ได้ออก Vat (ภาษีมูลค่าเพิ่ม) แน่ๆ
3. ไม่ต้องขออนุญาติ DBD เลย ปรกติถ้าซื้อขายของผ่านทางwebsite จะต้องมีการขอ DBD อย่างถูกกฎหมาย
อันนี้ที่ List ไปเป็นส่วนกรมสรรพากร ยังไม่ต้องพูดถึงที่คนโดนหลอกซื้อของตามเพจ Facebook ทาง Line เพียบไปหมดเพราะมันเป็นของฟรีใครก็เปิดได้ มิจฉาชีพ ก็จ้องที่จะใช้ช่องทางนี้แหละเพื่อหลอกลวง และไม่ต้องมีการส่งเอกสารใดๆ ซึ่งแตกต่างจาก Website ที่ต้องมีเรื่องพวกนี้
ทีนี้มาดูมุมการรักชาติกันบ้าง
เราบอกเรารักชาติๆ แต่ดันไม่ยอมเสียภาษี อีกทั้งการที่รัฐบาลถ้าหากมีการสนับสนุนพวกธุรกิจต่างประเทศอย่างจริงจัง ก็เท่ากับว่า เรากำลังเอาเงินมหาศาลออกนอกประเทศ ทั้งที่อุตสาหกรรม หรือบริษัทในไทยมีตั้งเยอะแยะ ไม่ใช่ไม่มี ไม่ว่าจะเป็นบริษัทสื่อโฆษณา บริษัทเทคโนโลยีต่างๆ กลับไม่สนับสนุน ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะว่าจะโดนล้อว่าจะเข้าสู่ 4.0 แล้วปิดกั้นเทคโนโลยี หรือกีดกันธุรกิจต่างๆ จีนเองก็ block ของต่างประเทศแต่เอาของในประเทศออกมารุกรานทำลายธุรกิจท้องถิ่นของประเทศอื่นไปทั่ว โดยเฉพาะประเทศไทยที่อ้าแขนรับเสียเหลือเกินโดยไม่ห่วงอนาคตลูกหลานว่าจะเป็นอย่างไรเมื่อธุรกิจในไทยถูกครอบงำโดยธุรกิจต่างชาติ และปัจจุบันการมาของธุรกิจต่างชาตินั้น เขามาในรูปแบบ Online จึงรวดเร็วและทำลายธุรกิจท้องถิ่นได้อย่างรวดเร็วมาก คิดให้ถี่ถ้วน มองยาวๆสิคะ และการที่ต่างชาติมาลงทุนในไทย อย่าดีใจไปค่ะ เพราะมันไม่ใช่สมัยก่อนที่เมื่อมีธุรกิจมาตั้ง ก็มีการสร้างงาน แต่ยุคนี้และยุคหน้ามันจะมาพร้อมระบบหุ่นยนต์และ AI ที่ไม่ได้เกิดการจ้างงานเลย จะไปสนับสนุนอะไรต่างชาตินักหนา
รัฐบาลควรสนับสนุนธุรกิจไทยอย่างจริงจัง และพยายามกีดกัน อาจโดยกำแพงภาษี หรือว่ากฏสักอย่างที่ว่าหากมีธุรกิจในไทยอยู่ธุรกิจต่างประเทศก็ไม่ควรเข้ามาทำได้อย่างง่ายๆนะคะ ในที่นี่ไม่ได้หมายถึงแค่ธุรกิจสื่อโฆษณาและเทโนโลยี และการเงิน อย่างเดียว แต่หมายถึงทุกธุรกิจ คนไทยเก่งเยอะค่ะ แต่ไม่มีการสนับสนุนอย่างจริงจัง อีกทั้งยังปล่อยให้ต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจง่าย ดูง่ายๆ Facebook และ Line ทำเงินในประเทศไทยมหาศาล แต่ไม่ต้องมีเรื่องภาษี ไทยเสียประโยชน์เต็มๆค่ะ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ต้องมาจริงจังกับการจัดการเรื่องพวกนี้ มัวแต่พรบ อะไรก็ไม่รู้ ที่ไม่ได้ช่วยชาติเลย
เดี๋ยวจะมีพวกที่จะบอกว่าเราหัวล้าสมัย ไม่ 4.0 ไม่ใช่ค่ะ บอกไปแล้วว่าไทยเองก็มีธุรกิจที่พัฒนาพวกนี้อยู่ 4.0 คือการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ ไม่ได้เกี่ยวกับกีดกันธุรกิจต่างชาติเพราะรักชาติของจริงค่ะ
แล้วก็จะมีคนบอกว่าระบบทุนนิยมก็แบบนี้ไม่ใช่หรอคะ ใช่ค่ะ แต่ดูประเทศอื่นนะคะ จะทุนนิยมอย่างไร ประเทศที่พัฒนาแล้วเขามีกฏหมายเข้มงวดมาก เช่นถ้าเป็น อเมริกา หรือประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ 7-11 ไม่สามารถเปิดติดๆครองเมืองอย่างนี้ได้หรอกนะคะ แล้วก็อย่างอเมริกาทรัปมันก็ฉลาดมองไกลถึงปัญหาที่จีนจะรุกรานเลยพยายามสนับสนุนธรุกิจของประเทศเขาเอง มองให้ใกลๆค่ะ ถ้าคุณรักชาติจริงก็ควรสนับสนุนธรกิจไทยนอกจากไม่ม่มีจริง หรือของมันไม่ดีจริงๆ
แล้วถ้าถามว่าแล้วเจ้าเล็กจะสู้เจ้าใหญ่ได้อย่างไร ถ้าเก็บภาษีออนไลน์ ถ้าไม่เก็บภาษีแล้วจะพอสู้เจ้าใหญ่ได้จริงหรือไม่?
ไม่เสมอไปค่ะเพราะเดี๋ยวบริษัทใหญ่ก็จะใช้นอมินีมาขายของ Online แบบเลี่ยงภาษีได้เช่นกันค่ะ เรื่องนี้คงต้องเป็นผู้นำที่เก่งๆจะระดมสมอง เช่นกฏหมายห้ามการทุ่มตลาด อย่างประเทศอื่นจะไม่สามารถทำแบบwebsite ยักใหญ่เจ้านึงที่ตอนนี้คนจีนถือหุ้นเกินครึ่งไปแล้ว ทำอยู่หรอกนะคะ ที่ทุ่มตลาดฟันเจ้าเล็กๆให้ตายรัวๆ และนี่คือที่บอกว่าการมาของต่างชาติยุคนี้มันมารูปแบบ Online มันน่ากลัวกว่าที่คิด
ฝากด้วยนะคะ