อีก1ปีข้างหน้า ค่อยกลับมาอ่านความรู้สึกของตัวเองในวันนี้นะ ว่ามันจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน

อยากให้กำลังใจตัวเองในวันนี้ ที่ท้อและเหนื่อยกับการมีชีวิตต่อมากเหลือเกิน ไม่รู้จะบอกใครหรืออธิบายยังไงให้คนรอบข้างฟัง เพราะเจอแต่เรื่องราวแย่ๆมามากเหลือเกิน จนคิดว่า บางทีคนรอบข้างอาจจะเบื่อที่จะรับฟังเรื่องซ้ำๆเดิมเหล่านี้ อีกต่อไปแล้ว เลยลองมาบันทึกไว้ ให้ตัวเองกลับมาอ่านตอนที่ดีขึ้นแล้ว


เราเป็นคนนึงที่มีฐานะครอบครัวปานกลาง ไม่ได้ชีวิตดีอะไร เพิ่งจะเรียนจบมาปีกว่าๆ ได้ทำงานตรงกับสาขาที่เรียนมา เป็นคนติดเพื่อนมาก ไม่มีแฟน ชีวิตดูเหมือนจะเรื่อยๆ ยังไม่มีอะไรในชีวิตที่แน่นอน และเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง

สิ่งที่ทำให้เราเครียดและรู้สึกหมดกำลังใจที่สุดคือ ครอบครัว

- ถ้าเป็นเพื่อนที่สนิทกับเรามากก็จะรับทราบปัญหาในครอบครัวเรามาตลอด เราไม่ได้มาจะกล่าวให้ร้ายครอบครัวตัวเองนะ เรารักเค้ามากมาก พ่อกับแม่ของเราอยู่ด้วยกัน อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา ครอบครัวสมบูรณ์ แต่เราเป็นลูกสาวคนเดียว เป็นความหวังและเป็นทีคาดหวังเดียวของเขา ตอนเด็กๆเราถูกเลี้ยงมาเป็นอย่างดีเพราะตอนนั้นฐานะของครอบครัวดีกว่านี้มาก ตอนมัธยมเราได้เรียนแบบ English Program ยอมรับเลยว่าค่าเทอมแพงมาก ที่พ่อตัดสินใจให้เราเรียนเพราะอยากให้เรามีพื้นฐานที่ดี และด้วยสภาวะฐานะตอนนั้นเรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาเลย และพ่อคิดถูก การเรียนเราดีมาก และมีสังคมเพื่อนที่ดี เพราะเพื่อนทุกคนของเราพื้นฐานครอบครัวดี สังคมน่าอยู่ แต่เราอาจจะต้องปรับตัวนิดหน่อย เพราะเราฐานะปานกลาง พูดแบบง่ายๆคือมีไม่เท่าเพื่อนๆนั่นแหละ แต่เรามีความสุขดีนะ ไม่ได้รู้สึกขาดอะไรเลย พอเราจบ ม6 มา เราตัดสินใจเข้า มหาลัยของรัฐที่สอบเข้าด้วยตัวเอง และค่าเทอมถูกมาก ถึงแม้มหาลัยไม่ได้เป็นมหาลัยระดับต้นๆ แต่เราภูมิใจมาก เพราะเราตัดสินใจไม่ขอค่าเทอมจากครอบครัว เรากู้เงินกองทุน กยศ ก็คือรบกวนครอบครัวน้อยลง เมื่อพ่อเห็นว่าเราเริ่มไม่มีภาระค่าใช้จ่ายใดใดแล้ว พ่อก็เริ่มจะวางใจ โดยการออกจากบริษัทที่เขาทำอยู่ มาปลูกผักทำสวนในสิ่งที่พ่อรัก อีกอย่างแม่เราป่วยหลายๆโรค พ่อไม่อยากไปทำงานไกลๆห่างแม่ เผื่อแม่เป็นอะไรจะได้เป็นคนพาแม่ไปโรงพยาบาลได้ทัน แม่เราขายของชำและอาหารตามสั่งอยู่ที่บ้านค่ะ เมื่อก่อนแม่เรามีร้านอาหารเล็กๆ แต่ปิดไปแล้ว เพราะแม่ทำไม่ไหวแล้วด้วยปัญหาสุขภาพ เลยเหมือนเปิดขายของเล็กๆน้อยๆที่นั่งอยู่กับบ้านที่พอทำไหว สรุปเท่ากับ พ่อก็อิสระ แม่ก็อิสระ ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ลง ที่บ้านเราก็เริ่มรายได้น้อยลงไปเรื่อยๆ ค่าผ่อนบ้านเริ่มกระทบกับชีวิตความเป็นอยู่ เพราะเมื่อก่อนเงินจะมาสองทางทั้งพ่อและแม่ แต่ตอนนี้กลายเป็นว่า มาจากพ่อแค่ทางเดียว ซึ่งพ่อก็ไม่ได้เป็นผู้จัดการบริษัทเหมือนแต่ก่อนแล้ว รายได้จากการปลูกผัก ก็ไม่แน่นอน ธุรกิจที่ร่วมลงทุนกับเพื่อนก็ขึ้นๆลงๆ พ่อเริ่มเครียดมาก เราต้องปรับการใช้ชีวิตใหม่ ไม่กล้าขอเงินอะไรที่ไม่จำเป็น และประหยัดมากขึ้น เรารับทราบปัญหาของครอบครัวมาตลอด แม่เราก็มีอาการเครียดมากขึ้น แม่เรามีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของระบบประสาทมานานมากแล้ว แต่มาหนักช่วงที่เราขึ้นมหาลัยเนี่ยแหละ แม่เราไม่ได้เป็นบ้านะ แต่แม่จะควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้ จะอาละวาด บ่อยมาก คือเราทำอะไรก็ผิดทุกอย่าง แต่เรากับพ่อเข้าใจแม่ทุกอย่าง จึงมีแค่เรากับพ่อเท่านั้นที่รับมือกับแม่ได้ แม่เราไม่มีเพื่อน ไม่มีสังคม ประกอบกับ ต้องอยู่บ้านเฉยๆไม่ได้มีร้านขายของเหมือนเมื่อก่อน จึงทำให้แม่ยิ่งเครียด ช่วนนั้นเราโดนแม่ทำร้ายร่างกายบ่อยจนต้องเข้าโรงบาลหลายๆครั้ง เพื่อนสนิทเราเป็นคนที่พาเราไปโรงบลาตลอด เพื่อนบางคนเห็นรอยช้ำหรือบาดแผลของเราถึงกับร้องไห้ และถามว่าเจ็บมั้ย ทนได้ยังไง เราดูน่าสงสารนะ แต่เราไม่เคยโทษแม่เลย เราเข้าใจว่าเขาไม่เหมือนคนอื่น คนอื่นถามเราต้องโกหกตลอดว่า รถล้มบ้าง ชนนู้นชนนี่บ้าง เพื่อให้ทุกคนสบายใจและไม่ต้องมาสงสารเรามาก พ่อเราเสียใจทุกครั้งที่เห็นเราในสภาพแบบนั้น พ่อบอกกับเราให้เราอดทน และเราก็อดทนมาตลอด สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคืออยู่ในห้องตัวเองและแอบนั่งร้องไห้คนเดียวไม่อยากให้พ่อเป็นห่วง ช่วงมหาลัยมีปัญหาอะไร เรื่องงาน เรื่องเพื่อนแต่เราไม่เคยเล่าให้ครอบครัวฟังเลย ไม่ใช่ไม่เคยลองพยายามเล่านะ เราเล่าแต่เขาไม่ฟังและมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ มองว่า เราเป็นตัวปัญหาเราไม่เคยได้คำปรึกษาจากครอบครัวเลย เมื่อก่อนพ่อยังพอรับฟังเราได้บ้างนะแต่เดี๋ยวนี้ พ่อก็โมโหใส่เราทุกวันเช่นกัน  มีเพื่อนสนิทไม่กี่คนที่รับรู้ถึงปัญหานี้มาตลอด เราโทรระบายกับเพื่อนสนิทตลอด  พักหลังพอเราเรียนจบ เราก็ตัดปัญหาเรื่องเงินไปได้อีกเพราะ เราไม่ต้องขอเงินพ่อแล้ว เพราะเรียนจบเราก็ได้งานทำทันที แต่กลับกลายเป็นว่า เรายิ่งเครียดมากขึ้น เพราะพ่อกับแม่คาดหวังกับการทำงานของเรามากมาก คืออยากให้เรารับภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมดแทนให้เร็วที่สุด ซึ่งเราเข้าใจนะ เพราะท่านก็เหนื่อยกันมามากแล้ว เราเพิ่งเป็นเด็กจบใหม่ เงินเดือนน้อยนิดเหลือเกิน Start ที่ หมื่นต้นๆ เราไม่สามารถ handle ภาระค่าใช้จ่ายทุกอย่างได้ในเร็วๆวันนี้แน่นอน และโชคชะตาก็ยิ่งไม่เข้าข้างเรา ในช่วงที่เกิดเหตุ สวรรคตของ ในหลวงรัชกาลที่9 (ไม่รู้ว่าใช้คำถูกต้องหรือเปล่านะ ขอภัยด้วยจริงๆ) บริษัทที่เราทำงานประสบปัญหาทางด้านการเงินอย่างหนัก จำเป็นต้องให้เราออก เพราะเราเป็นพนักงานใหม่ เด็กจบใหม่ ณ ตอนนั้นสภาพจิตใจเราแย่มาก บวกกับปัญหาความเครียดที่บ้าน สิ่งที่เรามีความสุขที่สุด ณ ตอนนั้น คือการนั่งกินข้าวกับเพื่อน ปรับทุกข์ ไม่ก็เดินห้างแบบโง่ๆเดินไปเรื่อยๆ ปล่อยเวลาผ่านไป รอพ่อกับแม่หลับแล้วจึงค่อยเข้าบ้าน เราไม่อยากเจอหน้าใครเลยนอกจากเพื่อน แต่เราไม่เคยไปใช้เงินฟุ่มเฟือยนะ และซึ่งเราก็เข้าใจอีกนั้นแหละ ว่าพ่อกับแม่ก็คงเป็นห่วง กลัวว่าเราจะไปออกนอกลู่นอกทาง ที่กลับบ้านดึกทุกวัน เขากลัวเราจะไปทำเรื่องราวเสียๆหายๆให้เขาต้องมาปวดหัวเพิ่ม เราเป็นผู้หญิงด้วยแหละ อธิบายแค่ไหนเขาก็คงไม่เขาใจ แต่สภาพจิตใจของเรามันแย่มาก เราไปนั่งกินข้าวกับเพื่อนจริงๆ และเราไม่เคยทำเรื่องเสียหายเลย ตั้งแต่เล็กจนโต เราเรียนดี ตั้งใจเรียนมาตลอด คือทำตัวอยู่ตามเส้นที่พ่อกับแม่วางไว้มาตลอดชีวิต ถามว่าเราเคยมีแฟนมั้ย จริงๆเรามีแฟนมาตลอด ตั้งแต่ ม3 รักๆเลิกๆ ตามประสา แต่พ่อกับแม่ไม่เคยได้รับรู้เลย เพราะเขาหัวโบราณ สิ่งเดียวที่รับได้คือ ลูกสาวห้ามมีแฟน เราไม่เคยเอาเรื่องความรักมาให้พ่อกับแม่ได้รับรู้เลย เราอกหักเราเสียใจ เราก็จัดการกับความรู้สึกตัวเองได้มาตลอด เพราะสำหรับเรา ปัญหาครอบครัวคือเรื่องใหญ่ที่สุดแล้วในชีวิต พอเราได้เริ่มงานใหม่กับบริษัทใหม่ ชีวิตเราดูมีความสุขขึ้นนะ แต่อุปสรรคที่เพิ่มเข้ามาคือระยะทางในการเดินทางไปทำงานและกลับบ้าน ซึ่งไกลมากมาก มากจริงๆ แต่เรามีความสุขกับงานที่ทำ เจ้านายใหม่เราดีมาก ดีกับเราเหลือเกิน และเห็นในความสามารถในตัวเรา อาจจะมีปัญหากับบุคคลอื่นบ้าง แต่เรารับมือไหว  สิ่งที่เราโฟกัสคือตั้งใจทำงานออกมาให้ดีที่สุด ไม่ยุ่งกับใคร ไม่พยายามเป็นศัตรูกับใครเพิ่ม เราเริ่มโตขึ้นก็มีปัญหาทางความรักเข้ามาบ้าง จนเราเบื่อหน่าย มันทำให้เราไม่อยากมีใคร เพราะรู้สึกแค่ว่าชีวิตเรามีปัญหาเยอะมากพอแล้ว ไม่อยากมีเรื่องกังวลใจเพิ่ม มีไม่มีก็แล้วแต่เราไม่ซีเรียส เมื่อ2-3เดือนที่ผ่านมา เรามีปัญหาใหม่เพิ่มเข้ามา พ่อเรามี plan ใหม่ อยากให้เราทำ จริงๆพ่อเคยพูดเปรยๆมานานแล้วกับเรา แต่ตอนนั้นเราคิดแค่ว่าพ่อขายฝันเราไม่คิดว่าจะเป็นจริง คือพ่อจะส่งเราไปอยู่ USA ซึ่งความคิดนี้เกิดขึ้นมาจากการไป Reunion กับเพื่อนๆนักธุรกิจของพ่อ เพื่อนพ่อทำธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารอยู่ที่นั่น ซึ่งพักหลังๆ พ่อพูดบ่อยขึ้นแล้วดูจริงจังขึ้น ถามเราทุกวันว่าไปทำงานที่นู้นเถอะ โอเค เราก็เริ่มจริงจังกับการจะไปใช้ชีวิตที่นู้น เริ่มศึกษาวิธีการไปทุกอย่าง และแล้วพ่อก็มาบอกว่าให้ไปเรียนต่อโทที่นู้นเลย เราตกใจมาก เพราะไม่ได้ใช้เงินน้อยๆเลย เราถามพ่อว่าจะไปเอาเงินมาจากไหน พ่อก็บอกเพียงว่า เขามีปัญญาให้เราไปแล้วกัน ตั้งหน้าตั้งตาทำเรื่องไป เรื่องเงินเขาจัดการเอง เราก็แอบงงและสงสัยใน แต่เราก็เดินหน้าเต็มกำลัง เราไปสมัครเรียนติวการสอบ Toefl ซื้อหนังสือมาอ่าน เพื่อนจะได้ไม่ต้องไปเสียเวลาเรียนปรับพื้นฐานที่นู้นอีกเป็นปี แต่เวลาผ่านไปสักพัก พ่อบอกเราว่าเปลี่ยนแผน ให้ไปทำงานที่นั้นก่อนสักปีสองปีแล้วค่อยทำเรื่องต่อโท เราก็บอกว่าวีซ่าทำงานไม่ได้ง่านขนาดนั้นนะ มันมีขั้นตอนมากมาย พยายามหาข้อมูลให้ได้มากที่สุด พ่อบอกว่า กว่าจะเรียนกว่าจะสอบ อีกนานกว่าจะได้ไป พ่อบอกอยากให้เราไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ ช่วงนั้นเราทะเลาะกับพ่อหนักมาก เพราะเราไม่เข้าใจว่าพ่อจะรีบให้เราไปอะไรขนาดนั้น เราเสียเงินค่าเรียนไปไม่ใช่น้อยๆแล้ว แผนที่เราวางไว้พังไปหมด เราต้องมาเริ่มใหม่ ทุกอย่าง ช่วงนั้นเราร้องไห้ทุกวัน พ่อพูดว่า ถ้าเรายังทำงานบริษัทต๊อกต๋อยอยู่ที่นี่ เราก็ไม่มีวันเจริญหรอก ไม่มีวันช่วยพ่อผ่อนบ้านได้หรอก (แต่เป็นน้ำเสียอารมณ์และคำหยาบกว่านี้นะ) ใช่ค่ะ เรารู้แต่ทุกวันนี้ เงินเราก็ให้พ่อให้แม่ทุกเดือนนะ เราต้องให้ทั้งสองคนเพราะพ่อกับแม่เราคนละกระเป๋าตังค์กัน ซึ่งไอเงินเดือนต้อกต๋อยของเรานี่แหละเราก็แบ่งให้เขาตลอด อาจจะเดือนละ5พันบ้าน 4 พันบ้าง นั้นคือทั้งหมดที่เราจะให้ได้แล้วจริงๆ ส่วนเราเหลือใช้อะไร เรารับงานเพิ่ม เสาร์อาทิตย์ ทำงานเสริมตลอด เพื่อน้ำมาเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัวของเรา อาจจะชักหน้าไม่ถึงหลังบ้างก็หมุนจากเพื่อน ผลัดกันยืมผลัดกันคืนจากเพื่อนตลอด แต่ไม่เคยไปรบกวนพ่อกับแม่เลย เราไม่เคยบ่นนะ และไม่เคยปีกกล้าขาแข็งว่ามีเงินเดือนแล้วไม่ง้อพ่อไม่ง้อแม้ เขาขออะไรอยากได้อะไรเราพยายามหาให้ทุกอย่าง แต่ยอมรับเลย เราเดือนชนเดือน แทบไม่มีเงินเก็บเลย ไอเงินเก็บเราก็หมดไปกับค่าเรียนค่าหนังสือหมดแล้ว แต่พ่อดับฝันเราไปเรียบร้อยแล้ว เราพยายามถามพ่อนะ ทำไมต้องผลักไสให้เรารีบๆ ขนาดนั้นแม่ก็เริ่มสงสารเรามาก แม่แอบเห็นเราร้องไห้ และแม่ก็เลยไปทะเลาะกับพ่อแทน ว่าไม่สงสารเราบ้างเหรอ จะให้เราไปอยู่ที่นู้นมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดนะ ไม่กลัวเราลำบากเหรอ เรารู้ว่าแม่คงคิดถึงเรามากถ้าเราไป แม่ถึงต้องออกมาพูด (อย่าตกใจไปบ้านเราก็จะสลับกันดีสลับกันร้ายแบบนี้แหละ) พ่อตะโกนด่าเราว่า เพราะเราติดเพื่อน กลับบ้านไม่ตรงเวลา เอะอ่ะก็กินข้าวกับเพื่อน แคร์เพื่อนมากกว่าครอบครัว อยากจะแยกเรากับเพื่อน ไม่อยากให้เราคบเพื่อนแล้ว นี่คือเหตุผลที่พ่อตะโกนใส่หน้าเรา เรื่องนี้เรายอมรับนะ เราเถียง เพราะทั้งชีวิตเรามีเพื่อนที่รักและดีกับเรามากมาไม่กี่คน และก็มักจะเป็นคนเดิมๆเสมอที่เราไปไหนมาไหนด้วย เราไม่ได้ไปทำตัวแย่ๆ หรือทำอะไรเสื่อมเสียเลยจริงๆเราสาบาน แต่เขามักจะคิดว่าเราไปเสื่อมเสียอยู่ตลอดเวลา เราอธิบายอะไรไปเขาก็ไม่ฟัง ทุกวันนี้ เราไม่สามารถดำเนินการเรื่องการไป USAได้เลย เพราะพ่อเปลี่ยน plan ทุกอาทิตย์ เราเริ่มถอดใจแล้วล่ะ ว่าคงไม่ได้ไปละ ตราบได้ที่พ่อยังคงไม่เข้าใจเรื่อง visa F1 และ J1 อยู่แบบนี้ เราปริ้นเอกสารทุกอย่างให้อ่าน แต่ก็ไม่ได้เป็นผลเลย ช่วงนี้พ่อเราเปลี่ยนไปมาก จากคนที่ใจเย็นกลายเป็นขี้โมโห และหาเรื่องเราตลอดเวลา เรายอมรับเราอยู่บ้านแล้วไม่มีความสุขเลยสักวัน แม่เราก็เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย แล้วแต่ฤทธิ์ของยาที่หมอสั่ง ช่วงหลายเดือนหลังๆมานี้ เราค่อนข้างเก็บตัวอยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยม และรู้สึกว่าการนอนหลับคือความสุขที่สุดในชีวิตแล้ว การได้อยู่ในห้องนอนมันคือความสุขที่สุด กลับบ้านมาจากทำงานเราก็ขึ้นห้องนอน เสาร์อาทิตย์เราก็นอนอยู่แต่ในห้องนอน เราเหนื่อยจากการเดินทางไกลๆเราก็รีบนอน แต่ไม่ใช่ว่าเราไม่ช่วยเหลืองานบ้านนะ เราทำงานบ้านแบ่งเบาแม่ตลอด มาตั้งแต่เด็กๆแล้ว ซักผ้ารีดผ้ากวาดบ้านถูบ้านล้างจานกรอกน้ำเราทำทุกอย่างเหมือนเดิม แค่เมื่อก่อนถ้าเรามีเวลาว่างก็จะมานั่งดูทีวี แต่ตอนนี้ดูทีวีก็โดนหาว่านั่งงอมืองอเท้าเลยเลือกที่จะนอนหลับอยู่บนห้อง ช่วงนี้เราออกไปกินข้าวกับเพื่อนน้อยลงมาก เพราะช่วงนี้เรางานยุ่งมาก และประกอบกับเราไม่อยากให้พ่อมาว่าเราเรื่องเราติดเพื่อน จากเราคนที่ร่าเริงกลายเป็นคนเก็บตัว จากที่ชอบ เล่น social กลายเป็นหายๆไป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่